เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 69 แกนั่นแหละรนหาที่ตาย
ตอนที่ 69 แกนั่นแหละรนหาที่ตาย
รถสตาร์ทอีกครั้ง ซางเทียนซั่วโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อครู่ตอนที่โต้วซานซานอยู่บนรถ เขาแทบไม่กล้าหายใจแรง…
“อาจารย์ พวกเราจะไปไหนกันนะ”
“ร้านหม้อไฟเมื่อตอนกลางวัน พอจำทางได้ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“สบายหายห่วงเลยอาจารย์ อยู่ในหัวหมดแล้ว” ซางเทียนซั่วพูดอย่างมั่นใจ ทันใดนั้นก็หยิบบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากกล่อง “อาจารย์รู้ไหม คนที่ขับรถจำทางเก่งมากนะ ขับรอบเดียวก็จำได้แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “แต่ปกตินายก็ไม่ขับรถนี่ ถือว่าทำให้นายต้องมาเหนื่อยไปด้วยแล้ว”
“ฮ่าๆ อาจารย์พูดแบบนี้ไม่ดีเลย บางครั้งนั่งรถเมล์คุยกับอาจารย์ก็สนุกดีนะ จริงๆ แล้วชีวิตเดิมทีของผมก็คือกินเหล้าร้องเพลง แต่พอคิดดูแล้วไม่มีความหมายอะไรเลย อยู่กับอาจารย์แล้วได้เรียนรู้อะไรจริงๆ” ซางเทียนซั่วเอ่ย
“ได้เรียนรู้งั้นเหรอ ฉันไม่ได้สอนอะไรนายเลยนะ”
“ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องทักษะของพ่อครัว การเป็นคนก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ต้าสือไต้หรือข้างนอก อาจารย์เป็นคนที่นิสัยดีมาก ในจุดนี้ผมซางเทียนซั่วยอมรับอย่างแน่นอน!”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอุ่นหัวใจ ที่ว่าเป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งเพื่อน ก็คงหมายถึงเขากับซางเทียนซั่วล่ะมั้ง
“อ้อใช่เทียนซั่ว โต้วซานซานสรุปแล้วเป็นยังไงกันแน่ นายไม่เคยเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังมาก่อนเลยนะ”
ได้ยินแบบนั้น ซางเทียนซั่วจึงกัดริมฝีปาก หัวเราะอย่างขมขื่นไม่หยุด “จริงๆ แล้ว…โต้วซานซานเป็นคู่หมั้นของผมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงตกตะลึง คู่หมั้น? อย่างน้อยอยู่ต่อหน้าเขา ซางเทียนซั่วเป็นคนที่ยังไม่รู้จักโตเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้จะอายุมากกว่าตัวเองสองสามปี แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ต่างจากเด็ก…
“คู่หมั้น…นายงั้นเหรอ ถ้าอย่างนี้ โต้วซานซานก็ไม่ได้ตามตอแยนายเลยด้วยซ้ำน่ะสิ ถ้าเป็นแบบนี้นายก็ไม่ควรไปเล่นกับหลัวลี่ลี่นะ”
ซางเทียนซั่วได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พูดอะไร ทว่าสีหน้ากลับสับสนอย่างชัดเจน ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่พูดอีก อย่างไรเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้
ผ่านไปนาน ซางเทียนซั่วจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ก็รู้ บ้านผมทำธุรกิจโรงแรม ขณะเดียวกันพ่อของผมก็เป็นศาสตราจารย์คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยหนานกวน ส่วนโต้วซานซานก็เป็นนักเรียนของพ่อผม”
“เพราะงั้น…เธอก็เป็นคนที่พ่อของนายยอมรับอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่กับนายงั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ซางเทียนซั่วพยักหน้า “ประมาณนั้นครับ”
