เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 74 เปิดห้อง
ตอนที่ 74 เปิดห้อง
ฟางจิ่งจือเหลือบมองซ่งจื่อเซวียน แววตาอ่อนโยนและลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าเห็นด้วยตาตัวเองมานานแค่ไหนถึงสั่งสมสายตาที่สุขุมนุ่มลึกขนาดนี้ได้
“เด็กโง่ แกมีอนาคต แต่มีอนาคตแค่ไหน ก็ต้องดูพรสวรรค์ของแกแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกตื้นตันอย่างสุดซึ้ง ตาทั้งสองข้างของเขามีน้ำตาคลอหน่วยตา “ปู่ ผมเข้าใจแล้ว หลังจากนี้ผมจะขยันหมั่นเพียรแน่นอน”
ฟางจิ่งจือยิ้ม “ขยันหมั่นเพียรมีประโยชน์กับผีอะไรเล่า แกเคยเห็นคนอัจฉริยะในสายอาชีพไหนพึ่งความขยันหมั่นเพียรบ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินประโยคนี้ก็ผงะไปทันที ถามว่า “ถ้าไม่พึ่งความขยัน สิ่งที่พึ่งก็ไม่ใช่ความขยันงั้นเหรอ…”
“พรสวรรค์ไงล่ะ แกจำไว้นะไอ้หนู พรสวรรค์ใหญ่กว่าทุกสิ่ง ถ้าพรสวรรค์เป็นส่วนประกอบส่วนนั้นจริงๆ ถึงหลับตาอยู่ก็ยังเป็นยอดคน แต่ถ้าพรสวรรค์ไม่เพียงพอ จะพยายามอีกสักแค่ไหนก็ไม่โดดเด่นไปตลอดชีวิตนั่นแหละ!” ขณะฟางจิ่งจือพูด ท่าทางก็เอาจริงเอาจังอย่างมาก
“เอ่อ…ปู่ นี่มันก็ด้านเดียวเกินไปมั้ง ยังมีคนที่ประสบความสำเร็จไม่น้อยที่เอาความขยันเข้าสู้นี่นา”
“เหอะๆ แต่แกเคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดที่สู้สุดชีวิตอย่างขมขื่นหรือเปล่าล่ะ หนึ่งพรสวรรค์มีค่าเท่ากับสิบความพยายาม นี่ก็เป็นความอยุติธรรมของโลกใบนี้ แกพึ่งความขยันเข้าสู้ทั้งชีวิต คิดเองเออเองว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายแกก็จะเห็นคนคนหนึ่ง เขาทุ่มออกไปน้อยกว่าแก แต่ประสบความสำเร็จได้แวววาวพร่างพราวกว่าแก นี่ก็คือพรสวรรค์”
ตาเฒ่าฟางพูดประโยคนี้จบ สุดท้ายซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เหมือนกับไม่ได้คิดว่าถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดเล็กน้อย สิ่งที่ชายชราพูดเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงอยู่จริงๆ
บนโลกใบนี้ ไม่ขาดคนที่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่เปล่งประกายที่สุดนั้นจะต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์แน่นอน นี่ก็คือการได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ล่ะมั้ง
“ปู่ อย่างนั้น…ผมเอาสูตรอาหารไปแล้วนะ”
“ตอนที่กลับมาอย่าลืมเอาเหล้าขาวหลานหยวนติดไม้ติดมือกลับมาสักขวดก็พอ” พูดพลาง ฟางจิ่งจือก็กลับไปพิงตั่ง หรี่ตาลง
“ได้เลย ผมขนมาให้สักลังยังได้”
เรื่องนี้เป็นเรื่องดีสำหรับซ่งจื่อเซวียนจริงๆ สามารถพกติดตัวไปเมื่อไรก็ได้ ขอแค่มีเวลาว่าง ก็จะเรียนสิ่งที่อยู่ในสูตรได้
แต่พิจารณาถึงความโด่งดังของข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว เขาก็กลัวว่าจะดึงดูดพวกเรื่องยุ่งยากเข้ามา หรือว่าจะตัดสินใจหาที่ถ่ายเอกสารไว้สักชุด ทำสำเนาไว้อ่านสักนิดหน่อย เช่นนี้ต่อให้ทำหายก็ไม่ถึงขนาดกับปวดใจ
