เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 72 เรื่องไม่จบแค่นี้
ตอนที่ 72 เรื่องไม่จบแค่นี้
หานหรงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ยกแก้วน้ำจากโต๊ะขึ้นจิบทันที พูดว่า “เจ้ารอง ไม่ใช่ว่าแม่พูดกับแกไปแล้วเหรอ เรื่องพี่สาวแกมีแฟนที่หลานหยวนน่ะ”
“พูดแล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไรกับแม่ล่ะ”
“แกฟังนะ ครั้งนี้ตอนที่ฉันไปหาพี่สาวแกก็รู้สึกว่าผิดปกติ พี่สาวแกอยู่ในห้องแบบสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น ห้องนั้นตกแต่งสวยมากๆ ของที่จัดวางไว้แต่ละอย่างก็ค่อนข้างราคาแพง ฉันก็ถามพี่แกว่าเกิดอะไรขึ้น พี่แกบอกว่าแฟนเช่าห้องให้ พอฉันฟังก็รู้สึกว่าแปลก ก็เลยแนะนำให้พี่สาวแกคิดให้แน่ใจ แต่พี่สาวแกเวลาโกรธแกก็รู้ ฉันห้ามไม่อยู่ตั้งแต่ไหนแต่ไร”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิด “แม่หมายถึง…พี่สาวมีเสี่ยเลี้ยงงั้นเหรอ”
“ทำไมแกถึงพูดจาไม่น่าฟังแบบนั้นล่ะ นั่นพี่สาวแกนะ แต่แม่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง แกว่าใครกันพอมีแฟนขึ้นมาก็เช่าห้องกันล่ะ ฉันเห็นในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อผ้าผู้ชายอยู่ ก็รู้ว่าพวกเขาต้องอยู่ด้วยกันแน่นอน แต่ที่ฉันไปหามาตั้งหลายวัน ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้โผล่หัวมาเลย แค่โทรหาพี่แกบ้างเป็นครั้งคราว” หานหรงพูด
“แปลว่าเขายกที่นอนให้แม่ไง ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะแม่ อยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานมันก็มีบ้าง แล้วนี่แม่กับพี่โกรธอะไรกันล่ะครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หานหรงส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ตอนแรกก็ไม่มีอะไร แต่หลังจากนั้นเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่โอเคแล้ว เลยทะเลาะกับพี่แก ฉันเห็นลูกสาวร้องไห้ ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พี่แกก็ไม่พูด ร้องไห้อยู่ตรงนั้น…”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้ว “หนักขนาดนี้เชียว ผู้ชายคนนั้นด่าพี่เหรอ”
หานหรงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถึงฉันจะไม่ได้ยินกับหู แต่สายโทรเข้าของผู้ชายคนนั้นเหมือนจะค่อนข้างใส่อารมณ์ เสียงก็ดัง ฉันฟังจากเสียงที่ออกมาลำโพงนั่นก็ได้ยินเสียงก่นด่าไม่น้อยเลย”
“ให้ตายสิ มันด่าพี่สาวเหรอ” เห็นได้ชัดว่าซ่งจื่อเซวียนไม่โอเคแล้ว เริ่มข่มความโกรธในใจ
“เฮ้อ เมื่อคืนฉันบอกให้พี่สาวแกกลับบ้านกับฉัน แต่พี่แกไม่โอเค ฉันพูดยังไงก็ไม่ฟังเลยตัดสินใจจะกลับมาเองวันนี้ พี่แกอยากใช้ชีวิตยังไงก็ตามใจ ถ้าฉันไม่เห็นเสียอย่างก็ไม่มีเรื่องกวนใจแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อคืน…”
พูดพลาง น้ำตาของหานหรงก็ไหลลงมา “เมื่อคืนผู้ชายคนนั้นดื่มหนักกลับมา เข้ามาก็ตบหน้าพี่สาวแก ฉันเข้าไปห้าม เขาก็ด่าสาดเสียเทเสีย ฉันคิดในใจว่าลูกสาวฉันคนนี้ทำไมถึงไม่มีศักดิ์ศรีขนาดนี้นะ ยืนอยู่ตรงนั้นให้เขารังแกได้ยังไงกัน”
ซ่งจื่อเซวียนถลึงตาจนเห็นเส้นเลือดในตาทั้งสองข้าง กำหมัดสองข้างแน่น สำหรับเขาแล้ว เรื่องอะไรก็พูดคุยกันดีๆ ได้หมด แต่รังแกแม่ ก็เป็นการทำลายฟางเส้นสุดท้ายของเขาแล้ว!
