เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 70 คนนี้เก็บไว้ไม่ได้
ตอนที่ 70 คนนี้เก็บไว้ไม่ได้
เสียงนี้ดังเข้ามา ทุกคนต่างมองไปยังทิศทางนั้น จึงเห็นจางเปียวลูกน้องของเสี่ยปาพาลูกสมุนอย่างน้อยสิบกว่าคนเดินเข้ามา ในยามราตรี กับถนนที่ไม่ค่อยกว้างอยู่แล้ว จึงดูเหมือนถูกอัดแน่นไปด้วยคนนับสิบในพริบตา
พวกพี่เจี๋ยต่างงุนงงกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ที่แทรกเข้ามาระหว่างทางจำนวนเยอะกว่าคนของพวกเขา แต่ละคนยืนอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าลงมือ มีเพียงซางเทียนซั่วที่ใจร้อน จึงต่อยไปหนึ่งหมัด ต่อจากนั้นจึงกระโจนเข้าไปอัดพวกเขา
คนของจางเปียวก็พุ่งไปตรงหน้าพี่เจี๋ยทันที จางเปียวตะโกนว่า “แม่มันเถอะ จัดการพวกมันซะ!”
ได้ยินเสียงของจางเปียว ลูกน้องนับสิบคนที่อยู่ข้างหลังจึงพุ่งเข้าไปเริ่มโจมตี ทั้งหมัดทั้งเท้าประสานกันเสียงร้องเจ็บดังระงม…
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีจำนวนที่ต่างกันเยอะ เพียงหนึ่งนาทีกว่าๆ คนของจางเปียวก็จัดการศึกครั้งนี้สำเร็จ นอกจากสองคนที่วิ่งหนีไป คนอื่นๆ ถูกพวกเขากดเอาไว้ พี่เจี๋ยก็เช่นกัน เวลานี้ถูกกดอยู่บนพื้น พยายามดิ้นแต่กลับไม่มีประโยชน์
“ฉินซินเจี๋ยแกบ้าหรือไง แม้แต่นายท่านซ่งก็กล้าแตะ!” จางเปียวตะคอก
ฉินซินเจี๋ยก็คือชื่อจริงของพี่เจี๋ย บนถนนเส้นนี้ คนที่รู้จักชื่อของเขามีไม่เยอะ แต่จางเปียวรู้จักเพราะเหตุบางอย่าง นั่นคือฉินซินเจี๋ยเคยเป็นลูกน้องของเสี่ยปามาก่อน
ต่อมาถูกคนทำให้เสียชื่อเสียงเพราะจัดการดูแลห้องบิลเลียดไม่ดี จึงโดนเสี่ยปาไล่ออกไป หลังจากนั้นจึงหันไปเป็นพวกของเคอหงเทา แต่ถึงกระนั้น เนื่องจากเขาไม่มีสมองและไม่ถูกให้ความสำคัญ มากสุดก็แค่อาศัยชื่อเสียงของเสี่ยซานหากินไปเรื่อย
“ฉันไม่รู้จักนายท่านซ่งอะไรนั่นหรอก จางเปียว ฉันเป็นคนของเสี่ยซาน ถ้าไม่อยากให้เรื่องใหญ่โตก็รีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
ฉินซินเจี๋ยตะโกนเสียงดัง จางเปียวกลับหัวเราะเย็นชาหนึ่งที “เสี่ยซานอะไรของแก ข้าไม่รู้จักเว้ย ในพื้นที่ของเขตเฉิงตง ฉันรู้จักแค่เสี่ยปาของพวกฉันเท่านั้น!”
“งั้นเหรอ แต่เมืองตู้เหมินใครที่อยู่บนถนนย่านนี้ก็รู้จักกันหมด สองสามนี้เสี่ยปาย่ำแย่แล้ว โดนบารมีของเสี่ยซานกลบฝังไปแล้ว จางเปียว ถ้าแกฉลาดก็อย่าทำให้ฉันต้องลำบากใจ ไม่อย่างนั้นฉันจะโวยวายให้เรื่องใหญ่โต!”
