เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 73 งานชุมนุมอาหารตู้เหมิน
ตอนที่ 73 งานชุมนุมอาหารตู้เหมิน
เห็นซางเทียนซั่วมีท่าทางชอบใจ ซ่งจื่อเซวียนก็จนปัญญา คุณว่าทำไมชายฉกรรจ์ที่ดูแล้วสูงประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตรถึงชอบอยากรู้เรื่องคนอื่นแบบนี้กัน
“หลักๆ เพราะเป็นเรื่องที่บ้านนั่นแหละ ฉันถึงไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไร แต่ว่า…” ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พูดกับเพื่อน อาจจะได้มั้ง”
ได้ยินคำพูดนี้ ซางเทียนซั่วก็รู้สึกดีใจ ท่าทางเปลี่ยนไปทันที พูดกลั้วหัวเราะ “เรื่องครอบครัวเหรอ เรื่องคุณย่าใช่ไหม เมื่อวานผมเห็นอาจารย์โกรธแล้วทำเธอร้องไห้นะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้ว “นายเลิกเรียกว่าคุณย่าได้ไหม เมื่อวานพอนายเรียกก็ทำแม่ฉันตกอกตกใจ รู้ว่าเราเป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่แม่ฉันที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวคงคิดว่าฉันรับลูกบุญธรรมที่เป็นผู้ใหญ่มาแล้วมั้ง”
“ฮ่าๆ นี่มันเรื่องเล็ก ไม่ต้องใส่ใจหรอก ตกลงว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เอาบุหรี่ให้ฉันมวนหนึ่ง นายนี่ขี้เมาท์จริงๆ”
จุดบุหรี่มวนหนึ่ง ทั้งสองก็นั่งพูดคุยกันอยู่ตรงบันไดหน้าประตูต้าสือไต้ ซ่งจื่อเซวียนเล่าเรื่องราวออกมารอบหนึ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซ่งจื่อเซวียนไม่มีทางพูดกับคนนอกแน่นอน แต่เขามีเพื่อนไม่เยอะ ซางเทียนซั่วนับเป็นหนึ่งในนั้น บ่นออกมาสักนิด…ก็สบายใจขึ้นหน่อยจริงๆ
“แม่งเอ๊ย…ไอ้หมานั่นกล้าด่าคุณย่าฉันเหรอ ข้าจะฆ่ามันแม่งเอง อาจารย์รอผมจองตั๋วเลย เราสองคนจะไปฆ่ามันที่หลานหยวน!” ซางเทียนซั่วพูดอย่างโมโห
เห็นท่าทางเขาเหมือนจะโกรธมากกว่าตนเอง ซ่งจื่อเซวียนก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นายจะตื่นเต้นทำพระแสงอะไรเนี่ย ฉันได้พูดอะไรหรือยัง”
“เหลวไหลน่า นั่นคือย่าผมนะ ไอ้สารเลวเ*ดแม่ ต้องได้ไปด่าแม่มันที่บ้านมันสักทีถึงจะคลายความโกรธได้” ซางเทียนซั่วพูดด่า
“เอาล่ะๆ ฉันคิดจะใช้โอกาสตอนที่ทางเสี่ยปายังตกแต่งร้านไม่เสร็จ ลางานกับเจิ้งฮุยแล้วไปหลานหยวนสักหน่อย พาพี่สาวฉันกลับมา ถึงยังไงคนคนนั้นทำเรื่องอย่างนี้ได้ ฉันไม่มีทางยอมปล่อยให้พี่สาวฉันอยู่กับเขาแน่นอน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“พูดถูก ไม่ต้องพูดถึงหลังแต่งงานแล้วเลย ถ้าอยู่กับผู้ชายแบบนี้มากกว่าหนึ่งวันคงขยะแขยงแย่ สันดานอย่างหมา”
“นายพอได้แล้วน่า ในปากมีแต่คำหยาบเต็มไปหมด”
