เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 68 บุญคุณ
ตอนที่ 68 บุญคุณ
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปด้านหนึ่งแล้วกดปุ่มรับสาย “คุณซุน ผมซ่งจื่อเซวียนครับ”
“คุณซ่ง รบกวนคุณแล้ว ผมแค่อยากถามคุณว่าช่วงนี้ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ อยู่ที่ต้าสือไต้ชินหรือยัง” ซุนโส่วเหวินถาม
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงยิ้ม โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบเหรอ เหอะๆ เกรงว่าจะไม่ใช่ประเด็นนี้
“ก็ชินบ้างแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”
“อืม อย่างนั้นก็ดี หลักๆ คือท่านประธานค่อนข้างเป็นห่วงคุณครับ กลัวว่าคุณมีอะไรไม่สะดวกแต่ไม่กล้าพูด เลยสั่งให้ผมโทรหาคุณเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ มีปัญหาอะไรต้องการให้ผมช่วยไหมครับ จะเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันก็ได้ครับ”
ได้ยินประโยคนี้ของซุนโส่วเหวิน ซ่งจื่อเซวียนจึงเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายโทรมาแล้ว คืออยากถามเรื่องของเคอซาว่าจัดการแล้วหรือยัง
“อย่างนั้นรบกวนคุณช่วยขอบคุณท่านประธานแทนผมด้วยนะครับ ทางผมไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ”
“อ้อ…อ้อแบบนี้นี่เอง อย่างนั้นก็ดีครับ ท่านประธานจะได้วางใจ คุณซ่ง ไม่ว่ามีปัญหาอะไรสามารถติดต่อผมได้โดยตรงนะครับ ถ้าผมช่วยได้จะช่วยเต็มที่แน่นอนครับ”
“โอเคครับคุณซุน อย่างนั้นต้องขอบคุณจริงๆ นะครับ ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมขอพักผ่อนก่อนนะครับ วันนี้เลิกงานเร็ว ผมอยากนอนกลางวันครับ”
“ครับ อย่างนั้นไม่รบกวนแล้ว คุณพักผ่อนเถอะครับ”
หลังจากวางสายซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา อีกฝ่ายเป็นฝ่ายเสนอตัวอยากช่วยแก้ปัญหาให้ตัวเองเหรอ
อันที่จริงเขาไม่ได้ต่อต้านหลินเทียนหนาน แต่เรื่องนี้ทำให้เขาเจ็บใจผิดหวังอยู่บ้าง ถ้าหากหลินเทียนหนานช่วยเขาแก้ไขความต้องการที่ไร้เหตุผลของเคอซานจริงๆ เขาไม่เพียงแต่จะสำนึกบุญคุณ แต่จะยอมทำงานที่ต้าสือไต้แบบสุดใจ แต่หลินเทียนหนานกลับเลือกวิธีอื่น นั่นก็คือเสนอเงื่อนไขตอนที่เขาลำบากที่สุด และยังเป็นเงื่อนไขที่ทำลายหลักการเดิมของเขา
เรื่องนี้หากจะพูดให้น่าฟังเรียกว่าเป็นเงื่อนไข ถ้าจะพูดให้น่าเกลียดก็คือฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นลำบาก ซึ่งต่างจากเคอซานตรงไหนกัน
“น้องชาย สัญญาทางนี้เรียบร้อยแล้ว สำหรับเรื่องตกแต่งแกต้องการอะไรบ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เสี่ยปาจัดการได้เลยครับ ห้องส่วนตัวบนชั้นสองตกแต่งให้สวยหน่อยก็พอครับ”
“โอเค อย่างนั้นฉันจัดการตามใจฉันแล้วนะ จะได้รีบเปิดร้าน!”