“แล้วทำไมนายไม่พูดให้ชัดเจนล่ะ แบบนี้ไม่ดีกับนายและโต้วซานซานเลยนะ ต่างฝ่ายต่างเสียเวลากันทั้งคู่”
“อาจจะใช่ แต่ว่า…” ซางเทียนซั่วหัวเราะอย่างขมขื่นหนึ่งที หลังจากสูบบุหรี่หมดหนึ่งมวนก็โยนก้นบุหรี่ไปนอกหน้าต่าง “ผมไม่มีทางอื่น พ่อของผมยอมรับโต้วซานซานไปแล้ว และโต้วซานซานก็ยอมรับผมแล้วเหมือนกัน บวกกับคืนนั้น…”
“คืนนั้น…ตกลงว่าพวกนายสองคน…”
“อาจารย์ ผมรู้สึกว่าไม่ได้ทำจริงๆ นะ ยังไงผมดื่มไปเยอะขนาดนั้น ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟังก็คือเห็นผู้หญิงก็ไม่มีอารมณ์หรอก แล้วจะไปทำได้ยังไง แต่โต้วซานซานบอกว่าถ้าผมไม่คบกับเธอ เธอจะไปบอกพ่อของผม บอกว่าผม…มีอะไรกับเธอแล้วก็ทิ้งเธอ”
ซ่งจื่อเซวียนถึงเข้าใจความจริงของเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าซางเทียนซั่วไม่กล้าขัดความต้องการของพ่อตน และโต้วซานซานก็กระตือรือร้นอยากจะคบกับซางเทียนซั่วใจจะขาด เรื่องนี้…ยากที่จะจัดการเสียจริง
“สงสัยนอกจากทำให้โต้วซานซานตัดใจจากนายแล้วคงไม่มีวิธีอื่น” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
ซางเทียนซั่วพยักหน้า “ครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจ เธอทำไมถึงไม่ยอมตัดใจ ผมก็พูดไปแล้ว ถึงขนาดพูดอย่างไร้เยื่อใยไปด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ผล”
“ไม่ลองคบกันดูก่อนล่ะ จริงๆ แล้วผู้หญิงอย่างซานซานก็ไม่ได้แย่นะ ถึงปกติจะโวยวายไปหน่อย แต่ดูแล้วเธอประหม่ากับนายมาก แถมยังเชื่อฟังคำพูดของนายด้วย”
“แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ผมไม่ได้ชอบเธอนี่นา”
“นายชอบหลัวลี่ลี่งั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนนับว่าเปลี่ยนหัวข้อถาม ถึงอย่างไรบรรยากาศในรถเริ่มอึดอัดไปตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของซางเทียนซั่วแล้ว
ซางเทียนซั่วพยักหน้า “ใช่แล้ว ผมอยากจีบหลัวลี่ลี่ แต่โต้วซานซาน…เฮ้อ อาจารย์ ผมหนีออกจากบ้านดีไหม”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขาหนึ่งที ไม่สนใจอีก
ในไม่ช้า รถก็มาจอดที่หน้าร้านหม้อไฟ แต่ยังไม่ทันลงจากรถ ซ่งจื่อเซวียนก็มองเห็นเฮยโหยวเอ๋อร์เดินออกมาจาก ในร้านขณะเดียวกันมีคนสองสามคนเดินตามหลัง พวกเขากำลังย้ายกล่องสองสามใบ น่าจะเป็นของใช้ส่วนตัวของพนักงานในร้าน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ตกลงกันแล้ว สิ่งของอย่างอื่นต้องเก็บไว้ให้เสี่ยเฉิงปา
ซางเทียนซั่วกำลงจะลงจากรถ ซ่งจื่อเซวียนก็รั้งเขาไว้ “รอเดี๋ยว รอพวกเขาเดินไปไกลแล้วค่อยว่ากัน”
“ทำไมล่ะอาจารย์ เรายังต้องกลัวพวกเขาจะเห็นด้วยเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะหนึ่งที “กลัวคนอื่นเห็นน่ะ นายรออีกสักพัก แล้วเดี๋ยวจะให้นายดูของดี”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วจึงมองเฮยโหยวเอ๋อร์และอีกสองสามคนย้ายของอย่างเงียบๆ แต่ไม่ช้า เขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยคนหนึ่งเดินออกมาจากในร้านหม้อไฟ…พี่เจี๋ย!