“ผู้ชายแบบนั้นยังทำตัวมีอารยะกับเขาได้อีกเหรอ หาเรื่องให้ด่าดีนัก อาจารย์ ถึงตอนนั้นผมจะไปกับอาจารย์เอง”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย ฉันแค่อยากไปเกลี้ยกล่อมพี่สาวฉันให้กลับบ้าน ถ้านายไปแล้วก่อเรื่องวุ่นวายแบบนั้นไม่ได้!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซางเทียนซั่วพูด “ผมจะไม่ก่อเรื่องโอเคไหม อาจารย์ ให้ผมไปด้วยเถอะนะ ถ้ามีคนรังแกอาจารย์ มีผมอยู่จะได้ดีหน่อยไง”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด สุดท้ายก็รับปาก อย่างไรเมื่อครู่เขาก็ทำกับซางเทียนซั่วเกินไปอยู่บ้างจริงๆ จึงไม่อยากจะปฏิเสธเขาเท่าไร
ตอนบ่ายวันนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ไปที่สถานีรถไฟกับซางเทียนซั่ว แต่เนื่องจากตั๋ววันนี้หมดแล้ว ทำได้แค่ซื้อบัตรตอนบ่ายวันถัดไปแทน บวกกับระยะทาง เดาว่ากว่าจะถึงหลานหยวนก็เกือบมืดค่ำแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปแน่นอน ครั้งนี้ทำให้แม่โกรธจนเป็นแบบนี้ เขาที่เป็นลูกชายย่อมไม่อาจไม่สนใจได้
ซ่งจื่อเซวียนเองก็ต้องเตรียมใจให้พร้อม ตอนนี้พี่สาวอยู่ในช่วงคลั่งรัก ถึงได้หลงผู้ชายคนนั้นขนาดนี้ ต่อให้จะทุบตีจะต่อว่าอย่างไรก็อดทนได้หมด
ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าพี่สาวจะไม่กลับมากับตน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเกลี้ยกล่อมแน่นอน เขาไม่มีทางทนให้ผู้ชายที่ด่ากราดใส่แม่แท้ๆ ของตนกลายเป็นพี่เขยได้หรอก
…………………
ในโรงน้ำชาชั้นสี่ของจวี้เสียนจวง เคอหงเทายกจอกชาขึ้นจิบ พูดว่า “เหล่าจง พวกคุณเถียนบอกว่าจะมากี่โมงนะ”
“สี่โมงครับเสี่ย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาครับ” เหล่าจงที่อยู่ด้านข้างพูดตอบ
“แกว่างานชุมนุมอาหารตู้เหมินนี่จัดทุกสองเดือน แต่นี่เพิ่งเดือนกว่าเอง ทำไมถึงเริ่มก่อนล่ะ”
“อาจจะมีเรื่องอะไรสำคัญล่ะมั้งครับ เสี่ยนี่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับงานชุมนุมอาหารตู้เหมินตลอดเลยนะครับ” เหล่าจงพูด
“ถูกต้อง คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมอาหารตู้เหมินล้วนเป็นคนสำคัญในเมืองตู้เหมินทั้งนั้น ไม่เพียงแค่ได้ลองสานสัมพันธ์ บางทีก็มีแหล่งวัตถุดิบที่ไม่เลวอยู่จริงๆ อีกทั้งคนใหญ่คนโตบางคน…ก็ไม่ได้เป็นมิตรไปหมด ถ้าจำหน้าถูกแล้ว หลังจากนั้นจะได้ไม่ไปล้ำเส้นผิดคน”
“เสี่ยพูดถูกเลยครับ” เหล่าจงพูด “เสี่ยเหนื่อยมาหลายวันแล้ว จะพักผ่อนสักหน่อยไหมครับ”
เคอหงเทาโบกมือ “ไม่ต้อง วันนี้…ไม่เห็นต้าลี่เลยนะ”
“ต้าลี่ออกไปทำงานครับ บอกว่าเสี่ยกำชับไว้ ผมก็ไม่ได้ถามมาก แล้วก็วันนี้ฉินซินเจี๋ยมาที่นี่ครับ แต่ตามที่เสี่ยกำชับไว้เลยไม่ได้ให้เขาเข้ามาทางประตูใหญ่จวี้เสียนจวงครับ”
ได้ยินดังนั้น เคอหงเทาก็แค่นเสียง “ไอ้สารเลวนั่น นอกจากมีกำลังแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย มาหาฉันทำไมกัน หลังจากนี้ถ้าเขามาจวี้เสียนจวงก็บอกไปว่าฉันไม่อยู่ ไม่ต้องให้เขาเข้ามา”
