เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 76 บันทึกหย่งซั่น
ตอนที่ 76 บันทึกหย่งซั่น
ซางเทียนซั่วกระโจนเข้าหาอย่างห้าวหาญ อย่าว่าแต่ฟางรุ่ย แม้แต่ซ่งจื่อเซวียนก็สะดุ้ง ที่จริงเขาคิดว่าซางเทียนซั่วหลับไปแล้ว เมื่อครู่ที่เขาคุยกับฟางรุ่ยอยู่ เสียงกรนนั้นไม่ได้หยุดลงเลย…
ซ่งจื่อเซวียนเห็นดังนั้นก็ขยับร่างกายโดยไม่รู้ตัว และตอนนี้เหมือนว่าฟางรุ่ยจะได้สติแล้ว เขาหลบทันควันและจ้องเขม็งไปที่ซางเทียนซั่ว
แต่ถึงจะตอบสนองรวดเร็วขนาดนี้ก็ยังสายเกินไป ซางเทียนซั่วมาอยู่ตรงหน้าฟางรุ่ยแล้ว ขณะที่มือข้างหนึ่งจับล็อกคอไว้ อีกมือหนึ่งก็กำหมัดและง้างโจมตีฟางรุ่ยที่กลางอกล่าง
ตำแหน่งนี้ตรงช่องท้องพอดี แม้ว่าฟางรุ่ยจะมีร่างกายที่ยอดเยี่ยม แต่หมัดของซางเทียนซั่วก็โจมตีท้องของเขาอย่างแรงจนทำให้ร่างกายของเขาชักกระตุก อีกทั้งคอยังถูกล็อกไว้อยู่ เขาก็รู้สึกคลื่นไส้จากภายในทันที และอาเจียนไปข้างหน้าโดยตรง
ซางเทียนซั่วไม่มีท่าทีจะหยุด เมื่อฟางรุ่ยโน้มตัวไปข้างหน้า เขาก็ยกเข่าเตะเข้าหน้าท้องด้วยกำลังทั้งหมด พอร่างของฟางรุ่ยล้มไปข้างหน้า ซางเทียนซั่วก็อาศัยจังหวะนี้กำหมัดแน่นกระแทกเข้าที่หลังคอของอีกฝ่าย
ตำแหน่งหลังคอเป็นจุดศูนย์กลางของร่างกาย ถึงจะเป็นยอดฝีมือแต่ถ้าถูกโจมตีอย่างแรงโดยไม่ระวังก็อาจหมดสติหรือเสียชีวิตได้
ดวงตาของฟางรุ่ยกลอกขึ้น และเขาก็ล้มพับลงกับพื้นทันที
เมื่อเห็นอย่างนั้น ในที่สุดซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันก็เปิดโคมไฟข้างเตียงแล้วพูดอย่างกระหืดกระหอบ “เทียนซั่ว นายทำได้ ว่องไวจริงๆ!”
ที่จริงซางเทียนซั่วก็รู้สึกกังวล ครั้งที่แล้วที่หอหงเยวี่ย เขามั่นใจว่าฟางรุ่ยคนนี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยเขาก็เป็นยอดฝีมือ เมื่อครู่เขาได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราบรื่นและเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ในการโจมตีเพียงสามครั้ง
“ผะ…ผมก็คาดไม่ถึง แต่ไอ้หมอนี่บอบบางจริงๆ อาจารย์เราจะทำยังไงดี เขาคงไม่ตายใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนก็กังวลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้อยากจะฆ่าใคร เขารีบคุกเข่าลงมาสัมผัสลมหายใจของฟางรุ่ย กระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ออกมาเขาถึงได้โล่งใจ
เขาเงยหน้ามองดูท่าทางประหม่าของซางเทียนซั่วก็อดยิ้มไม่ได้ “เป็นอะไร ยังมีตอนที่ซางเทียนซั่วกลัวด้วยเหรอ”
“ไร้สาระน่า…อาจารย์ ถ้าเขาตายขึ้นมาผมจะติดคุกไหม บัดซบ…คงไม่โดนยิงเป้าใช่ไหม”