หลังออกมาจากบ้านของฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนก็ทำสำเนาที่ร้านถ่ายเอกสารหน้าบ้านมาสองแผ่น สองแผ่นนี้หลักๆ ก็คือส่วนที่เขาอ่านไม่เข้าใจนั่นเอง ส่วนด้านหน้าที่เข้าใจแล้วกับเนื้อหาด้านหลัง เขาไม่ได้ทำสำเนามา
ถ้าทำแบบนี้ต่อให้ทำหาย ต่อให้มีเพื่อนร่วมอาชีพเก็บได้ ก็ยากที่จะเข้าใจได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีส่วนหน้าและส่วนหลัง แทบจะไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
ช่วงเย็น ซ่งจื่อเซวียนกลับถึงบ้านกินข้าวกินปลาเสร็จก็หยิบสูตรอาหารขึ้นมาอ่าน ส่วนเรื่องที่จะไปหลานหยวนพรุ่งนี้เขาไม่ได้บอกหานหรง อย่างไรเขารู้ดีว่าหานหรงจะต้องห้ามเขาแน่ๆ เขาก็ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง
วันถัดมา เหมือนกับปกติ เพิ่งจะถึงช่วงเที่ยงข้าวผัดจักรพรรดิก็ขายหมดแล้ว วันนี้ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ต้องลางาน
หลังจากเขาลางานวันถัดไปกับเจิ้งฮุย ถึงเจิ้งฮุยจะรู้สึกไม่พอใจ แต่คุณค่าของซ่งจื่อเซวียนตอนนี้เป็นที่ประจักษ์ในต้าสือไต้ ดังนั้นก็ทำได้แค่อนุญาตอย่างเกรงอกเกรงใจเท่านั้น
ความจริงเขาก็รู้ว่าต่อให้ไม่อนุญาต ซ่งจื่อเซวียนก็ไปอยู่ดี เช่นนั้นก็หลีกเลี่ยงการขัดแย้งรอบหนึ่งไปเลยจะดีกว่า
เวลาบ่ายสามโมงกว่า ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วก็นั่งรถมาถึงสถานีรถไฟ รถไฟขบวนนี้ถือว่าว่างมาก เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเฉลิมฉลองเทศกาล อีกทั้งยังเป็นวันทำงาน ผู้โดยสารจึงมีน้อย
หาที่นั่งเจอ ซางเทียนซั่วก็รีบนั่ง พร้อมกับวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่บนตัวลง “เฮ้อ ในที่สุดก็ได้พักสักที กระเป๋านี่หนักจริงๆ”
เห็นซางเทียนซั่วเป็นแบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมา “พวกเราไปแค่วันสองวันเอง นายจะเอาของไปเยอะขนาดนี้ทำไมกัน”
“อาจารย์ไม่รู้อะไรซะแล้ว นี่เรียกว่าอุปกรณ์ฆ่าเวลาเชียวนะ!”
“หืม ฆ่าเวลาเหรอ นายเอาของเล่นอะไรมา ไม่ใช่เสื้อผ้าของใช้เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ซางเทียนซั่วยิ้ม คุ้ยกระเป๋าพลางพูดว่า “จะเอาของเล่นมาทำไมเล่า ผมก็ขี้เกียจจะแบกนะ อาจารย์ดูนี่ เนื้อแห้ง ขาไก่ ไข่พะโล้ คุกกี้ มันฝรั่งแผ่นทอด…”
ซ่งจื่อเซวียนมองอย่างเหม่อลอย กระเป๋าของซางเทียนซั่วที่ใส่ขนมมาเต็มเปี่ยม ตอนนี้ถูกคุ้ยออกมาข้างนอก วางบนโต๊ะก็ยังไม่หมด กองกันเป็นภูเขาขนาดย่อม
“นี่…เรากินกันสองคนเหรอ”
“ใช่แล้ว อาจารย์ไม่รู้หรอกว่าผมไม่นั่งเครื่องบินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นั่งแค่รถไฟ แต่รถไฟใช้เวลานานเกินไป ผมเลยกินได้ตลอดทางเลย”
ซ่งจื่อเซวียนก็งุนงงแล้ว ได้แต่พยักหน้าเบาๆ “นายนี่กินเก่งจริงๆ นะ”
“อาจารย์ เนื้อแห้งนี่อร่อยนะ ชิมหน่อยไหม”
“ไม่หิว นายกินเองเลย!”