“ตลกแล้ว แกจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ยังไง ให้เสี่ยปากับเสี่ยซานต่อยกันเหรอ ฉินซินเจี๋ยแกหยุดพูดโม้ไปเลยแกทำไม่ได้หรอก ต่อให้แกเป็นลูกน้องของเสี่ยเคอซาน ก็เป็นได้แค่หมาตัวหนึ่ง!”
อันที่จริงจางเปียวพูดถูก เพราะว่าเคอหงเทาไม่ชอบใจฉินซินเจี๋ยเอาเสียเลย ดังนั้นเขาถึงได้ทะนุถนอมโอกาสนี้เป็นพิเศษ ถ้าหากเรื่องเล็กยังจัดการไม่สำเร็จ เกรงว่าทางเคอหงเทาก็จะไม่ต้องการเขาแล้วเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเขาทำมาหากินข้างนอกก็จะหมดที่พึ่งแล้ว
“ฮ่าๆ ฉันเป็นหมา แล้วแกล่ะ แกถือสิทธิ์อะไรเป็นลูกน้องของเสี่ยปา ไม่ใช่เพราะแกขโมยของเก่งงั้นเหรอ พูดออกมาแล้วก็ขายหน้า ถุย!”
จางเปียวได้ยินดังนั้นจึงฉุนเฉียวทันที สิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือการขโมย เสี่ยเฉิงปาก็ชอบใจเขาในจุดนี้ แต่สุดท้ายแล้วการขโมยก็ไม่เหมาะจะเอามาพูด หลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครแฉข้อเสียของจางเปียว ฉินซินเจี๋ยพูดขึ้นมาเช่นนี้ เขาจึงโมโหจริงๆ
“แม่ง ต่อยมันเลย ดูว่ามันจะปากเสียสักกี่น้ำ!”
จางเปียวพูดจบ ก็มีลูกน้องสองสามคนเดินเข้ามาซ้ายขวาแล้วต่อยปากฉินซินเจี๋ย ฉินซินเจี๋ยก็ใจสู้มาก ถึงแม้สีหน้าจะเจ็บปวดทรมาน แต่ไม่ร้องออกมาสักแอะ
“นายท่านซ่ง ฉันมาช้า ทำให้นายต้องโดนรังแกใช่ไหม” จางเปียวหันไปมองซ่งจื่อเซวียน
“ไม่ช้าครับ ผมเพิ่งส่งข้อความถึงคุณ คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
จางเปียวพยักหน้า “คืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นายทะเลาะกับฉินซินเจี๋ยได้ยังไงน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “ตอนกลางวันพวกเราได้ตกลงกับเฮยโหยวเอ๋อร์ดีแล้ว ของที่อยู่ในร้านนอกจากของใช้ส่วนตัวแล้วให้ทิ้งไว้ทุกอย่าง ผมกำลังจะเข้ามาเช็คของ เพื่อจะดูว่าควรตกแต่งยังไง ใครจะไปคิดว่าจะได้เห็นพวกเขาย้ายตู้ออกมา ตู้นั่นถึงแม้จะไม่มีราคา แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นการทำผิดกฎครับ”
ซ่งจื่อเซวียนตั้งใจพูดเช่นนี้ โยนความรุนแรงของเรื่องนี้ไปให้เฮยโหยวเอ๋อร์และฉินซินเจี๋ยที่ทำผิดกฎ สำหรับตู้ใบนี้กลับพูดถึงน้อยมาก พูดเพียงแค่ไม่มีราคา แน่นอนว่านี่คือจุดประสงค์ของเขา
พูดจบ เขาจึงเสริมอีกหนึ่งประโยค “อีกสักพักผมจะเอาตู้ใบนี้ไปทิ้งอยู่แล้วแต่ก็ให้คนอื่นเอาไปไม่ได้!”