ในสายตาของซ่งจื่อเซวียน ร้านแห่งนี้มีชื่อว่าร้านอาหารร่ำรวยเรียบร้อยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตกแต่งให้หรูหรามากมาย สู้ตกแต่งเหมือนร้านทั่วๆ ไปดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะดูไม่เข้ากัน
ทว่าพอคิดอีกที ซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ยว่า “อ้อใช่เสี่ยปา วันนี้ให้กุญแจผมหนึ่งดอกได้ไหมครับ ผมอยากเข้ามาดูได้ตลอดเวลา ถ้ามีไอเดียอะไรจะได้บอกคุณ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสี่ยเฉิงปาจึงคิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร จึงเอ่ยว่า “ได้เลย เฮยโหยวเอ๋อร์ เอากุญแจให้น้องชายของฉันก่อนหนึ่งดอก แกยังมีสำรองอีกดอกหนึ่งใช่ไหม”
“มีครับเสี่ยปา มีกุญแจสำรองอีกสองสามดอก รอให้คุณเปิดร้านอย่างเป็นทางการแล้ว ค่อยเปลี่ยนกุญแจก็ได้”
ขณะพูด เฮยโหยวเอ๋อร์ก็ยื่นกุญแจให้ซ่งจื่อเซวียนหนึ่งดอก
ซ่งจื่อเซวียนถึงวางใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากเอาตู้ใบนั้นกลับไป ดังนั้นย่อมเอาไปตอนที่พวกเสี่ยปาอยู่ไม่ได้
อันที่จริงของสะสมก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีถูกผิด หลอกลวงหรือจริงใจ เพราะถ้าหากคุณพูดแล้ว ของสิ่งนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นของคุณ อย่างเช่นตอนนี้ ถ้าหากเขาบอกพวกเสี่ยปาหรือเฮยโหยวเอ๋อร์ ตู้ใบนี้ไม่มีทางตกอยู่ในมือของตัวเองแน่นอน
ดังนั้น เรื่องนี้ไม่มีผิด ไม่มีโกหก แต่เปรียบเทียบกันตรงที่ใครอดกลั้นได้มากกว่า ใครเสแสร้งได้มากกว่า!
……………..
ห้องทำงานท่านประธานจ้งอันกรุ๊ป
หลินเทียนหนานถือบุหรี่อยู่ในมืออยู่ อยากจะใส่ปากแล้วสูบ แต่สุดท้ายก็วางลง ดวงตาทั้งสองของเขามองไปข้างหน้า แล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“โส่วเหวิน นายคิดว่า…ซ่งจื่อเซวียนคนนี้ทำไมจู่ๆ ถึงมีท่าทีเปลี่ยนไป”
ซุนโส่วเหวินยืนถอนหายใจอยู่ข้างๆ ในใจกลับรู้สึกว่าครั้งนี้หลินเทียนหนานมั่นใจมากเกินไป เขาคุ้นชินที่มีผู้คนติดตาม เชิดชูเยินยอ แต่กลับลืมไปว่าซ่งจื่อเซวียนเด็กหนุ่มอายุวัยนี้มีเอกลักษณ์และนิสัยเป็นของตัวเอง มิหนำซ้ำ เขาเป็นคนที่เยี่ยมยอดในสายอาชีพนี้
“ท่านประธานครับ บางทีคุณซ่งอาจจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองแล้ว”
หลินเทียนหนานค่อยๆ ส่ายหน้า “ซ่งจื่อเซวียนเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา แต่อย่างน้อยตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถที่จะแก้ปัญหาของตัวเองได้มากพอ เกรงว่าจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยแล้ว”
