เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 77 ปล่อยนายไว้ไม่ได้เหมือน
ตอนที่ 77 ปล่อยนายไว้ไม่ได้เหมือนกัน
ในห้องส่วนตัวของโรงแรมมีเพียงโคมไฟแสงเหลืองสลัวข้างเตียงเท่านั้น ทั่วทั้งห้องทั้งมืดและเงียบ ประกอบกับมีควันบุหรี่ตลบอบอวล ในห้องก็ยิ่งอึมครึมมากขึ้น
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วคิดจะพักผ่อนสักหน่อย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ทำให้พวกเขานอนไม่หลับ ก้นบุหรี่ในที่เขี่ยบุหรี่ก่อเป็นกองภูเขาเล็กๆ และมีขี้เถ้าบุหรี่ไม่รู้มากเท่าไรกระจัดกระจายอยู่รอบตัว
“ฉันว่า…ฉันเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว”
หลังจากเงียบไปเกือบยี่สิบนาที ในที่สุดซ่งจื่อเซวียนก็เปิดปากพูด
ในช่วงเมื่อครู่ซางเทียนซั่วเกือบสำลักตายไปแล้ว เขาพูดไม่รู้ตั้งกี่ประโยค แต่ซ่งจื่อเซวียนก็เมินเฉยและสูบบุหรี่ต่อไปพร้อมมองไปข้างหน้าราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ต่อมาซางเทียนซั่วก็ไม่กล้าขัดจังหวะเขา จึงทำเพียงสูบบุหรี่ต่อไป
“เข้าใจแล้วเหรอ อาจารย์ เข้าใจอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนพ่นบุหรี่หนึ่งเฮือกแล้วดับก้นบุหรี่ลงบนกองเล็กๆ ทันที ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ดูเหมือนเขาจะสูบบุหรี่มากกว่าแต่ก่อน บางที…อาจเป็นเพราะหลังก้าวเข้ามาในวงการนักเลงนี้ เขาก็เริ่มกลัดกลุ้มมากขึ้นจริงๆ
“บนรถไฟนายน่าจะดูไม่ผิด ต้าลี่มาที่หลานหยวน ด้วยนิสัยของเคอซานเขาคงไม่ไว้ใจให้คนคนนี้มาฆ่าฉันคนเดียว”
ซางเทียนซั่วพยักหน้า “จริงด้วย ก็เหมือนตอนนี้ที่มันจัดการผมไม่ได้ด้วยซ้ำ กลับโดนเราจัดการแทน”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตอบซางเทียนซั่วแต่พูดต่อ “เขาไม่ได้คิดว่าคนคนนี้จะจัดการไม่ได้ แต่…เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว เพราะงั้นต้าลี่ไม่ได้มาฆ่าพวกเรา แต่..”
ขณะพูดซ่งจื่อเซวียนก็มองไปยังฟางรุ่ยที่นอนอยู่บนพื้น
ซางเทียนซั่วเบิกตากว้าง “ให้ตาย ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1]ของจริงเหรอ แม่งโหดกันจริงๆ คนของตัวเองก็จัดการเหรอ”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด คนคนนี้น่าจะติดตามเคอซานได้ไม่นานเท่าไร เคอซานเลยไม่ไว้ใจ กลัวว่าถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยเขาจะโดนซัดทอด เลยให้ต้าลี่ที่เป็นคนใกล้ชิดมาจัดการเขา แบบนี้ก็จะหมดปัญหา”
“แม่ง ไอ้สวะนี่มันโหดเหี้ยมจริงๆ ไม่รู้ว่ามีคนตายด้วยมือของมันไปกี่คนแล้ว ไอ้สารเลวเอ๊ย!” ซางเทียนซั่วพูดพร้อมสบถด้วยความโกรธกริ้ว
อาจเป็นเพราะทั้งสองคนคุยกันอย่างดุเดือดจนเสียงดังเกินไป ฟางรุ่ยที่นอนอยู่บนพื้นจึงเริ่มหายใจหนักขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาพร่ามัวกลายเป็นชัดเจน จากนั้นเขาก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้น
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทันทีจึงลุกขึ้นเดินไปหาฟางรุ่ย
“ฟื้นแล้วเหรอ”
ซางเทียนซั่วแสยะยิ้ม “ฟื้นแล้วก็ดี อาจารย์ ผมจะเค้นเขาเอง!”