“ถูกแล้ว นายท่านซ่งพูดถูก อะไรก็ให้ได้ แต่ห้ามทำผิดกฎ” จางเปียวพูดขณะมองไปที่เฮยโหยวเอ๋อร์ “แม่มันเถอะ เฮยโหยวเอ๋อร์เบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม รับปากเสี่ยปาแล้วก็กล้ากลับคำ”
“ผม…พี่เปียวผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ผมเห็นว่าตู้มันพังแล้ว พี่เจี๋ยอยากได้ก็เลยให้เขา…”
“ไร้สาระ แกไม่ได้ยินที่นายท่านซ่งพูดใช่ไหม นี่คือกฎ ต่อให้พังแล้วก็เป็นของเสี่ยปาของพวกเรา คนอื่นเอาไปได้เหรอ”ขณะพูด จางเปียวมองฉินซินเจี๋ยหนึ่งที “ขอทานตัวเหม็น ตู้พังๆ ก็อยากได้ รองเท้าเก่าแกอยากได้ด้วยหรือเปล่า”
“พี่เปียวผมผิดไปแล้ว เรื่องนี้พี่กับนายท่านซ่งอย่าบอกเสี่ยปานะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที แสร้งพูดด้วยความโมโห “เฮยโหยวเอ๋อร์ เรื่องที่คุณทำในวันนี้มันเกินไปแล้ว คุณอยากให้พวกเราไม่บอกเสี่ยปาก็ได้ แต่เงินค่าโอนจะเหลือแค่หมื่นเดียว!”
“หึ แต่เรื่องที่คุณทำไม่ผิดต่อเสี่ยปาเหรอ เรื่องในวันนี้ผมตัดสินใจแล้ว เสี่ยปาจะไม่ให้คุณอีกห้าพัน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางเปียวแอบยกนิ้วโป้งในใจ นายท่านซ่งก็คือนายท่านซ่ง เปี่ยมคุณธรรมจริงๆ ถึงตอนนี้ก็นึกถึงผลประโยชน์ของเสี่ยปาก่อน น้องชายคนนี้…ไม่เสียแรงที่เสี่ยปาคบเป็นเพื่อน!
“นายท่านซ่งพูดแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เรื่องนี้ฉันรับประกันเอง ถ้าหากแกไม่ฟัง พวกเราก็จะไปบอกเสี่ยปา!” จางเปียวรีบพูดสมทบอีกหนึ่งประโยค
ซ่งจื่อเซวียนดีใจ เพราะได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์คูณสอง ชื่อเสียง คือจางเปียวต้องไปบอกเสี่ยปาแน่นอน ชื่อเสียงของเขาจึงย่อมต้องดีขึ้น ผลประโยชน์…มูลค่าของตู้ใบนี้ไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนกับจางเปียวต่างพูดแบบนี้แล้ว เฮยโหยวเอ๋อร์ก็ไม่กล้าที่จะไม่ฟัง อย่างไรหากเรื่องนี้ถึงหูเสี่ยปาเขาจะใช้ชีวิตไม่ได้อีกแน่นอน
ต่อจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงสั่งให้ซางเทียนซั่วย้ายตู้ขึ้นรถ รถของซางเทียนซั่วก็กว้างขวาง เบาะหลังมีพื้นที่วางที่กว้างมากพอ
จางเปียวเอ่ยว่า “นายท่านซ่ง พวกฉินซินเจี๋ยจะจัดการยังไงดี”
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปข้างหน้า เอ่ยว่า “นายกลับไปบอกเสี่ยซานของพวกนาย ตู้ใบนี้เป็นของเสี่ยปาของพวกเรา ดังนั้นต่อไปห้ามนึกถึงอีก”
ฉินซินเจี๋ยเงยหน้าถลึงตาใส่ซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที “ไอ้หนู คิดไม่ถึงว่าแกจะติดตามเสี่ยปา เหอะๆ ก็ดี หากเรื่องนี้เป็นเรื่องขึ้นมาแกก็จะได้รู้อำนาจของเสี่ยซาน ฉันรับรองว่าแกต้องเสียใจ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วจึงเดินเข้ามาเตะหนึ่งที เตะฉินซินเจี๋ยไปติดหน้าประตู “แม่มันเถอะ แกพูดมากไปหรือเปล่า ฉันจะให้แกพูดเยอะๆ เลย!”