“เอ่อ…แล้วถ้าเขามากินข้าว…”
“เหอะๆ เหล่าจง แกนี่ทึ่มจริงๆ เลยนะ มีเงินแล้วทำไมถึงจะไม่ทำกำไรล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาเข้ามา ตอนที่คิดเงินก็ค่อยคิดเกินราคาสักหน่อย”
“เข้าใจแล้วครับ”
ขณะที่พูดคุยกัน โทรศัพท์เคอหงเทาดังขึ้น เห็นว่าต้าลี่โทรมาก็โบกมือไปทางเหล่าจง คนหลังก็เดินออกจากห้องไปทันที
“ต้าลี่ เรื่องไปถึงไหนแล้ว”
“เสี่ยครับ ซ่งจื่อเซวียนกับเพื่อนคนนั้นของเขาไปที่สถานีรถไฟด้วยกัน ซื้อตั๋วรถไฟไปหลานหยวนพรุ่งนี้รอบค่ำสองใบครับ”
“ไปหลานหยวน? พวกเขาไปหลานหยวนทำไมกัน” เคอหงเทาถาม
“เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ ฟางรุ่ยเป็นคนสะกดรอยตามทั้งหมด แต่เสี่ยครับ ผมคิดว่านี่เป็นโอกาส ถ้าลงมือตั้งแต่ที่หลานหยวน พวกเราก็จะหมดเรื่องยุ่งยาก” ต้าลี่พูด
เคอหงเทาพยักหน้าเล็กน้อย ที่ต้าลี่พูดก็ถูกต้อง ถ้าจัดการซ่งจื่อเซวียนนอกถิ่นได้ หลังจากนั้นค่อยจัดการฟางรุ่ย อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ซัดทอดมาที่เขาไม่ได้แล้ว
“เหอะๆ เอาสิ ฟางรุ่ยว่ายังไงบ้าง”
“ต้องการเงินสมทบครับ ค่าเดินทางกับค่าที่พัก”
“ได้ ให้เขาไป รวมค่ากินไปด้วย เพิ่มให้เขาอีกเท่าตัว ขอแค่จัดการเรื่องนี้ เสี่ยซานอย่างฉันก็ไม่กังวลอะไรแล้ว ซ่งจื่อเซวียนคนนี้เก็บไว้ไม่ได้จริงๆ!” เคอหงเทาพูด
“รับทราบครับเสี่ย พรุ่งนี้ผมจะไปหลานหยวนกับเขาสักหน่อย เรื่องอื่นเสี่ยไม่ต้องกังวล ผมจะจัดการให้เรียบร้อยครับ!”
เคอหงเทาวางสายแล้วพูดกับตัวเองว่า “ไปหลานหยวน…หรือว่าจะไปสานสัมพันธ์ที่เมืองหลานหยวน อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับที่นั่นสักหน่อยเหรอ เหอะๆ ช่างเถอะ ยังไง…ไอ้เด็กนั่นก็ไปสุดทางแล้ว ท้าทายเสี่ยซาน เสี่ยซานจะสงเคราะห์ให้แกเอง!”
พูดพลาง เคอหงเทาก็ถลึงตา ในแววตาแฝงจิตสังหารเย็นเยียบ
ตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังมาสองสามครั้ง ท่าทางของเคอหงเทาก็เปลี่ยนไปนุ่มนวลขึ้นมาทันที “เข้ามา!”
เห็นเพียงแค่เหล่าจงเดินเข้ามา ขณะเดียวกันก็พาชายคนหนึ่งที่อายุสี่สิบกว่าปีเข้ามาด้วย ผู้ชายคนนั้นสวมชุดสูทจงซาน[1] แต่ไม่ได้สวมมาอย่างทางการ ปลดกระดุมตรงหน้าอกอยู่สองสามเม็ด เผยให้เห็นเสื้อผ้าในฤดูใบไม้ร่วงสีขาวด้านใน
“เหอะๆ คุณเถียน ไม่ใช่ว่าสี่โมงเหรอครับ ยังไม่ถึงเวลาก็มาถึงแล้ว” เคอหงเทารีบลุกขึ้นพูดทันที
ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าคุณเถียนยิ้มแย้ม “รีบมาเจอเสี่ยซานไงครับ ไม่ได้รบกวนเสี่ยใช่ไหม”
“ที่ไหนกัน คุณมาหาได้ถือเป็นเกียรติของเคอซานอย่างผมต่างหากเล่า มาเถอะ นั่งๆ” เคอหงเทามองไปทางเหล่าจง “เหล่าจง เอาใบชามา”
“ครับเสี่ย!”