และซางเทียนซั่วมองปราดเดียวก็จำได้เหมือนกัน จึงตะโกนขึ้นมา “แม่ง ไอ้หมอนั่น อาจารย์ดูสิ ยังจำคนคนนั้นได้ไหม เขารู้จักกับเฮยโหยวเอ๋อร์งั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พี่เจี๋ยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
เขาจ้องมองคนเดินเข้าออกในร้านตาเขม็ง บางคนย้ายกล่องกระดาษ บางคนถือห่อผ้า แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดแผก ทว่าตอนที่มีคนสองคนย้ายตู้ใบเตี้ยออกมา ซ่งจื่อเซวียนจึงเบิกตาโตทั้งสองข้างทันที
นั่นคือตู้ใบเตี้ยที่ตัวเองมองไว้ เขาคิดไม่ถึงว่าขนาดเฮยโหยวเอ๋อร์รับปากไว้แล้ว ก็ยังแอบมาย้ายออกตอนกลางคืน เขาไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของพี่เจี๋ยเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ถ้าไม่เดินเข้าไป เกรงว่าตู้คงไม่อยู่แล้ว
“เทียนซั่ว ลงรถ พวกเราเข้าไปเถอะ!”
ตอนนี้ เฮยโหยวเอ๋อร์กำลังนำทีมคนงานสองสามคนย้ายของไปขึ้นรถตู้ พอเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา จึงตกตะลึงทันที แต่ไม่ช้าจึงยิ้มกลับมาเป็นปกติ
“นายท่านซ่ง ดึกป่านนี้แล้วคุณมาได้ยังไงครับ แหะๆ มาดูหน้าร้านเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนกวาดตามองสิ่งของที่ย้ายขึ้นรถเหล่านั้น หัวเราะพูดว่า “เหอะๆ ถ้าผมไม่ลงมา แล้วจะเห็นเถ้าแก่เฮยโหยวเอ๋อร์ทำผิดสัญญาได้ยังไง พวกเราตกลงกันแล้ว นอกจากของใช้ส่วนตัวของพวกคุณแล้ว ต้องทิ้งของอย่างอื่นไว้ที่นี่ เสี่ยปาก็ตกลงจ่ายเงินแล้ว ถูกต้องไหม”
ระหว่างที่ซ่งจื่อเซวียนพูด ดวงตาคู่นั้นมองไปรอบๆ ไม่หยุด เขาพบว่าตู้เตี้ยตัวนั้นไม่ได้ถูกย้ายมาขึ้นรถตู้ แต่ย้ายไปที่รถสีดำอีกคันหนึ่ง
“อ๋า เอ่อคือ…”
เฮยโหยวเอ๋อร์กำลังลำบากใจพอดี อีกฝ่ายก็ส่งเสียงเข้ามา “โอ้โห ฉันก็คิดว่าใคร ไอ้หนุ่ม ยังจำฉันได้ไหม”
“เหอะๆ จำได้อยู่แล้ว คนที่ต่อยฉัน ฉันไม่เคยลืม” ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูดก็เผยแววตาที่เคร่งขรึมออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กระทั่งเป็นพลังข่มพี่เจี๋ยในชั่วพริบตา
ซางเทียนซั่วหัวเราะ “พวกเราจะไม่รู้จักนายได้ยังไง อ้อใช่ นายยังจำได้ไหมครั้งที่แล้วฉันต่อยนายไปหนึ่งหมัดน่ะ ฟินหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น พี่เจี๋ยจึงพูดด้วยโทสะทันที “ฉันจะลืมได้ยังไง ตอนนี้จมูกมีแต่ใช้แป้นรองดั้ง ไอ้หนุ่ม แค้นนี้…ต้องชำระสักหน่อยไหม”
“ฮ่าๆ คิดบัญชีเหรอ อยากคิดก็คิดเลยสิ ฉันกลัวนายเหรอ” ขณะพูด ซางเทียนซั่วก็ถลกแขนเสื้อ ทำท่าจะต่อย