ขณะพูด เขาก็เตะไปอีกหนึ่งที ฉินซินเจี๋ยรู้สึกว่าจมูกที่ตัวเองเพิ่งทำมาใหม่ต้องพังอีกแล้ว จึงรู้สึกแค้นในใจ ทว่าทำอะไรไม่ได้ เมื่อครู่คนของตัวเองเยอะจึงทำตัวโอหัง แต่ตอนนี้คนของพวกเขากลับเยอะกว่า
“เอาล่ะพี่จาง เรื่องนี้มอบให้คุณจัดการแล้วกัน ผมขอตัวก่อน”
“วางใจได้นายท่านซ่ง เชิญกลับได้เลย ฉันจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”
มองดูซางเทียนซั่วขับรถออกไปแล้ว จางเปียวจึงปล่อยฉินซินเจี๋ย อย่างไรเขาก็ไม่อยากทำให้เรื่องราวใหญ่โต ไม่ปล่อยอีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
…………………….
ซางเทียนซั่วส่งซ่งจื่อเซวียนกลับถึงบ้าน และช่วยเขาย้ายตู้เข้าไป พลางเอ่ยว่า “อาจารย์บอกว่าจะทิ้งไม่ใช่เหรอ”
“ทิ้งงั้นเหรอ ตู้ใบเตี้ยนี้อย่างน้อยก็อยู่มาก่อนราชวงศ์ชิง นายกล้าทิ้งเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ขณะที่พูด เขาก็หยิบผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเริ่มเช็ดพื้นผิวของตู้
ซางเทียนซั่วได้ยินแล้วก็อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปดู “อะไรนะ อาจารย์ นี่คือของโบราณเหรอ”
คราวที่แล้วซ่งจื่อเซวียนได้ปี่เซียะหยกมาจากเสี่ยเคอซาน ซางเทียนซั่วพอเข้าใจนิดหน่อย ไม่ว่าอย่างไรหยกก็เป็นสิ่งของฟุ่มเฟือยในยุคปัจจุบัน ฐานะครอบครัวของเขารู้และเข้าใจเรื่องหยกไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ของโบราณ…ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจ
“ถูกแล้ว ตู้ใบเตี้ยก่อนราชวงศ์ชิง น่าจะเป็นของใช้ของชาวบ้าน แต่ความประณีตไม่ธรรมดา น่าจะเป็นครอบครัวใหญ่ถึงจะมี”
“แต่มองดูแล้ว…โทรมเกินไปนะ คนสมัยราชวงศ์ชิงน่าสงสารจริงๆ คนมีเงินถึงจะได้ใช้ตู้แบบนี้” ซางเทียนซั่วเอ่ย
“ของแบบนี้ต้องเช็ด ต้องบำรุง รอให้ฉันเช็ดเสร็จแล้วค่อยให้นายดู”
ซ่งจื่อเซวียนใช้ผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดจนเสร็จ ฝุ่นและคราบสกปรกที่เกาะอยู่บนพื้นผิวหายไปไม่น้อย เผยให้เห็นสีเดิมที่อยู่ภายใน บวกกับผ้าชุบน้ำหมาดๆ ทำให้เห็นสีแดงออกมาทันที
“โอ้ว อาจารย์ เยี่ยมจริงๆ นี่คือไม้อะไรน่ะ มีราคาไหม”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะไปที หยิบผ้าแห้งผืนหนึ่งแล้วเริ่มเช็ด เอ่ยว่า “ไม้จันทน์แดง หรือไม้ถานม่วงใบเล็ก มีต้นกำเนิดจากอินเดีย เนื้อไม้แก่จนไม่อาจแก่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
ซางเทียนซั่วครุ่นคิด “ไม้ถานม่วงใบเล็กมีราคาผมก็รู้ พ่อของผมก็มีเป็นสร้อยข้อมืออยู่ ใส่ทุกวัน แต่ตู้ที่ใหญ่ขนาดนี้ น่าจะมีโคตรมีราคาเลยนะ”
“เหอะๆ ฉันก็แค่ชอบของพวกนี้ ส่วนราคา…ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร อันที่จริงถ้าหากเก็บสะสม ก็ไม่ต้องคิดเรื่องขายต่อ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่การเก็บสะสมแล้ว ในเมื่อไม่มีจุดประสงค์จะขาย รู้ราคาไปก็ไม่สำคัญแล้ว”