ทั้งสองนั่งลง เคอหงเทาพูดว่า “คุณเถียน ผมจำได้ว่าตอนนี้กว่าจะถึงงานชุมนุมอาหารตู้เหมินก็ยังอีกครึ่งเดือน ทำไมคราวนี้ถึงรีบจัดก่อนเหรอครับ”
ในวงการอาหารตู้เหมิน งานชุมนุมอาหารตู้เหมินนับว่าเป็นงานใหญ่ แต่ใช่ว่าบริษัทอาหารทุกร้านจะรู้ทั้งหมด เหตุผลนั้นง่ายมาก นี่เป็นงานชุมนุมของวงการใต้ดินโดยเฉพาะงานหนึ่ง
บริษัทและเจ้าของธุรกิจที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมอาหารตู้เหมินได้ พื้นฐานจะต้องเป็นคนที่มีหน้ามีตาในโลกบนดิน พูดง่ายๆ ก็คือไม่เพียงแค่เปิดธุรกิจอาหารเท่านั้น ในขณะเดียวกันต้องมีนักเลงในมืออยู่ไม่น้อยด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่นับว่าเป็นนักธุรกิจที่แท้จริง กึ่งธุรกิจกึ่งใต้ดิน หรือก็คือเป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน
งานชุมนุมอาหารตู้เหมินจัดสองเดือนครั้ง หรือก็คือโอกาสที่พวกคนซึ่งถูกเรียกว่าเสี่ยหรือนายท่านเหล่านี้มารวมตัวกัน พวกเขาพูดคุยกันเรื่องธุรกิจ ไม่เพียงแค่ด้านอาหารที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้เท่านั้น บางครั้งก็สามารถพัฒนาธุรกิจใต้ดินได้เช่นกัน แต่สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือการค้าสิ่งผิดกฎหมาย
“เหอะๆ ไม่ใช่ว่าเพราะข้าวผัดจักรพรรดิโด่งดังหรือไงกัน แม้แต่ทางปักกิ่งก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ตู้เหมินของพวกเราทางนี้จะผ่อนคลายไม่ได้เด็ดขาด ผมกับพวกเสี่ยหวงติดต่อกันไว้บ้างแล้ว ตัดสินใจว่าจะจัดงานชุมนุมอาหารตู้เหมินก่อนล่วงหน้า!”
“โอ้ เรื่องนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจนิดหน่อย หัวข้อหลักของพวกเราคราวนี้คือข้าวผัดจักรพรรดิเหรอครับ” เคอหงเทาถาม
“ถูกต้อง เพียงแต่…ต้องกระจายผลกำไรกัน เสี่ยหวงบอกว่า ถ้าปล่อยให้คนปักกิ่งพวกนั้นมาแบ่งน้ำแกงถ้วยนี้ พวกเราเมืองตู้เหมินก็อับอายขายขี้หน้าคนอื่นแย่ เก๋งที่ใกล้น้ำย่อมได้จันทร์ก่อน เหตุผลนี้เสี่ยซานอย่างคุณคงจะเข้าใจใช่ไหม”
เคอหงเทาครุ่นคิด ถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณเถียนคิดจะแบ่งน้ำแกงถ้วยนี้ยังไงครับ”
“ฮ่าๆๆ ที่เสี่ยเคอซานถามนี้น่าสนใจอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นการแบ่งกันก็ต้องเฉลี่ยแบ่งกันสิ เพราะงั้นงานชุมนุมอาหารตู้เหมินพรุ่งนี้…มีแค่ห้าคนที่เข้าร่วม!”