เห็นปฏิกิริยาของซ่งจื่อเซวียน หานหรงก็นึกเสียใจอยู่บ้าง “เจ้ารอง แกอย่าใส่อารมณ์สิ ไม่ได้มีคำพูดไม่น่าฟังอะไร ถึงยังไงเขาก็ดื่มมาหนัก”
“ดื่มมาหนักก็ไม่ได้ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะพูดจากับผู้ใหญ่ยังไงหรือไง เขาไม่มีแม่ใช่ไหม หรือว่าในบ้านไม่มีผู้หญิงเลย”
ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นยืนทันที ขณะที่พูด หานหรงก็เห็นว่าร่างกายของเขากำลังสั่นเทิ้มอย่างชัดเจน ในความทรงจำของเธอ เลี้ยงดูซ่งจื่อเซวียนจนโตมาถึงตอนนี้สิบแปดปี ไม่เคยเห็นลูกชายของตัวเองโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย
“ดูแกสิเจ้ารอง…แม่ถึงไม่อยากบอกแกนี่ไง ดูแกสิ แกจะใจร้อนอะไร”
“เขาด่าแม่ลูกจะไม่ใจร้อนได้ยังไง ไอ้สารเลว เรื่องไม่จบแค่นี้แน่!” ซ่งจื่อเซวียนกำหมัดแน่นพลางกัดฟันพูด
เขาเติบโตในย่านเก่าหมู่บ้านหลี่จวงที่เขตเฉิงซีตั้งแต่เด็ก คนที่นี่ถึงจะไม่มีเงิน แต่ก็นับว่าน้ำใสใจจริง แม่มีมารยาทกับทุกคน ชื่อเสียงก็ดี แต่ตอนนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะโดนผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งด่าสาดเสียเทเสีย เขาหัวร้อนขั้นสุดแล้วจริงๆ
หานหรงจ้องเขา “เอาล่ะไอ้ลูกชาย แม่ได้พูดกับแกจบแล้วก็สบายใจขึ้น แกอย่าโมโหเลย กินข้าวเย็นหรือยัง”
“ยังเลยแม่ หลายวันมานี้ไม่ได้กินข้าวฝีมือแม่เลย ลูกทุกข์ใจจะตายแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนสะกดกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธแล้วหันไปพูดกับแม่ ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่าหานหรงรู้สึกน้อยอกน้อยใจจะแย่แล้ว เขาไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเขาอีก
“ได้ เดี๋ยวแม่ทำอะไรให้กิน เราสองคนแม่ลูกมากินมื้อดึกตามกระแสกันหน่อยแล้วกัน!” หานหรงพูดด้วยรอยยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “มื้อดึกจะนับว่าเป็นกระแสได้ยังไง จริงสิแม่ แม่รอแป๊บนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหยิบถุงกระดาษออกมาจากใต้เตียง หลังจากเปิดออกมาก็เผยให้เห็นเงินสดเป็นปึกๆ
หานหรงมองอย่างเหม่อลอย เงินมากขนาดนี้ เธอไม่ได้เห็นเงินมากขนาดนี้มานานหลายปีมากแล้ว
“เจ้ารอง นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีเงินเยอะขนาดนี้”
“เงินเดือนของลูกไงแปดหมื่นหยวน ลูกใช้ไปกับเรื่องบางเรื่องนิดหน่อย ในนี้เลยมีเจ็ดหมื่นเก้าพันหยวน ให้แม่เก็บไว้นะ”
ความจริงซ่งจื่อเซวียนแทบจะไม่ได้ใช้เงินเลย ช่วงนี้ที่เขาใช้ก็เป็นเงินค่ารถโดยสารประจำทางทั้งหมด หนึ่งพันหยวนนี่ก็เป็นเงินที่ใช้จ่ายค่าข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่ให้ตาเฒ่าหวังเฉิงยง
“ตะ…แต่ยังไม่ถึงต้นเดือนเลยนะ ทำไมเงินเดือนถึงออกแล้วล่ะ เจ้ารอง แกไม่ได้หลอกแม่ใช่ไหม” หานหรงพูดพลางมองซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
ที่จริงแล้วชาติกำเนิดของหานหรงก็ไม่เลว ถ้าไม่ใช่เพื่อคบหากับพ่อของซ่งจื่อเซวียนเธอก็คงไม่ออกจากบ้าน
แต่สิบกว่าปีให้หลัง ก็คุ้นชินกับความยากจนแล้วจริงๆ เงินมากขนาดนี้…เพิ่งได้พบเห็นเป็นครั้งแรก
“ลูกยังโกหกแม่ได้อยู่เหรอ บอสออกเงินให้ลูกก่อน แม่ก็เอาไปเถอะ!”