ซางเทียนซั่วยิ้ม จัดของกินเรียบร้อย ลุกขึ้นพูดว่า “ก็ได้ อย่างนั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะ ผมไปล้างมือก่อน กลับมาค่อยเริ่มกิน!”
รถไฟเริ่มเดินรถ ซ่งจื่อเซวียนมองนอกหน้าต่าง เขาจำไม่ได้ว่าตนเองไม่ได้นั่งรถไฟมานานแค่ไหนแล้ว ตอนที่ขึ้นครั้งแรกเหมือนจะเป็นตอนที่ไปปีนเขากับพี่สาว จะว่าไปก็ห้าหกปีแล้ว
สำหรับเขาแล้ว ชีวิตในร้านอาหารกับบ้านสองที่แทบจะเติมเต็มทั้งหมดแล้ว ไม่ได้มีความคิดอยากจะออกจากตู้เหมินไปเลย
ไม่นานนัก ซางเทียนซั่วก็เดินกลับมา แต่ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าท่าทางเขาเปลี่ยนไปอยู่บ้างทันที ทำท่าเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่
“เป็นอะไรไป”
“อาจารย์ ผมคิดว่า…ผิดปกติ เมื่อกี้ผมเพิ่งเจอกับคนคนหนึ่ง อาจารย์เดาดูว่าใคร” ซางเทียนซั่วพูดด้วยใบหน้าระแวดระวัง
“เรื่องนี้ฉันจะเดาได้ยังไง พูดมา!” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางกลอกตาใส่เขา
ซางเทียนซั่วลุกขึ้นมองไปด้านหน้าและด้านหลังขบวนรถ พูดว่า “ยังจำที่เคอซานมาหาอาจารย์ที่ต้าสือไต้คราวก่อนได้ไหม มีคนหนึ่งที่เคยประมือกับผม ที่อาจารย์บอกว่าผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาน่ะ ก็คือคนนั้นแหละ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางครุ่นคิด ภาพฉากตอนนั้นที่ต้าสือไต้ฉายวาบมาทันที
“ฉันจำได้…เคอซานเรียกเขาว่าต้าลี่!”
“ใช่ ต้าลี่นั่นแหละ อาจารย์จำได้ก็ดี ผมเห็นเขาตอนออกมาจากห้องน้ำเมื่อกี้” ซางเทียนซั่วพูด
“นายแน่ใจ?”
“แน่สิ รถขบวนนี้เดิมก็มีคนไม่เยอะอยู่แล้ว ผมไม่มีทางมองผิดไปหรอก แต่หลังจากที่เขาเห็นผมก็รีบหันหลังไปเลย ผมเดินตามไปอย่างระวังตัว แต่พอถึงขบวนถัดไปก็ไม่เห็นเขาแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจ “คนของเคอซาน…ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่!”
เขาพูดพลางถลึงตาโต บางทีเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่เขากังวลที่สุดตอนนี้ ถึงอย่างไรที่ตู้เหมินเขากับเสี่ยเฉิงปาร่วมมือกันก็เพราะต้องการการคุ้มครอง อำนาจของเคอซานไม่ใช่สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนจะต้านทานได้
แต่บนรถไฟนี้ ต่อให้ถึงหลานหยวนแล้วก็ไม่มีการคุ้มครองของเสี่ยเฉิงปา ตนเองกลายเป็นปลาที่อยู่บนเขียงเตรียมถูกเชือดไม่ใช่เหรอ
“เทียนซั่ว พวกเราน่าจะต้องระวังตัวหน่อยแล้วล่ะ ถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ พวกเราตรงกลับตู้เหมินเลย!”