ซางเทียนซั่วพยักหน้า “อาจารย์มีอารมณ์สุนทรีย์มาก ผมไม่มีความรู้สึกแบบนี้ ดูของพวกนี้สู้เอาคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เปลี่ยนไปเป็นรถยนต์คันหนึ่งจะดีกว่า!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรต่อ งานอดิเรกของทุกคนไม่เหมือนกัน และไม่มีการแบ่งแยกความสุนทรีย์อะไร ซางเทียนซั่วคิดแบบนี้จึงปกติ
ซางเทียนซั่วเพิ่งสังเกตเห็นสภาพแวดล้อมในบ้านของซ่งจื่อเซวียน เดิมทีอยากจะเอ่ยปาก แต่ก็อดใจไม่พูด ที่นี่มันเล็กเกินไป เขายากจะจินตนาการว่าอาจารย์ที่ควรค่าแก่การเคารพของเขา กลับต้องมาพักอยู่ในห้องที่เล็กขนาดนี้
…
เขตเฉิงซี โรงอาบน้ำจือซินถาง
ในสระอาบน้ำ เคอหงเทาวางสองมืออยู่บนผนังสระ เงยหน้าแล้วขยับเล็กน้อย เสียงดัง ‘กร๊อบ’ ดังมาจากต้นคอ
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ นุ่งผ้าขนหนูตัวเดียว ช่วยนวดไหล่ให้เขาเบาๆ ส่วนมือของเคอหงเทาก็กำลังลูบไปมาอยู่บนต้นขาของผู้หญิง
“พูดแบบนี้แปลว่า…แกทำไม่สำเร็จงั้นเหรอ” เคอหงเทาถาม
ฉินซินเจี๋ยแสดงสีหน้าขอโทษ “เสี่ยซาน ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะโดนสกัดกลางทาง ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมจะไปจัดการซ่งจื่อเซวียนให้จงได้”
“พูดเหตุผลพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร ตู้ของฉันล่ะ”
“เอ่อ…โดนซ่งจื่อเซวียนเอาไปแล้วครับ” ฉินซินเจี๋ยตอบ
เคอหงเทาหรี่ตาทั้งสองข้างเล็กน้อย ฝ่ามือหยิกต้นขาของผู้หญิงอย่างแรง ผู้หญิงร้องเจ็บหนึ่งที แต่อดกลั้นไม่ส่งเสียงออกมา
“ซ่งจื่อเซวียน ไอ้หมอนี่อีกแล้ว สงสัยหลังจากปี่เซียะของฉันหายไป…ดวงเลยไม่ค่อยดีเท่าไร!”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น ผู้หญิงรีบหยิบผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งมาพันให้เขา เคอหงเทาพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งที มองไปข้างๆ ทำสัญญาณมือออกไปข้างนอก ต้าลี่เข้าใจทันที เขาจับคอเสื้อของฉินซินเจี๋ยแล้วลากไปข้างนอก
“เสี่ยซาน เรื่องนี้โทษผมไม่ได้นะเสี่ยซาน…”
“เสี่ยซาน ขอร้องล่ะ ให้โอกาสผมอีกครั้ง…”
ต้าลี่ตบหน้าฉินซินเจี๋ยหนึ่งที ฉินซินเจี๋ยโดนตบจนมึน สระอาบน้ำจึงได้สงบลงอีกครั้ง
“เสี่ยซาน ซ่งจื่อเซวียนคนนี้ก็คือเด็กหนุ่มที่คุณเชิญมาครั้งที่แล้วใช่ไหมคะ” ผู้หญิงซบไหล่ของเคอหงเทา พูดเสียงนุ่มนวล
เคอหงเทาหลับตาทั้งสองข้างแล้วพยักหน้า “ไอ้หมอนี่ไม่รู้จักกาลเทศะ แถมยังไปร่วมมือกับเฉิงปา สงสัย…คนนี้จะเก็บไว้ไม่ได้แล้ว!”
พูดจบ เคอหงเทาลืมตาทั้งสองข้างทันที ทำตาถมึงทึงมองไปข้างหน้าด้วยแววตาสังหารอันโหดเหี้ยม
…………………………………………..