หานหรงถึงได้พยักหน้า “ก็ได้ อย่างนั้นแม่จะช่วยแกเก็บไว้ก่อน รอตอนแกแต่งเมียค่อยให้”
“แม่จะให้ลูกทำไมเล่า แม่เก็บไว้ก็พอแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางพิงข้างเตียง
“เด็กบื้อ แกแต่งเมียแล้วไม่ต้องใช้ชีวิตหรือไง มีที่ไหนใช้ชีวิตไม่ใช้เงิน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับอบอุ่น เหมือนกับตอนนี้เป็นเวลาที่เขาได้เสพสุขมากที่สุด รอคอยแม่ทำกับข้าวให้ตนเองกิน นั่งๆ นอนๆ อยู่ต่อหน้าแม่ได้ตามอำเภอใจ
“แต่ว่านะเจ้ารอง แกต้องตั้งใจทำงานให้เถ้าแก่เขาดีๆ เงินเยอะขนาดนี้ แกจะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้นะ”
“เหอะๆ รู้แล้วครับแม่ แม่รีบทำเข้าเถอะ”
“เฮอะ ไอ้เด็กหน้าเหม็น ได้เป็นเชฟแล้วยังชอบกินอาหารที่แม่ทำอยู่อีกเรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่อย่างนั้น ลูกจะทำงานอะไรก็ชอบกับข้าวฝีมือแม่หมดนั่นแหละ!”
หานหรงได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม รอยยิ้มแทบจะหวานซาบซ่านเข้าไปในจิตใจ ความน้อยอกน้อยใจและความโกรธก่อนหน้าก็สลายหายไปหลายส่วนในชั่วพริบตา
ซ่งจื่อเซวียนพิงหัวเตียง แอบคิดในใจ ความจริงแล้วหลายวันมานี้ก็เข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นส่วนใดๆ ก็ล้วนมีผลกำไรตั้งอยู่เป็นพื้นฐาน เหมือนกับหลินเทียนหนาน หยิบยกข้อเสนอขึ้นมาตอนที่ตนเองยากลำบากที่สุด เรื่องนี้…เขาไม่มีวันลืมมันได้ลง
ดังนั้นถึงสิ่งที่แม่พูดจะไม่ได้ผิด เขาควรจะตั้งใจทำงานให้บอสดีๆ แต่ตอนที่เขากระจ่างแจ้งเรื่องความสัมพันธ์และผลประโยชน์ในวงการนี้…ก็คิดว่าไม่สมเหตุสมผลอะไรแล้ว
หลินเทียนหนานเชื้อเชิญเขาให้มาทำงานตอนที่เขาต้องการเงินที่สุดจริงๆ แต่ความสัมพันธ์นี้ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เขาก็ทำเงินให้หลินเทียนหนานไม่น้อยเลย ซ้ำยังเพิ่มอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นในแง่มุมนี้ นับว่าทุกคนเจ๊ากันแล้ว
ถ้าบอกว่านอกจากนี้แล้วเป็นเรื่องความรู้สึก อย่างนั้นตอนที่หลินเทียนหนานฉวยโอกาส ความรู้สึกก็หมดสิ้นแล้ว!