ต้องบอกว่านี่คือความสามารถพิเศษและงานอดิเรกของซางเทียนซั่ว วิธีเค้นถามในแบบของเขา ทำให้เขาพึงพอใจอย่างแน่นอน…
จากนั้นซางเทียนซั่วก็คุกเข่าลง กระชากผมของฟางรุ่ยแล้วพูดว่า “ไอ้หนู บอกมาว่าใครส่งแกมา!”
เห็นได้ชัดว่าฟางรุ่ยยังมึนงงเล็กน้อย เขาหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ได้รู้ทุกอย่างหมดแล้วเหรอ ยังจะถามฉันอีก”
ซางเทียนซั่วหันไปมองซ่งจื่อเซวียนที่มีสีหน้าจนใจ “เคอซานส่งเขามา ถามอย่างอื่นสิ”
“แกซื่อแซ่อะไร เป็นคนที่ไหน แล้วทำไมเคอซานส่งแกมาฆ่าอาจารย์ฉัน”
ฟางรุ่ยกลอกตามองเขา “ไม่ใช่เรื่องของแก แน่จริงก็ตีฉันให้ตาย ไม่งั้นเดี๋ยวฉันจะฆ่าแกซะ!”
“โอ้โห แกเป็นลูกผู้ชายดีแฮะ โอเค ฉันจะแสดงให้ดูว่าเจ๋งจริงเป็นไง!”
พูดแล้วซางเทียนซั่วก็ถอดรองเท้าและถุงเท้าออกอย่างชำนาญ เนื่องจากฟางรุ่ยนอนอยู่บนพื้นและศีรษะอยู่ข้างเท้าของซางเทียนซั่ว ไม่รอให้เขาถอดถุงเท้าก็ได้กลิ่นนั้นอยู่ก่อนแล้ว
“แกจะทำอะไร…”
“ทำอะไรงั้นเหรอ อีกเดี๋ยวแกก็รู้แล้ว”
จากนั้น ซางเทียนซั่วก็เอาเท้าเปลือยเปล่าเหยียบหน้าฟางรุ่ย กลิ่นเหม็นรุนแรงทำให้ฟางรุ่ยแทบหายใจไม่ออกโดยเฉพาะกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ชีวิตนี้เขาได้ผ่านการถูกทุบตี ได้รับบาดเจ็บ กระทั่งเคยถูกยิงด้วยซ้ำ แต่เทียบกันแล้วยังอนาถไม่เท่าครั้งนี้เลย
จู่ๆ เขาก็เอียงกายงอขาและยืนขึ้น ยกมือขึ้นแล้วเกี่ยวคอซางเทียนซั่วด้วยข้อพับแขน ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็จับแขนซางเทียนซั่วบิดกลับไปทางตรงข้ามทันทีก่อนจะตรึงตัวไว้ที่กำแพง
ซางเทียนซั่วตกตะลึง ซ่งจื่อเซวียนก็เช่นกัน เขาเบิกตากว้าง “เทียนซั่ว นายไม่ได้บอกว่าเงื่อนนี้ชื่อ…แก้ไม่ได้ แม้แต่เซียนก็แก้ไม่ได้หรอกเหรอ”
ใบหน้าของซางเทียนซั่วแนบชิดติดผนัง พูดด้วยความอับอาย “แม่งเอ๊ย พลาดซะแล้ว…”
“หึ เมื่อกี้ประเมินแกต่ำไปเลยโดนพวกแกโจมตีได้ แต่…ฉันยังมีเรื่องต้องจัดการ!” ฟางรุ่ยกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเยาะ “งั้นเหรอ เรื่องที่นายต้องจัดการก็คือ…ฆ่าฉันงั้นเหรอ”
“ใช่ เสี่ยซานสั่งว่า ปล่อยแกไว้ไม่ได้!”