“มีคนช่วยเหรอครับ ท่านประธาน คุณคิดว่าเป็นใครครับ หรือว่าจะเป็นเจ้าพ่อวงการอาหาร ยังไงตอนนี้คุณซ่งได้รับความนิยมในวงการนี้ เกรงว่าจะมีคนยอมยื่นมือเข้ามาช่วยในเวลานี้อยู่แล้วนะครับ” ซุนโส่วเหวินกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเทียนหนานจึงหัวเราะเบาๆ “ไม่หรอก ถ้าเขายอมช่วยคนพวกนี้ คงจะมาช่วยฉันเหมือนกัน ถ้าฉันเดาไม่ผิด น่าจะเป็นคนของเมืองตู้เหมิน มีคนที่มีความสามารถช่วยเขาแก้ปัญหานี้ได้ แต่ก็ต้องการความช่วยเหลือของซ่งจื่อเซวียนเช่นกัน”
“ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน? บางทีคุณอาจพูดถูกครับ ด้วยนิสัยของซ่งจื่อเซวียนแล้ว จะไม่ขอร้องใคร และยิ่งไม่ยอมรับเงื่อนไขใดๆ อีกด้วย”
หลินเทียนหนานพยักหน้าช้าๆ “โส่วเหวิน นายคิดว่า…ครั้งนี้ฉันเดินหมากผิดไหม”
“หืม ท่านประธาน คุณก็ไม่จำเป็นต้องพูดขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงพอเทียบกับกิจการของพวกเราแล้ว ต้าสือไต้ก็ดูเล็กไปเลย ถึงขนาดพูดได้ว่ามีหรือไม่มีก็ได้” ซุนโส่วเหวินกล่าว
หลินเทียนหนานฟังแล้วจึงส่ายหน้าพลางหัวเราะ “โส่วเหวิน ที่นายมองคือจุด แต่ที่ฉันมองกลับเป็นภาพ ก่อนหน้านั้นฉันคิดมาตลอด ต้าสือไต้ร้านเดียวมีรายได้เท่าไร แบบนั้นถ้าเอาจุดมาเชื่อมต่อกันเป็นภาพ รายได้น่าจะเยอะขนาดไหน”
“เอ่อ…ผมไม่ได้คิดถึงตรงนี้เลย”
“เหอะๆ พวกเราทำอสังหาริมทรัพย์ แต่ความเสี่ยงของการทำอสังหาฯ มีเยอะมาก ไม่เพียงแต่ต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ ยังต้องมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับธนาคารอีก เดินผิดหนึ่งก้าวคือความผิดพลาดอันใหญ่หลวง แต่ร้านอาหารไม่เหมือนกัน ตัวฉันลงทุนก็รับผิดชอบความเสี่ยงด้วยตัวเอง ความเสี่ยงก็แค่ชดใช้เงินเท่านั้น”
ซุนโส่วเหวินพยักหน้า “ก็จริงครับ ความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาฯ…ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น”
“เพราะงั้นการปรากฏตัวของซ่งจื่อเซวียนทำให้ฉันอยากเปลี่ยนสายอาชีพ และการดำเนินงานของต้าสือไต้ถือว่านับได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ฉันกลับทำพลาดอย่างหนึ่งไป นั่นก็คือมองข้ามจุดศูนย์กลางของต้าสือไต้ ถ้าไม่มีซ่งจื่อเซวียน กระแสเงินสดทุกเดือนของต้าสือไต้จะลดลงนับแสน และถ้าไม่มีการขับเคลื่อนของข้าวผัดจักรพรรดิ รายได้ส่วนอื่นต้องลดลงฮวบฮาบแน่นอน ถ้าตอนแรกฉันไม่รีบให้เขารับปาก…บางทีวันนี้ฉันคงไม่ต้องเครียดแบบนี้”
“เครียดเหรอครับ” ทำงานกับหลินเทียนหนานมานานหลายปี ซุนโส่วเหวินไม่เคยได้ยินเขาพูดว่าเครียดมาก่อน นี่คือครั้งแรกจริงๆ
“ถูกแล้ว เครียด ต้นปีนี้ โปรเจคที่เฟิงโจวเกือบหลุดฉันยังไม่เครียดขนาดนี้ อย่างมากก็แค่ขาดกำไรไปสามสิบล้านหยวน แต่ตอนนี้…ฉันเครียดเพราะซ่งจื่อเซวียนมากจริงๆ”
หลินเทียนหนานในเวลานี้ไม่มีความมั่นใจเหมือนเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว ความตึงเครียดบนใบหน้ากระทั่งเผยออกมาแล้ว