ซางเทียนซั่วพยักหน้า “ได้ ถึงตอนนั้นเรียกรถกลับก็ได้ ไม่นั่งเครื่องบินก็พอ!”
พูดจบ ซางเทียนซั่วก็เริ่มกินขนมทุกอย่าง ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจ มองไปนอกหน้าต่าง คาดการณ์สถานการณ์ตอนนี้ในใจ
ยังดีที่ตลอดเส้นทางนี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นสามชั่วโมง ขบวนรถก็จอดเทียบที่สถานีรถไฟหลานหยวน
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้มองหาร่างของต้าลี่อีก อย่างไรถ้าอีกฝ่ายตามตนเองมาถึงหลานหยวนจริง จะต้องอำพรางตัวอย่างดีแน่ เขาอยากหาก็หาไม่เจอ
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตรงไปหาซ่งอีหนานผู้เป็นพี่สาว แต่ไปตามที่อยู่ที่เธอให้หานหรงมาคราวที่แล้ว เรียกรถไปถึงที่ใกล้ๆ และหาโรงแรมราคาประหยัดเข้าพัก
เพราะมืดค่ำขนาดนี้แล้ว ถ้าผู้ชายคนนั้นอยู่ที่บ้านเรื่องราวจะค่อนข้างวุ่นวาย เขายังหวังว่าจะโน้มน้าวพี่สาวได้ในทีเดียว ให้ตัดขาดกับผู้ชายคนนั้นแล้วกลับตู้เหมิน
เดินเข้าไปในโรงแรม ทั้งสองกำลังเช็คอิน ซางเทียนซั่วก็ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ ซ่งจื่อเซวียนยิ้มขำ เดาว่าคนคนนี้กินบนรถไฟไปเยอะมาก ตอนนี้ได้รับผลกรรมแล้ว
เพิ่งจะยืนยันบัตรประชาชนเรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งเดินเข้ามา ผู้ชายคนนั้นสวมใส่เสื้อผ้าพอเข้าท่า สวมสูทสีเทา หน้าตาก็มีชีวิตชีวา ผู้หญิงในอ้อมกอดก็สวยพราวเสน่ห์น่าหลงใหล นี่ก็เข้าฤดูหนาวแล้ว ยังสวมกระโปรงหนังสั้นๆ อยู่ เผยให้เห็นขาอ่อนขาวๆ ด้านล่าง
“สามี คุณรับปากว่าจะซื้อรองเท้ารุ่นลิมิเต็ดคู่นั้นให้ฉันนี่คะ!” หญิงสาวพูดพลางทำเสียงออดอ้อน
ชายคนนั้นยิ้มพลางบีบบั้นท้ายของหญิงสาวคนนั้นทีหนึ่ง นิ้วมือนั่นบีบเข้ากระโปรงหนังเต็มมือ สามารถเห็นได้ว่าก้นนี้ยืดหยุ่นเต็มสิบ
“แค่สามพันหยวนเอง ฉันซื้อให้เธอได้แน่นอน แต่เธอต้องเชื่อฟังนะ บริการฉันให้ดีๆ ได้ยินหรือยัง!” ชายคนนั้นพูดด้วยท่าทางข่มขู่ มองออกว่าเขาในตอนนี้อยากจะพิชิตผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน
“ชิ โรคจิต ขอร้องคนเขาให้ตอบคำถามพวกนั้นของคุณซะทุกครั้ง หน้าไม่อาย!” ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างขวยเขิน
“ฮ่าๆ ถึงจะตื่นเต้นไง ที่รักอีกเดี๋ยวฉันสั่งให้เธอพูดอะไรเธอก็พูดอย่างนั้นนะ”
ผู้หญิงคนนั้นหน้าแดง คลอเคลียอยู่ในอกของชายคนนั้น “ก็ได้ๆ ตามใจคุณหมดเลยค่ะ”