“อะไรนะ ล้อเล่นอะไรกัน ตามปกติต้องมีคนเข้าร่วมอย่างน้อยยี่สิบกว่าคนนะครับ”
“ถูกต้อง แต่เสี่ยหวงคิดว่ามากคนมากความ ดังนั้น…ครั้งนี้เรียกแค่คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ได้ ตอนค่ำวันพรุ่งนี้ที่หอหงเยวี่ย เสี่ยซานต้องจำไว้ให้ขึ้นใจนะครับ”
ได้ยินดังนั้น เคอหงเทาก็พยักหน้าน้อยๆ “เข้าใจแล้ว คุณวางใจได้ ผม เคอซานไปแน่นอน!”
เคอหงซานคิดในใจ เกรงว่าตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าน้ำแกงถ้วยที่กำลังจะแบ่งกันนี้ เขาเคยลองมาก่อนนานแล้ว เผชิญหน้ากับซ่งจื่อเซวียนเขาหมดความอดทนไปตั้งนานแล้ว ครั้งนี้เกรงว่าต้องทำให้ทุกคนผิดหวังเสียแล้ว
ไม่เพียงแค่ตู้เหมิน กระทั่งปักกิ่ง คนที่อยากจะได้น้ำแกงข้าวผัดจักรพรรดิถ้วยนี้ หลังจากหัวค่ำวันพรุ่งนี้…คงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปทั้งหมด!
…………………….
คืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนมาที่บ้านฟางจิ่งจือตามปกติ ช่วยชายชราเก็บกวาดห้องหับและซักผ้าให้อีกด้วย
ซ่งจื่อเซวียนทำงานบ้านมาตั้งแต่เล็ก แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งหลายปีมานี้การอยู่การกินของชายชราก็เป็นเขาที่ดูแลทั้งนั้น
ตากผ้าเสร็จแล้ว เขาก็มาที่เตียง พูดว่า “ปู่ วันพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ผมอาจจะไม่มานะ ปู่แก่แล้วดื่มเหล้าให้มันบันยะบันยังบ้าง”
“โธ่…ไอ้หนู ปีกกล้าขาแข็งแล้วนะ ไม่ต้องการปู่ของแกแล้วใช่ไหม” ฟางจิ่งจือหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงเหมือนจะแหบพร่ากว่าที่เคย อีกทั้งในน้ำเสียงยังสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนระโหยโรยแรง
ซ่งจื่อเซวียนที่ได้ยินประโยคนี้ก็ปวดใจ เขาพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะปู่ ผมต้องคอยดูแลปู่ทั้งชีวิตนะ เพียงแต่สองวันนี้ผมต้องไปหลานหยวนสักหน่อย เลยมาดูแลปู่ไม่ได้”
ได้ยินแบบนั้น ฟางจิ่งจือก็พยักหน้าช้าๆ “อ้อ…อย่างนี้นี่เอง ไปดูพี่สาวแกใช่ไหม”
“เอ๊ะ ตาเฒ่าอย่างปู่นี่เทพจริง ปู่รู้ได้ไง”
“ฉันน่ะเหรอ ตอนที่แม่แกมาคุยกับฉันก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว ไปเถอะ พวกแกสองคนพี่น้องก็ไม่ได้เจอกันมานาน แต่จะออกไปอย่าลืมเอาสูตรอาหารไปด้วยนะ จะได้ไม่เสียเวลาเรียน” ฟางจิ่งจือพูด
“อะไรนะ สูตรอาหารเหรอ ปู่…ให้ผมเอาไปเหรอ” เรื่องนี้ชวนให้ซ่งจื่อเซวียนมึนงงจริงๆ ถึงอย่างไรชายชราก็เคยตั้งกฎเอาไว้ว่าอนุญาตให้เรียนเนื้อหาสูตรอาหารในบ้านเท่านั้น
…………………………………………..
[1] ชุดสูทจงซาน (中山装) เป็นสูทที่คิดค้นโดย ดร.ซุนยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติซินไฮ่ ได้รับต้นแบบจากชุดเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยญี่ปุ่น ลักษณะคล้ายชุดราชปะแตนของไทย ประกอบไปด้วยกระดุมห้าเม็ดที่หมายถึงหลักการสำคัญของรัฐบาลและกระเป๋าเสื้อทั้งสี่ช่อง ซึ่งหมายถึงคุณธรรมสำคัญสี่ประการ ปัจจุบันยังนิยมใส่กัน โดยเฉพาะบุคลากรระดับสูงของประเทศ