ซางเทียนซั่วพูดพลางนั่งลงบนเตียงและพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าหม่นหมอง “แต่ได้ยินมาว่าตอนนี้ใช้การฉีดยาพิษประหาร แบบนั้นอาจจะสบายขึ้นหน่อย…ถ้าผมโดนจับจริงๆ อาจารย์…ฝากดูแลพ่อแม่แทนผมได้ไหม พ่อผม…”
“เอาล่ะๆ พูดเหมือนกำลังจะไปลานประหารซะงั้น คนยังไม่ตายเลยแค่หมดสติ”
“หมดสติเหรอ ให้ตาย ไอ้หมอนี่ไหวไหมเนี่ย แป๊บเดียวก็โดนจัดการจนหมดสติไปแล้ว” เมื่อซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนเป็นคนละคน จากนั้นลุกขึ้นยืนตรง “คิดไม่ถึงว่าฝีมือยังใช้ได้ ฮ่าๆ อาจารย์ตอนนี้จะทำยังไงดี มัดไอ้หมอนี่ไว้เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นฟื้นขึ้นมาแล้วจะยุ่ง หาเชือกเถอะ”
แต่แล้วซ่งจื่อเซวียนก็ผงะ ทันทีที่เขาพูดจบซางเทียนซั่วก็ไม่พูดอะไรแล้วถอดรองเท้า และตอนนี้กำลังงุ่นง่านกับรองเท้าที่ถอดวางไว้ตรงขาของเขา
“เฮ้ย ถอดรองเท้าทำไม”
ซางเทียนซั่วเงยหน้าขึ้น “เอาเชือกรองเท้าออกไง ไม่อย่างนั้นจะหาเชือกที่ไหนล่ะ”
ขณะที่พูดซางเทียนซั่วก็ถอดเชือกรองเท้าออกแล้ว จากนั้นเดินไปมัดมือฟางรุ่ยไว้ด้านหลัง ซางเทียนซั่วมัดไปพร้อมพูดว่า “อาจารย์มาดูสิ เงื่อนนี้ของผมพิเศษนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางปิดจมูก “กลิ่นนี่…มันพิเศษยังไงล่ะ”
“ฮ่าๆ เงื่อนนี้มีชื่อว่าแก้ไม่ได้ หมายความว่าตราบใดที่มันถูกมัด แม้แต่เซียนก็ไม่สามารถแก้มันได้!”
ซางเทียนซั่วพูดพร้อมกับดึงเชือกรองเท้าอย่างแรงเป็นครั้งสุดท้าย และเงื่อนในมือของฟางรุ่ยก็รัดจนแน่น
“เรียบร้อย เสร็จแล้วอาจารย์ ให้ไอ้หมอนี่นอนตรงนี้แล้วเราก็พักสักหน่อยเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “แต่…เทียนซั่ว เมื่อกี้นายไม่ได้หลับจริงๆ เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนสงสัยตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หมอนี่แกล้งหลับได้เหมือนจริงมากแม้แต่ตัวเองก็ยังโดนหลอกสนิท ที่สำคัญที่สุดคือเสียงกรนก็สมจริงเกินไป…
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะอาจารย์ ผมง่วงจะตายแต่มีนิสัยหลับไม่ลึก แค่มีการเคลื่อนไหวเบาๆ ก็ตื่นแล้ว แต่ไม่ได้ลุกขึ้นทันทีแค่รอให้ไอ้นั่นมันเผลอตัว แล้วค่อยล้มมันในครั้งเดียว!”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้มพร้อมพูดว่า “ครั้งนี้นายทำผลงานได้ดีจริงๆ ไม่อย่างนั้นคืนนี้เราทั้งคู่โดนขยี้เละแน่”
……
ณ ห้องส่วนตัวไฉ่อวิ๋นเฟยในหอหงเยวี่ย
หลายคนอ่านข้อมูลที่เสี่ยหวงส่งให้แล้ว ใบหน้าของพวกเขาสับสนเล็กน้อย เคอหงเทาเอ่ยว่า “เสี่ยหวง ข้อมูลนี้เป็นทางการหรือเปล่าครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาด้านในเท่าไร”