ระหว่างที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นมือของหญิงสาวคนนั้นยื่นไปทางต้นขาของชายคนนั้นอย่างชัดเจน ฝ่ามือขาวเนียนลูบลงไป เห็นเพียงชายคนนั้นสั่นไปทั้งตัวเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนแทบจะหน้ามืด สามีภรรยาคู่นี้ก็เปิดเผยไปมั้ง แต่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าสองคนนี้ไม่ใช่สามีภรรยาจริงๆ แน่นอน ไม่อย่างนั้นมีบ้านทำไมถึงไม่ยอมกลับ มาหาความตื่นเต้นที่นี่ทำไม
ได้ยินบทสนทนาของสองคนนี้ พนักงานผู้หญิงที่เช็คอินให้ก็หน้าแดงไปหมด รีบเอาคีย์การ์ดให้พวกเขาขึ้นห้อง
ไม่นานนัก ซางเทียนซั่วก็เดินกลับมา แก้ปัญหาใหญ่ได้แล้ว ท่วงท่าดีขึ้นอยู่อย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองถึงได้ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้อง
พอเข้าห้อง ซางเทียนซั่วก็ทิ้งตัวลงบนเตียง “โอย แม่เจ้า นั่งรถมาตั้งแต่บ่ายก็เหนื่อยนะเนี่ย อาจารย์ โยนบุหรี่ให้ผมมวนสิ!”
ซ่งจื่อเซวียนโยนให้เขามวนหนึ่ง พูดว่า “คืนนี้งีบสักหน่อยแล้วกัน”
ซางเทียนซั่วเข้าใจทันที “เข้าใจแล้ว วางใจเถอะ”
เพิ่งพูดจบ ซางเทียนซั่วก็ขมวดคิ้วตามด้วยเอาหูแนบไปที่ผนัง
“ให้ตาย อาจารย์ ถ่ายทอดสดแหละ ข้างๆ นี่กำลังมีความสุขอยู่เลย”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขา “หูนายนี่มีปัญหาใช่ไหม ฉันอยู่ตรงนี้ก็ได้ยิน นายถึงกับเอาไปแนบเลยเรอะ”
“ปัดโธ่ มันฟังได้สมจริงมากกว่าไง”
……
“ที่รัก ฉันเป็นสามีของเธอใช่ไหม พูดสิ ใช่ไม่ใช่!”
“ไม่ใช่ ฉันไม่รู้จักคุณ คุณกำลังสวมเขาสามีฉัน!”
“เธอชอบฉันไหม ชอบที่ฉันสวมเขาสามีเธอหรือเปล่า”
“ฉันโคตรชอบเลย สวมเขาเขา รีบสวมเขาเขาเลย ฉันรักคุณ”
ได้ยินเสียงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็หน้ามืด นี่ไร้ยางอายเกินไปไหม คนรวยนี่เล่นกันขนาดนี้เลยเหรอ ดูท่าคนรวยจะโรคจิตกันหมด…
แต่กลับทำให้ซางเทียนซั่วมีความสุขมาก เขาหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ เ*ดเข้ นี่ก็รู้จักเล่นโคตร เร้าใจจริงๆ อาจารย์รีบฟังเร็ว ทำไมเรียกว่าปะป๊าอีกละเนี่ย ฮ่าๆๆ…”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขา ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีแฟนก่อน ตอนนี้จึงรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้างจริงๆ ได้แต่แสร้งทำเป็นกระหายน้ำแล้วเดินไปอีกด้านหนึ่งเพื่อหยิบน้ำแร่ขึ้นดื่ม
แต่ยังไม่ทันได้วางขวดน้ำก็ได้ยินเสียงว่ามีคนบิดลูกบิดประตูอยู่ อีกทั้งตอนนี้เองเขาก็เห็นว่าลูกบิดประตู…เริ่มหมุนแล้ว!
……………………………………………