ซ่งจื่อเซวียนเห็นดังนั้นจึงรีบพูด “เหอะๆ คิดบัญชีก็พอได้ แต่…เรื่องนี้ต้องพูดให้เคลียร์ก่อน เถ้าแก่เฮยโหยวเอ๋อร์ เรื่องที่คุณรับปากเสี่ยปายังจำได้ไหม”
เฮยโหยวเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “เอ่อ…นายท่านซ่ง ของในร้านของผมก็ทิ้งไว้หมดแล้ว ของที่พวกเราหยิบไปก็มีแต่สมุดบัญชี ขวดกระป๋องอะไรพวกนี้…”
“แล้วลังนั่นล่ะ ผมเห็นอยู่ว่ามันอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ตอนนี้คุณย้ายออกมา…ไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนชี้ไปที่ตู้ใบเตี้ยที่กำลังย้ายขึ้นรถ
“อ้อๆ คุณพูดถึงอันนี้เหรอ วันนี้พี่เจี๋ยมาหาบอกว่าอยากซื้อ ผมเห็นว่าของชิ้นนี้ไม่มีประโยชน์เลยขายให้เขาไปแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าคุณอยากได้เหมือนกัน” เฮยโหยวเอ๋อร์รีบอธิบาย
ซ่งจื่อเซวียนไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดของเฮยโหยวเอ๋อร์แน่นอน แต่ตู้ใบนี้เขาไม่ยอมให้คนอื่นย้ายไปไหนเด็ดขาด
“ในเมื่อพูดไปแล้วว่าทิ้งของทั้งหมดไว้ที่นี่ แน่นอนว่าจะขาดโต๊ะเก้าอี้หรือตู้ไปไม่ได้ เซ็นสัญญาแล้วตอนบ่าย ข้าวของก็เป็นของเสี่ยปาแล้ว ตอนนี้คุณขายของของเสี่ยปาอยู่…ไม่เหมาะสมมั้งครับ”
“อ๋า ผมไม่ได้คิดแบบนั้น พี่เจี๋ยบอกว่าที่บ้านกำลังขาดตู้ใบเล็กพอดี เลยซื้อจากผมสามร้อยหยวน ถ้าผมรู้ว่าเสี่ยปาอยากได้ผมจะขายได้ยังไงครับ” ขณะพูด เฮยโหยวเอ๋อร์มองไปที่พี่เจี๋ย “พี่เจี๋ย อย่างนั้นผมไม่ขายตู้ใบนี้แล้ว คืนเงินให้คุณได้ไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้แล้ว เฮยโหยวเอ๋อร์จึงกลัวขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากผิดใจกับเสี่ยปาเพราะเงินสามร้อยหยวน และด้วยอำนาจของเสี่ยปา ต่อให้เขาไม่อยู่ในเขตเฉิงตง ก็มาเอาเรื่องเขาได้เหมือนเดิม
พี่เจี๋ยเชิดหน้าเล็กน้อย “คืน? จะมีเรื่องดีอะไรในโลกนี้ ให้เงินไปแล้วข้าวของก็ต้องเป็นของฉันสิ วันนี้ฉันจะเอาตู้ใบนี้กลับไปให้ได้!”
“หมายความว่า…นายไม่คิดจะทิ้งตู้ไว้ที่นี่ใช่ไหม เหอะๆ นายน่าจะรู้ ตู้ใบนี้เป็นของเสี่ยปา!”
เวลานี้ซ่งจื่อเซวียนพูดได้แค่นี้เท่านั้น พี่เจี๋ยเป็นนักเลง ถ้าไม่ใช้ความเป็นนักเลงกดขี่เขาก็จะไม่ยอมมอบสิ่งของแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คนของพี่เจี๋ยก็อยู่ เขากับซางเทียนซั่วไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน
“นายหยุดเอาเสี่ยปามาข่มฉันเลย ฉันจะบอกนายเอาบุญ ฉันไม่ได้อยากได้ตู้ใบนี้ แต่เสี่ยเคอซานอยากได้ เฮยโหยวเอ๋อร์ นายพิจารณาให้ดี เสี่ยซานให้นายสามร้อยเพราะเห็นแก่หน้านาย ไม่อย่างนั้น…ผลเสียที่ตามมาจะเป็นยังไงนายลองคิดเอง!”