แต่คืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่น ได้กินอาหารที่แม่ทำ หลับก็หลับสนิท เพราะในบ้านมีแม่อยู่
แต่แม่แท้ๆ ถูกรังแก ซ่งจื่อเซวียนไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้จริงๆ คิดวางแผนในใจ เตรียมตัวจะไปที่หลานหยวนด้วยตัวเองสักรอบ
วันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็ไปทำงานที่ต้าสือไต้ตามปกติ แต่สภาพจิตใจกลับได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ถึงอย่างไรแม่แท้ๆ ก็ได้รับความไม่เป็นธรรม ทุกครั้งที่นึกขึ้นมาเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เห็นความผิดปกติของซ่งจื่อเซวียน ซางเทียนซั่วที่ขัดกระทะเสร็จแล้วแล้ววางกลับไปที่เคาน์เตอร์เตาตามเดิมก็ถามขึ้นว่า “อาจารย์ วันนี้อาจารย์เป็นอะไรเนี่ย อารมณ์ไม่ค่อยปกติเลยนะ”
“ไม่มีอะไร ทำงานเถอะ”
“ทำงานอะไรล่ะ วันนี้ขายข้าวผัดจักรพรรดิหมดแล้ว” ซางเทียนซั่วพูด
“จริงเหรอ เร็วขนาดนี้เชียว…กี่โมงแล้วล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วถาม
“ยังไม่ถึงเที่ยงครึ่งเลย ตกลงอาจารย์เป็นอะไรเนี่ย ก่อนหน้านี้ที่จัดเสิร์ฟไปกี่ที่แต่ในใจอาจารย์ก็เหมือนคิดอะไรอยู่”
ซ่งจื่อเซวียนส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ถอนหายใจ “ไม่มีอะไร ถ้างั้นเราเตรียมเก็บกวาดเถอะ กลับบ้านพักผ่อน”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนจะลุกขึ้นยืนทำความสะอาดเตา ซางเทียนซั่วก็ขวางด้านหน้าเขาไว้ “นี่มันยังไงกัน แต่ไหนแต่ไรอาจารย์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน มีเรื่องอะไรพูดออกมาไม่ได้เหรอ”
ความจริงแล้วซ่งจื่อเซวียนก็อยากบ่น เรื่องบางเรื่องได้พูดออกมาก็คงรู้สึกสบายใจขึ้น แต่เขาติดนิสัยไม่ชอบให้คนนอกรู้เรื่องครอบครัวของตนเองอย่างนี้มาหลายปีแล้ว
“ก็บอกไปแล้วว่าไม่เป็นอะไรทำไมถึงยังถามอีก นายว่างมากหรือไง ไปอยู่กับโต้วซานซานไม่ดีหรือไง” ซ่งจื่อเซวียนควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ได้อยู่บ้างจึงพูดออกมาเสียงดัง
ซางเทียนซั่วก็ไม่ยอมแพ้ ถลึงตาพูดตะคอก “อาจารย์จะตะโกนทำไม ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ แล้วก็เป็นเพื่อนของอาจารย์ด้วยไง หรือว่ามีเรื่องอะไรอาจารย์ก็จะเก็บเอาไว้เหรอ พูดกับผมมันไม่ดีงั้นเหรอ อาจารย์เป็นอย่างนี้จะไม่มีเพื่อนเอาง่ายๆ นะ รู้ไหม”
“ฉัน…ฉันจะเป็นอะไรนายไม่ต้องสนใจ ถ้ายินดีที่จะอยู่ก็อยู่ นายไม่ชอบก็ไป!”