“เหอะๆ จริงเหรอ แล้วพวกนายเห็นกันบ้างล่ะ” เสี่ยหวงถามด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยเจียงที่อยู่ถัดมากล่าวขึ้น “ส่วนแบ่งการตลาดของข้าวผัดจักรพรรดิ การเผชิญหน้าตลาดในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต แต่ทั้งหมดนี้… เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น ไม่อาจพูดได้ว่าแม่นยำแน่นอน”
เสี่ยหวงพยักหน้าและยิ้ม จากนั้นมองไปที่คุณเถียน
วันนี้คุณเถียนสวมเสื้อคอจีนสีม่วง มองแล้วสบายตาเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าในหมู่คนเหล่านี้สถานะของเขาเป็นรองเพียงเสี่ยหวงเท่านั้น
คุณเถียนก้มศีรษะลงมุมปากยกขึ้น “สิ่งที่พวกท่านอ่านนั้นถูกแล้วครับ ข้อมูลนี้เพียงยืนยันกับทุกท่านเกี่ยวกับประเด็นการพบเจอกันในวันนี้ แต่…ดูเหมือนว่าพวกคุณจะไม่สังเกตเห็นรายละเอียดบางอย่าง”
ทุกคนเงียบแล้วดูข้อมูลอีกครั้งทันที ในเวลานี้หลี่ม่านหงพูดขึ้นมาว่า “คุณเถียน ถ้าฉันเดาไม่ผิด ย่อหน้านี้แนะนำประวัติความเป็นมาของข้าวผัดจักรพรรดิ และมีประโยคหนึ่งที่กล่าวถึงว่าข้าวผัดจักรพรรดิอาจมีต้นกำเนิดมาจากข้าวผัดหยกทองในห้องเครื่องพระราชวังชิง และยังกล่าวถึง ‘บันทึกหย่งซั่น’ ขออภัยที่ฉันความรู้น้อย แต่ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบันทึกหย่งซั่นเลยค่ะ”
หลังจากที่หลี่ม่านหงพูดจบ ทุกคนก็หาย่อหน้านี้เจอแล้วเช่นกัน เคอหงเทาเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “บันทึกหย่งซั่น…มันคืออะไรเหรอ”
คุณเถียนคลี่ยิ้ม “ผมเพิ่งได้รู้เกี่ยวกับบันทึกหย่งซั่นเมื่อเร็วๆ นี้ และต้องขอบคุณเสี่ยหวงที่สอนบทเรียนนี้ให้ผม เมื่อไม่นานมานี้เสี่ยหวงไปเยี่ยมท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง มีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว ตอนช่วงอายุสิบขวบได้ทำงานเป็นพ่อครัวให้กับทางการในสมัยนั้น”
“หืม งั้นคงเป็นท่านผู้เฒ่าจริงๆ เสี่ยหวง ผมไม่เคยได้ยินเสี่ยเอ่ยถึงผู้เฒ่าท่านนี้เลยนะ” เคอหงเทากล่าว
“เหอะๆ เสี่ยซานพูดแบบนี้ หมายความว่าข้อมูลของหวงฟาต้องแบ่งปันให้พวกนายทุกคนด้วยงั้นเหรอ”
เคอหงเทาผงะกับสิ่งที่เสี่ยหวงพูด โดยปกติแล้วงานชุมนุมอาหารตู้เหมินเป็นสถานที่สำหรับการแบ่งปันข้อมูล แต่หวงฟาเป็นข้อยกเว้น สิ่งนี้ถูกตัดสินด้วยสถานะของเขา ไม่มีใครสามารถแบ่งปันข้อมูลกับเสี่ยหวงได้
เคอหงเทารู้สึกกระอักกระอ่วน นึกเสียใจภายหลังกับคำที่พูดไป เดิมทีเขาคิดที่จะหยอกล้อตามอารมณ์กับเสี่ยหวง แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะลงเอยด้วยการถูกดูแคลนต่อหน้าทุกคน
“เหอะๆ เสี่ยหวง ผมไม่กล้าหมายความอย่างนั้น แค่พลั้งปากไป ใครบ้างที่ไม่รู้จักสถานะเสี่ยหวงในวงการอาหารเมืองตู้เหมิน แม้ว่าจะเป็นเป้ยเล่อแห่งเมืองปักกิ่ง เขาก็ต้องไว้หน้าเสี่ยสามส่วน!”