และซุนโส่วเหวินเวลานี้ก็เข้าใจความหมายแล้ว ในสายตาของหลินเทียนหนาน มูลค่าของซ่งจื่อเซวียนมีสูงกว่าทรัพย์สินสามสิบล้านหยวน
เขารู้สึกใจสั่นจริงๆ หลินเทียนหนานมองคนได้แม่นยำมาตลอด เด็กหนุ่มคนนี้…อายุสิบกว่าปีก็ทำให้หลินเทียนหนานประเมินเขาขนาดนี้แล้ว
ตอนเย็นวันเดียวกัน ซ่งจื่อเซวียนนอนอยู่ในบ้าน ในมือเล่นปี่เซียะหยกที่เพิ่งได้มาใหม่ มองนาฬิกาเห็นว่าสามทุ่มกว่าแล้ว จึงรีบโทรหาซางเทียนซั่วทันที
“มีอะไรครับอาจารย์ มีอะไรชี้แนะเหรอ” ถึงแม้สายของอีกฝ่ายจะเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว เต็มไปด้วยเสียงดนตรีสนั่น แต่เสียงของซางเทียนซั่วยังคงเคร่งขรึมมากเหมือนเดิม
ได้ยินแบบนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงหัวเราะ ยังจะให้ชี้แนะ… ซางเทียนซั่วคนนี้พูดจาเกินจริง แต่หลังจากเขากลายเป็นลูกศิษย์ของตัวเองจนถึงตอนนี้ เขาแสดงความเคารพอย่างสูงมาตลอดจริงๆ สำหรับคำพูดของตนเองแล้ว เขาเชื่อฟังอยู่เสมอ
“เทียนซั่ว นายอยู่ไหน ทำไมเสียงดังขนาดนั้นล่ะ”
“อ๋า ยากที่จะอธิบายในคำเดียว อาจารย์มีธุระกับผมใช่ไหม ถ้ามีธุระผมจะไปหาเดี๋ยวนี้!” ซางเทียนซั่วกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เจ้าหมอนี่เป็นเด็กดีจริงๆ แต่ไม่ต้องโอเวอร์ขนาดนี้ได้ไหม…
“อืม…นายสะดวกช่วยเรียกรถให้ฉันสักคันได้ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“อาจารย์ จะเรียกรถทำไมล่ะ ผมมีรถ ผมขับไปหาอาจารย์ตอนนี้ก็ได้ อาจารย์รอผมก่อน แป๊บเดียวถึงบ้านอาจารย์เลย!”
ซางเทียนซั่วพูดแล้วก็จะกดวางสาย ซ่งจื่อเซวียนรีบพูดขัด “ไม่ต้องยุ่งยาก รถของนายใส่ตู้อันหนึ่งได้ไหม”
“ตู้เหรอ”
“ใช่ สูงประมาณแปดสิบเก้าสิบเซนติเมตร กว้างประมาณห้าสิบเซนติเมตร!”
ซางเทียนซั่วหัวเราะใส่ “ฮ่าๆ อาจารย์ดูถูกลูกศิษย์ของตัวเองเกินไปแล้ว วางใจได้เลยครับเดี๋ยวผมก็ถึงแล้ว”
พูดจบ ซางเทียนซั่วจึงวางสาย แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกไม่สบายใจ เจ้าหมอนี่ดึกป่านนี้แล้วยังอยู่ข้างนอกแถมยังมีแต่เสียงเพลง เห็นได้ชัดว่ากำลังสังสรรค์อยู่กับเพื่อน
แต่พอรับสายของตัวเองเขาก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจหรือหงุดหงิด กลับกันอยากจะรีบมาทันที…
สักพักหนึ่ง ซางเทียนซั่วก็โทรเข้ามา บอกว่าอยู่หน้าปากซอยแล้ว เนื่องจากซอยของบ้านซ่งจื่อเซวียนแคบมาก รถจึงขับเข้ามาได้ถึงแค่ตรงนั้นเท่านั้น
เดินออกมาจากซอย ซ่งจื่อเซวียนจึงเห็นรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง ซางเทียนซั่วลดกระจกหน้าต่างรถแล้วโบกมือทักทายซ่งจื่อเซวียน ตอนที่เห็นตำแหน่งข้างคนขับ เขาจึงเข้าใจว่าทำไมซางเทียนซั่วถึงอารมณ์เป็นเช่นนั้นแล้ว
เวลานี้ตำแหน่งข้างคนขับมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งก็คือโต้วซานซาน!