“เสี่ยซานงั้นเหรอ เหอะๆ ฟางรุ่ย นายยังจงรักภักดีหลังจากถูกใช้เป็นเครื่องมืออีกเหรอ อย่าเพิ่งพูดถึงสัจจะเลย สมองบวมน้ำไปแล้วหรือไง” ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นพูด จากนั้นก็นั่งบนเตียง สีหน้าผ่อนคลายไร้ซึ่งร่องรอยความหวาดกลัว
เห็นเช่นนี้ฟางรุ่ยก็รู้สึกแปลกใจพร้อมถามว่า “นายไม่กลัวตายงั้นเหรอ แล้วรู้ชื่อฉันได้ไง”
“นั่นสิอาจารย์ ผมถามเมื่อกี้เขายังไม่บอกเลย” ใบหน้าของซางเทียนซั่วโดนบีบอัดอยู่ ตอนนี้จึงพูดไม่ค่อยชัด
“ตอนที่นายสลบเมื่อกี้ ฉันเห็นบัตรประชาชนนาย ในเมื่อนายนั่งรถไฟตามเรามาแถมยังเช็คอินเข้าโรงแรม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พกบัตรมา ใช่ไหมล่ะฟางรุ่ย” ซ่งจื่อเซวียนสองมือหนุนเตียงด้านหลังและพูดอย่างผ่อนคลาย
“ใช่ ฉันชื่อฟางรุ่ย แล้วไงล่ะ นายก็ยังต้องตายอยู่ดี!”
ฟางรุ่ยจ้องซ่งจื่อเซวียนเขม็ง ราวกับเห็นท่าทางมั่นใจของซ่งจื่อเซวียนในตอนนี้ เขาก็อยากฆ่าไอ้หมอนี่มากขึ้นเต็มที
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้โดนสายตานั้นทำให้สั่นคลอนเลยสักนิด
“ฉันยังรู้ด้วยว่านายเป็นทหารปลดประจำการและมาติดตามเคอซานได้ไม่นาน ฟางรุ่ย ฉันขอบอกนายจากใจจริง ถึงฉันจะเด็ก แต่ฉันเข้าใจหลักความเป็นจริง ผู้คนมีผิดพลาดกันได้แต่อย่าเลือกเดินในเส้นทางที่ผิด เพราะความผิดสามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าเดินทางผิด…คงกลับตัวไม่ได้แล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ฟางรุ่ยก็ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง เขาจะไม่เข้าใจคำพูดของซ่งจื่อเซวียนได้อย่างไร
เขาภูมิใจที่เป็นทหารมาโดยตลอด หลังจากปลดประจำการ เศรษฐกิจในตอนนั้นไม่ดีและหางานยาก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากติดตามเสี่ยซาน แม้ค่าตอบแทนจะสูงแต่มีชีวิตอยู่ในความเสี่ยง อนาคตก็คาดเดาไม่ได้…
เมื่อเห็นท่าทีสะเทือนใจของฟางรุ่ย ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “นายอาจมีรายได้ที่ดีในตอนนี้ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นเคอซานคงไม่ต่อสู้เพื่อนาย ถึงตอนนั้นครอบครัวนายจะทำยังไง ตอนนี้นายอายุยี่สิบกว่าปีอนาคตอีกสิบปีข้างหน้าจะทำยังไง จะใช้ชีวิตในวงการนี้เหรอ”
อันที่จริงฟางรุ่ยคิดเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้แล้ว แต่เขาจะทำอะไรได้ ระหว่างที่เขาอยู่ในกองกำลังพิเศษ เขาแทบจะได้รับเกียรติที่สมควรได้รับทั้งหมด แต่วันนี้เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ความสามารถทั้งหมดที่เขามีไม่สามารถใช้ได้ตามใจ เพราะเมื่อไม่มีภารกิจเหมือนก่อนแล้ว หากเขาลงมือก็จะผิดกฎหมาย ดังนั้นเขาที่ต้องการมีชีวิตดีขึ้นจึงทำได้เพียงติดตามคนอย่างเคอหงเทาเท่านั้น…
ซ่งจื่อเซวียนก้าวเข้ามาใกล้และพูดต่อ “ฉันว่านายต้องรู้สึกไม่มีทางเลือก เพื่อความอยู่รอดแล้วผู้คนมักไม่มีทางเลือก แต่นายคิดผิด ผู้คนมีทางเลือกได้มากมาย แต่นายเลือกทางที่ผิด!”