เคอหงเทาความคิดแล่นเร็ว รีบชมเชยอวยยศให้ ไม่เช่นนั้นวันนี้เขาคงจบไม่สวย
เมื่อหลี่ม่านหงเห็นดังนี้ เธอก็รีบแก้ไขสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็วโดยกล่าวว่า “สิ่งที่เสี่ยซานพูดนั้นไม่มีข้อบกพร่องเลย ไม่อย่างนั้นทำไมห้องไฉ่อวิ๋นเฟยที่ปกติไม่ได้เปิด พอเสี่ยหวงมาถึงก็จำเป็นต้องเปิดให้ทันทีล่ะคะ!”
หลังจากพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ยิ้มแย้ม บรรยากาศผ่อนคลายลงมาก
เสี่ยหวงพยักหน้า “ทางเป้ยเล่อไม่มีปัญหาเพราะเป็นคนกันเอง แต่เมื่ออยู่ในวงการนี้ยังต้องให้เกียรติทุกท่านในเมืองตู้เหมินของเราถึงจะถูก”
“คำพูดเสี่ยหวงนั้นมีน้ำหนัก” เคอหวงเทารีบกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้เฒ่าคนนั้นที่คุณเถียนเพิ่งพูดถึง ฉันนับถือเขามาก ตอนฉันไปหาเขาครั้งนี้ผู้เฒ่าได้พูดถึงข้าวผัดจักรพรรดิ เขาบอกว่าข้าวผัดจักรพรรดิเป็นเพียงกิ่งก้าน รากฐานของมันมาจากข้าวผัดหยกทอง และข้าวผัดหยกทองนี้…มีต้นกำเนิดมาจากบันทึกหย่งซั่น!”
หลังจากฟังหวงฟาพูด ทุกคนก็มองหน้ากัน ราวกับว่าไม่เข้าใจบันทึกหย่งซั่นที่เขากำลังพูดถึงเลย
“เหอะๆ คิดว่าทุกคนคงจะเป็นเหมือนฉันตอนได้ยินเรื่องนี้ เดิมทีไม่รู้ว่าบันทึกหย่งซั่นนี้คืออะไร พอพูดถึงข้าวผัดหยกทอง มันกำเนิดขึ้นในยุคทองของราชวงศ์ชิงและเป็นอาหารหลักจานสุดท้ายในทุกงานเลี้ยงของพระราชวัง แต่ถูกยกเลิกหลังสมัยจักรพรรดิเต้ากวง[1]”
“ยกเลิกไปแล้ว ถึงได้เกิดข้าวผัดจักรพรรดิในภายหลังอย่างนั้นเหรอ”
หวงฟาส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ไม่ แม้ว่าจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ในสมัยจักรพรรดิกวงซวี่[2] องค์ชายหย่งแห่งราชสกุลอ้ายซินเจวี๋ยหลัวในขณะนั้น เป็นองค์ชายที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่เขามีงานอดิเรกอย่างหนึ่งคืออาหารอันโอชะ เขาสั่งคนให้ค้นหาทายาทของพ่อครัวข้าวผัดหยกทอง ค้นหาเป็นเวลาแปดเดือนถึงจะพบบุคคลนั้นในหมู่สามัญชน”
เมื่อเห็นว่าหลายคนตั้งใจฟังตาแป๋ว หวงฟาก็พูดกลั้วหัวเราะ “ชายคนนี้ชื่อฟางสวิน และเขาทำข้าวผัดหยกทองถวายองค์ชายหย่ง หลังจากชิมข้าวผัดแล้ว องค์ชายหย่งก็รู้สึกว่าได้เสวยข้าวอันโอชะที่สุดแล้ว อีกทั้งร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลัง จากนั้นเขาจึงรวบรวมอาหารเมนูนี้ไว้ในรายการอาหารขึ้นชื่อของตำหนักองค์ชาย ส่วนฟางสวินก็เข้ามาอยู่ในวัง รวมถึงลูกหลานของเขาก็ล้วนทำงานในฐานะพ่อครัวหลวงในวัง”
“ถ้าอย่างนั้นรายการอาหารขึ้นชื่อในพระตำหนักขององค์ชายหย่ง…” เสี่ยเจียงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ก็คือบันทึกหย่งซั่นที่เสี่ยหวงพูดถึงอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ผิด องค์ชายหย่งไม่เคยสนใจเรื่องการเมืองเลยทั้งชีวิต ไม่ชอบสิ่งของต่างๆ จนถึงขั้นไม่ลุ่มหลงในกามด้วย พระองค์เพียงแต่อยากเสวยอาหารเลิศรส พูดให้ชัดคือพระองค์เป็นนักชิมของชนชั้นสูงในสมัยนั้น พระองค์มีพระชันษาหกสิบสามปี และได้ให้พ่อครัวบันทึกวิธีการทำอาหารเลิศรสที่สุดที่ตนเคยลิ้มรสมาทั้งชีวิตไว้ และในที่สุดก็รวบรวมเป็นบันทึกหย่งซั่น ซึ่งก็คือบันทึกเครื่องเสวยขององค์ชายหย่งนั่นเอง!”