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินออกมาหน้าปากซอย โต้วซานซานรีบลงจากรถทันที เอ่ยว่า “อาจารย์มาแล้ว ฉันจะไปนั่งข้างหลังนะคะ พวกคุณจะได้คุยกันสะดวก”
ได้ยินแบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงทำสีหน้าเก้อเขิน เอ่ยว่า “เอ่อ…คุณไม่ต้องเรียกผมว่าอาจารย์ก็ได้ครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณเป็นอาจารย์ของซางเทียนซั่ว ก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของฉันด้วย อาจารย์ขึ้นรถค่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนก็หมดคำพูด หันหน้ามองซางเทียนซั่วอีกที ก็มีสีหน้าที่จนใจเช่นกัน ทว่าการขอความช่วยเหลือที่แฝงอยู่ในความจนใจนั้น ก็ถูกซ่งจื่อเซวียนมองออกเช่นกัน
“คืนนี้ไปเที่ยวกันมาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ใช่แล้วอาจารย์ เทียนซั่วยุ่งเกินไปไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนฉันเลย คืนนี้อุตส่าห์ออกมาเที่ยวบาร์กับฉันได้สักครั้ง” โต้วซานซานรีบตอบก่อน
“อืม…เทียนซั่ว ถ้าอย่างนั้นก็ส่งโต้วซานซานกลับก่อนแล้วกัน อีกสักพักเราค่อยไปหาเสี่ยเฉิงปาที่โรงอาบน้ำ เพราะต้องไปช่วยกันคิดเมนูตัวใหม่ คงจะต้องอยู่ยันสว่างเลย”
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้น จึงวางมือลงข้างล่างแล้วชูนิ้วโป้งให้อย่างเงียบๆ “อ้ออย่างนี้นี่เอง ซานซาน ฉันไปส่งเธอกลับบ้านก่อนดีไหม”
“อย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้เช้าต้องไปดูบัญชีที่ร้าน แต่พวกนายก็อย่าอยู่ดึกเกินไปนะ ฉันเป็นห่วง” โต้วซานซานเอ่ย
“วางใจได้ พวกเราจะรีบไปรีบกลับ!”
ซางเทียนซั่วพูดจบก็เหยียบคันเร่ง แล้วแล่นรถมาส่งโต้วซานซานถึงบ้านอย่างรวดเร็ว มองหมู่บ้านหรูนอกหน้าต่าง ซ่งจื่อเซวียนจึงมองออกว่าฐานะของโต้วซานซานนั้นไม่ธรรมดา
ตอนที่เงาหลังของโต้วซานซานเดินออกไปไกลแล้ว ซ่งจื่อเซวียนอยากจะบอกซางเทียนซั่วว่าให้ไปร้านหม้อไฟ แต่เขายังไม่ทันเอ่ย ก็เห็นซางเทียนซั่วรีบหมุนตัว คุกเข่าบนเก้าอี้คนขับโดยตรง
“อาจารย์ที่เคารพ บุญคุณที่ช่วยเหลือในวันนี้ ศิษย์คนนี้จะไม่ลืมเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนตะลึงงัน “ต้องทำถึงขนาดนี้ไหม…”
…………………………………….