ได้ยินประโยคนี้ เฮยโหยวเอ๋อร์ก็นิ่งไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าจะพูดหาเหตุผลอะไรอีก ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ดันไปล่วงเกินสองนักเลงใหญ่ของเมืองตู้เหมินเสียแล้ว ไปทำบาปกรรมอะไรไว้เนี่ย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ ขณะเดียวกันก็หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างหลังแล้วแสร้งทำเป็นกดเบอร์ ต้องบอกเลยว่า หากเป็นสมาร์ทโฟน ใช่ว่าเขาจะทำได้
“เหอะๆ คำพูดนี้นายควรไปพูดกับเสี่ยปา มาขู่เฮยโหยวเอ๋อร์แบบนี้คืออะไร ฉันจะบอกนายให้นะ อย่าลืมว่าที่นี่คือเขตเฉิงตง ไม่ใช่เขตเฉิงซี!”
“ฮ่าๆๆ ไอ้นี่ ไม่เจอสองสามวันแกขี้โม้ขึ้นไม่น้อย กล้าพูดแบบนี้กับข้าแล้ว คราวที่แล้วไอ้หมอนั่นช่วยพวกแกไว้คราวนี้พวกแกไม่โชคดีเหมือนตอนนั้นแล้ว วันนี้ข้าจะเอาของชิ้นนี้ไปให้ได้ และก็จะสั่งสอนพวกแกสองตัวเหมือนกัน!”
ขณะพูด พี่เจี๋ยโบกมือ ลูกน้องสองสามคนที่อยู่ข้างหลังจึงเดินเข้ามา แต่ละคนทำตาถมึงทึง น่ากลัวมาก
ซางเทียนซั่วเข้ามาขวางข้างหน้าซ่งจื่อเซวียนในทันที “ไอ้โง่ หยุดพูดโม้ไปเลย ฉันอยากจะดูว่าใครกล้าเข้ามาก่อน แล้วฉันก็จะซัดคนนั้นให้เละ!”
ซางเทียนซั่วพูดเช่นนี้ คนที่อยู่ตรงข้ามตกตะลึงจริงๆ อย่างไรรูปร่างและท่าทางของเขาเดิมทีก็แข็งแรงดุดันอยู่แล้ว โดยเฉพาะประโยคที่ว่าใครเข้ามาก่อนก็จะซัดคนนั้นให้เละ ทำเอาสองสามคนไม่กล้าเข้าไปก่อน กลัวว่าจะโดนอัดเละจริงๆ
นิ่งงันเช่นนี้ไปเกือบหนึ่งนาที พี่เจี๋ยจึงพูดตะคอก “แม่งเอ๊ย ลังเลอะไร! เข้าไปสิ!”
พี่เจี๋ยตะโกนแบบนี้ พวกลูกน้องจึงต้องบุกเข้าไป ซางเทียนซั่วก็ดุดันจริงๆ แต่เข้ามาสี่ห้าคนก็มีความกดดันเหมือนกัน ซ่งจื่อเซวียนไม่สนว่าตัวเองจะต่อยตีได้ไหม ก็พุ่งเข้าไปพร้อมกับซางเทียนซั่วแล้ว
พี่เจี๋ยหัวเราะเย็นชาเอ่ยว่า “แม่งเอ๊ย มาแย่งของกับเสี่ยซาน อยากรนหาที่ตายที่ใช่ไหม”
วินาทีที่พี่เจี๋ยพูดจบ ก็ได้ยินเสียงคนพูดตะโกนจากที่ไกลกว่าสิบเมตร “แม่มันเถอะ กล้ายุ่งกับนายท่านซ่ง แกนั่นแหละที่รนหาที่ตาย!”
…………………………………………
•