หลังจากทุกคนในที่นี้ฟังเรื่องราวจบก็อ้าปากตาค้าง เคอหงเทาเอ่ย “คงไม่ใช่ว่าถ้าได้บันทึกหย่งซั่นมาอยู่ในมือ ก็จะสามารถขุดหาอาหารจีนเลิศรสมากมายที่สูญหายไปได้หรอกนะ”
คุณเถียนพยักหน้าเบาๆ “ดังนั้นเมื่อคนทั่วไปเห็นข้าวผัดจักรพรรดิในตอนนี้ ก็ล้วนอยากได้วิธีการทำกัน แต่เสี่ยหวงมองไกลกว่านั้น เชฟข้าวผัดจักรพรรดิคนนี้ไม่ง่ายเลย ถ้าเรายืนยันได้ว่าในมือของเขามีบันทึกหย่งซั่นอยู่จริงๆ บางทีวงการอาหารตู้เหมินอาจขึ้นสู่อันดับสูงสุดในด้านอาหารเลิศรสของทั้งประเทศได้!”
ได้ยินดังนั้น เคอหงเทาก็ตื่นตกใจพูดกับตัวเอง ‘หากเป็นอย่างนั้นตนก็เป็นเก๋งจีนใกล้น้ำมากที่สุดไม่ใช่หรือ แต่ตนส่งคนไปฆ่าซ่งจื่อเซวียนแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น…ซ่งจื่อเซวียนตายไปก็จะพูดไม่ได้อีกต่อไป และบันทึกหย่งซั่นก็จะหายไปเช่นกัน!’
นึกถึงตรงนี้เคอหงเทาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เขาโทรต่อหน้าคนเหล่านี้ไม่ได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงรีบถือโอกาสไปเข้าห้องน้ำและกดเบอร์ของต้าลี่
แต่เมื่อคิดอีกทีโทรหาต้าลี่ก็ไร้ประโยชน์ คนที่ต้องจัดการซ่งจื่อเซวียนคือฟางรุ่ย โทรหาอีกฝ่ายจึงจะถูกที่สุด จุดประสงค์ของเขานั้นเรียบง่าย ฟางรุ่ยต้องหยุดลงมือทันที!
เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ซ่งจื่อเซวียนที่พูดจาได้!
แต่กดโทรไปนานก็ไม่มีใครรับสายเลย เคอหงเทากระทืบเท้าอย่างร้อนอกร้อนใจ ในใจคิดถึงความเป็นไปได้ไม่รู้เท่าไรแล้ว…
……………………………………………………
[1] จักรพรรดิเต้ากวง (道光皇帝) เป็นจักรพรรดิองค์ที่เจ็ดแห่งราชวงศ์ชิง รัชสมัยระหว่างปี ค.ศ. 1820 ถึงปี ค.ศ. 1850
[2] จักรพรรดิกวงซวี่ (光绪帝) เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ชิง รัชสมัยระหว่างปี ค.ศ. 1875 ถึง ค.ศ. 1908