“หึ แล้วไงล่ะ นี่คือสิ่งที่ฉันเลือก ฉันก็ต้องรับผิดชอบ!”
“ฮ่าๆ นายต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง แต่นายจะรับผิดชอบไหวไหมล่ะ ฉันบอกนายให้นะฟางรุ่ย สิ่งที่นายเผชิญในวันนี้อาจไม่ใช่อิสระที่ถูกจำกัดในหลายสิบปีข้างหน้า แต่เป็นชีวิตนายที่ใกล้จะจบสิ้นแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนทิ้งระเบิดเป็นชุดแบบไม่ให้โอกาสฟางรุ่ยได้คิดเลย เขาจบถ้อยคำเหล่านี้ด้วยท่าทีที่แทบจะเป็นการข่มเหง ซางเทียนซั่วก็ตะลึงงันเมื่อได้ยินเช่นกัน ‘อาจารย์หนออาจารย์ ไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นอาจารย์จริงๆ พระถังซัมจั๋งก็สู้ไม่ได้…’
ฟางรุ่ยชะงักเมื่อได้ยิน “ชีวิตงั้นเหรอ นายหมายถึงอะไร”
“กล้าเดิมพันกับฉันไหม คืนนี้ต้าลี่ลูกน้องอีกคนของเคอซานจะโผล่มา ขณะที่นายรับภารกิจฆ่าฉัน เขาก็ได้รับภารกิจให้ฆ่านายด้วย!”
“อะไรนะ นะ…นี่ไม่มีทาง ทำไมเสี่ยซานถึงต้องฆ่าฉันล่ะ ฉันทำงานขายวิญญาณเพื่อเขานะ!” ฟางรุ่ยกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวพร้อมคลี่ยิ้ม “นายคิดว่าตัวเองขายวิญญาณเพื่อเขา แต่เขาไม่เชื่อใจนายเลย ดังนั้นก็ต้องฆ่าปิดปากนายอยู่แล้ว นายกล้าเดิมพันนี้ไหมล่ะ”
“เดิมพันอะไร”
“เหอะๆ ง่ายมาก ถ้าฉันพูดถูกนายจะไม่ฆ่าฉัน แต่ถ้าต้าลี่ไม่ปรากฏตัว ฉันจะยืนอยู่ที่นี่ปล่อยให้นายฆ่าเลย!”
ขณะที่พูดสายตาซ่งจื่อเซวียนก็จ้องเขม็ง สีหน้าจริงจังมาก ดวงตาที่แหลมคมของเขาราวกับคมดาบ
แม้ว่าฟางรุ่ยจะมีคุณสมบัติของกองกำลังพิเศษ แต่เมื่อเห็นสายตาคู่นี้เขาก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่ภายในใจ
เหตุใดคนที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีถึงได้มีสายตาที่ดุดันอย่างนี้ ฟางรุ่ยสูดหายใจหนึ่งเฮือก ราวกับว่าถูกแรงกดดันจากซ่งจื่อเซวียนทำให้หายใจไม่ออกเล็กน้อย
“โอเค ฉันเดิมพันกับนาย ฉันไม่เชื่อว่านายจะหลบหนีสายตาของฉันพ้นได้ จะให้ฉันทำอะไร” ฟางรุ่ยเอ่ยถาม
“ง่ายๆ ฉันจะแกล้งทำเป็นถูกนายฆ่า และนายแค่ต้องรออยู่ที่นี่” ซ่งจื่อเซวียนพูดและมองซางเทียนซั่ว “เทียนซั่ว นายคิดหาวิธี อีกเดี๋ยวถึงต้าลี่จะมีปืนก็น่าจะหาช่องโหว่หยุดวิธีนั้นได้”
ในที่สุดซางเทียนซั่วก็หลุดพ้นจากฟางรุ่ย เขากลอกตามองอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “หึ อาจารย์ ตอนนี้เรากำลังช่วยไอ้หมอนี่อยู่หรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนเผยยิ้มเล็กน้อย “เข้าใจแบบนั้นก็ได้นะ!”