ซ่งจื่อเซวียนตะคอกประโยคนี้ก็หันหลังเดินออกไปด้านนอก
พวกหลี่เทาที่อยู่รอบๆ ก็มึนงงกันหมด ปกติสองคนนี้แทบจะทำนู่นทำนี่ด้วยกันทั้งวัน ซ่งจื่อเซวียนพูดเพราะเสียงเบา ถึงซางเทียนซั่วจะมุทะลุ แต่ก็เชื่อฟังซ่งจื่อเซวียนมาตลอด วันนี้เกิดอะไรขึ้นกัน สองคนนี้ยังทะเลาะกันได้ด้วยเหรอ
เห็นถึงตรงนี้ ความจริงแล้วพวกเจิ้งฮุยและหลี่เทารู้สึกดีอกดีใจ ถึงอย่างไรก้นบึ้งหัวใจพวกเขาก็ไม่ชอบซ่งจื่อเซวียน เจิ้งฮุยเองก็ไม่ต่างกัน ที่เขาทำตัวดีกับซ่งจื่อเซวียนก็เพราะภารกิจที่ซุนโส่วเหวินให้เขาขโมยสูตรข้าวผัดจักรพรรดิมา แน่นอนว่าภารกิจนี้ไม่ราบรื่น
ซางเทียนซั่วเห็นคนมากมายมองตนเองอยู่ ก็รู้สึกเสียหน้า ยิ่งคิดว่าซ่งจื่อเซวียนมีท่าทีแปลกๆ จู่ๆ วันนี้ก็ตะคอกตน เขาจึงสาวเท้าตามออกไป
“ซ่งจื่อเซวียน ฉันจะบอกนายให้นะ วันนี้ฉันถามนายด้วยความหวังดี กลัวว่านายจะมีเรื่องทุกข์ใจ ถ้านายคิดว่าฉันไม่จริงใจ แถมยังอยากจะไล่ฉันอีก ก็ดี ฉันจะไปแม่งแล้ว หลังจากนี้ก็ถือว่าเราไม่รู้จักกัน!”
ซางเทียนซั่วตะโกนประโยคนี้เสียงดัง ก็เดินออกจากต้าสือไต้ทันที
หลัวลี่ลี่ที่อยู่ไม่ไกลก็มองอย่างงงงัน “ให้ตายสิ คนคนนี้เป็นอะไรไป วันนี้กินดินปืน[1]มาหรือไง”
มีแค่ซ่งจื่อเซวียนที่เข้าใจ ความจริงแล้วคนที่กินดินปืนคือตนเองต่างหาก วันนี้ดันพาลใส่ซางเทียนซั่วเสียได้ ที่จริงแล้ว…เขาก็หวังดีจริงๆ
คิดๆ แล้วท่าทีของตนเองก็มีปัญหาจริงๆ ซ่งจื่อเซวียนจึงตามออกไป
ที่จริงซางเทียนซั่วก็ยังไม่ได้ไปไหน เดินออกมาจากต้าสือไต้ไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้า คิดว่าที่ตนเองทำก็ไม่ถูก อยากกลับไปพูดคุยกับซ่งจื่อเซวียนอีกรอบ แต่ยังเก้อเขินอยู่ จึงถือโอกาสยืนจุดบุหรี่ตรงนี้
แต่ตอนนี้เองซ่งจื่อเซวียนก็ตามออกมาแล้ว ยืนอยู่ด้านหลังซางเทียนซั่ว ถามว่า “เฮ้ย ทำไมถึงไม่ไปแล้วล่ะ”
“เกี่ยวอะไรกับนาย ฉันมีเรื่องไม่สบายใจเฉยๆ” ซางเทียนซั่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เรื่องไม่สบายใจเหรอ เหอะๆ ไหนลองพูดให้ฟังซิ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซางเทียนซั่วหันกลับไปกลอกตาใส่เขา “ไม่พูด ใครใช้ให้นายไม่บอกฉันเมื่อกี้ล่ะ งั้นฉันก็จะไม่บอกนายเหมือนกัน”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “นายรู้ไหมว่านายน่ะโคตรจะสอดรู้สอดเห็น อะไรก็อยากถามไปหมด”
“งั้นเหรอ ไม่ชอบที่ฉันสอดรู้สอดเห็นเหรอ ไม่เป็นไร ยังไงนายก็ไล่ฉันแล้วนี่” ซางเทียนซั่วพูดพลางทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้น ใช้เท้าดับไฟ
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เลิกเล่นตัวได้แล้ว ฉันบอกนายก็ได้”
ได้ยินประโยคนี้ ซางเทียนซั่วหันหน้ามาฉับพลัน “งั้นก็รีบพูดมาว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น”
……………………………………………….
[1] กินดินปืน (吃枪药) เปรียบเปรยถึงการพูดหยาบคาย ไม่มีมารยาท