เมื่อได้ยินฟางรุ่ยก็เงยหน้าขึ้น “หยุดเสแสร้ง ชนะเดิมพันก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด!”
แม้ว่าจะพูดแบบนี้ แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่าถ้าต้าลี่ปรากฏตัวโดยที่ตนไม่ได้เตรียมการป้องกัน และยังพกปืนมาด้วย ก็ดูท่าจะรอดยากจริงๆ
หลังจากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็นอนพักผ่อนบนเตียง ในขณะที่ซางเทียนซั่วจัดเตรียมบางอย่างในห้องและซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ ส่วนฟางรุ่ยเขานั่งสบายๆ สูบบุหรี่อยู่ด้านข้างตามคำแนะนำของซ่งจื่อเซวียน แต่ในใจกลับยังหวาดหวั่น
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสอง ฟางรุ่ยรู้สึกง่วงเล็กน้อยเขาจึงหยิบมือถือขึ้นมาเล่นอย่างสบายๆ
แต่ในไม่ช้า เขาก็เห็นร่างหนึ่งปรากฏที่หน้าประตูผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา เขาหันกลับไปอย่างระมัดระวังทันที และคนที่ปรากฏตัวก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากต้าลี่!
ปฏิกิริยาแรกของฟางรุ่ยคือการมองไปที่สองเท้าของต้าลี่ เขาไม่สวมรองเท้าด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าทำแบบนี้เพื่อลดเสียงเคลื่อนไหว
คิดถึงตรงนี้ในใจของเขาก็เย็นยะเยือก ดูเหมือนเขาจะแพ้เดิมพันนี้เสียแล้ว
“โอ้ ฟางรุ่ย เสี่ยซานเป็นกังวลเลยให้ฉันมาที่หลานหยวนด้วย เหมือนว่านายจะทำงานได้ดีนะ!” เมื่อเห็นฟางรุ่ยหันกลับมา ต้าลี่ก็รีบฉีกยิ้มพูด
ฟางรุ่ยหัวเราะเยาะ “งั้นเหรอ เสี่ยซานคนนั้นเอาใจใส่จริงๆ เลยนะ”
ฟางรุ่ยไม่เชื่ออยู่แล้ว ‘ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทำไมต้าลี่ไม่สวมรองเท้าเข้ามาล่ะ นายทำเพื่อไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็น…หรือกลัวว่าฉันจะรู้ตัว’
“เหอะๆ แน่นอน เสี่ยซานระมัดระวังอยู่ตลอดนั่นแหละ เพราะงั้นซ่งจื่อเซวียนถึงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ส่วนนาย…ก็ปล่อยไปไม่ได้เหมือนกัน!”
ขณะที่เขาพูด ต้าลี่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อยเผยให้เห็นสายตาที่โหดเหี้ยม และเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ในมือข้างนั้นเห็นได้ชัดว่าถือปืนพกไว้อยู่
………………………………………….
[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง (螳螂捕蝉黄雀在后) เปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาวรออยู่ หรือผู้ที่จ้องจะเล่นงานผู้อื่น โดยไม่คาดคิดว่าตนเองก็อาจถูกผู้อื่นจ้องเล่นงานเช่นกัน