เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 67 ร้านอาหารร่ำรวย
ตอนที่ 67 ร้านอาหารร่ำรวย
ได้ยินชื่อนี้ ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรจริงๆ…
ภายใต้การกล่อมเกลาและสั่งสอนของผู้เฒ่าฟาง บวกกับตัวเองชอบอ่านตำราหนังสือต่างๆ ตั้งแต่เด็ก ซ่งจื่อเซวียนจึงชอบสิ่งที่สวยงามและไพเราะอยู่บ้าง แต่ที่เสี่ยเฉิงปาพูดก็ถูก เปิดร้านอาหารก็เพื่อหาเงิน แต่ว่าชื่อนี้…มันก็ตรงเกินไป
“เสี่ยปา ชื่อนี้…ขอแบบอ้อมๆ อีกหน่อยได้ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วจึงหัวเราะออกมาทันที “ฮ่าๆ เสี่ยปาเป็นคนจริงสุดๆ ร้านอาหารร่ำรวย…อย่างนั้นสู้เรียกว่าร้านอาหารทำเงินไม่ดีกว่าเหรอ”
“เฮ้อ…ทำเงินมันก็ตรงเกินไป ที่จริงฉันก็อ้อมแล้วนะ ถ้าอย่างนั้น…” เสี่ยปากลอกตาไปมาเพื่อครุ่นคิด “น้องชาย ชื่อว่าร้านอาหารทองคำเป็นไง”
ซ่งจื่อเซวียนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด เขาโบกมือ “พอแล้วเสี่ยปา ผมรู้สึกว่าร้านอาหารร่ำรวยก็ดีแล้ว”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เสี่ยปาจึงพยักหน้า จากนั้นเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เฮ้อ อยู่กับคนมีการศึกษาอย่างพวกแกเหนื่อยมากจริงๆ ชื่อนี้ฉันคิดทั้งคืน ว่าจะตั้งชื่ออะไรดี ฉันครุ่นคิดอยู่นานแทบจะครึ่งค่อนวัน ถึงได้ชื่อร้านอาหารร่ำรวยมา ตรงตามเป้าหมายและไม่เฉิ่มเชยเกินไป”
พรืด…
ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วแทบจะพูดประโยคหนึ่งเหมือนกันในใจ คุณยังจะคิดได้เฉิ่มกว่านี้อีกเหรอ
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ “เทียนซั่ว นายว่าพวกเราสองคนออกมาแบบนี้ ผู้หญิงสองคนนั้น…จะไม่เป็นไรใช่ไหม”
ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงสองคน แต่ท่าทางที่ทะเลาะกันเมื่อครู่นี้ ไม่แพ้ผู้ชายแน่นอน ในจุดนี้ซ่งจื่อเซวียนกังวลอยู่บ้างจริงๆ
“ช่างมันเถอะ ตาไม่เห็นนับว่าสะอาด…”
ถึงแม้จะออกมาจากต้าสือไต้แล้ว สงครามทางนั้นเป็นอย่างไรซางเทียนซั่วไม่สนใจแล้ว อย่างไรก็มองไม่เห็นและไม่อยากพูดถึง
รถราตอนกลางวันไม่เยอะมาก ใช้เวลาประมาณยี่สิบกว่านาทีรถจึงค่อยๆ จอด
หลังลงจากรถ ซ่งจื่อเซวียนถึงได้รู้ว่าร้านหม้อไฟนี้เป็นตึกเล็กสองชั้น เขาจึงพยักหน้า “เสี่ยปา ที่นี่ไม่เลวเลย ถ้าตกแต่งเสียหน่อย น่าจะโอเคนะครับ”
“ใช่แล้ว แต่น้องชาย ฉันเองก็รอไม่ไหวแล้ว พวกเราเปิดร้านก่อน เรื่องตกแต่งไว้ค่อยคิดได้ไหม”
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนไม่พูด เสี่ยเฉิงปาจึงหัวเราะเอ่ยว่า “แกวางใจได้ ฉันรับรองจะค่อยๆ เริ่มตกแต่งตั้งแต่เปิดร้านวันแรกเลย ตอนกลางวันเปิดร้าน ตอนเย็นถึงดึกตกแต่งร้าน แกคิดว่ายังไง บรรลุผลลัพธ์ที่แกต้องการได้ภายในหนึ่งสัปดาห์”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงพยักหน้า “โอเคครับ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
เดินเข้าไปในร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปรอบๆ ถือว่าเก่าพอสมควร ผนังสีขาวโดยรอบเริ่มสกปรกแล้ว พื้นยังเป็นพื้นกระดานเก่าๆ บางที่กระทั่งกระดกขึ้นมา โต๊ะเก้าอี้ไม่เป็นชุด มีลูกค้าประปรายอยู่สองสามโต๊ะ อาหารบนโต๊ะสามารถพูดได้ว่าค่อนข้างเกรดต่ำ
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปที่บันไดข้างหน้า พอเหยียบบันไดก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นคงแล้ว แต่ยังมองเห็นว่าถูกมัดด้วยแผ่นเหล็ก ไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร แต่บันไดแบบนี้เห็นได้ชัดว่าดึงคะแนนของร้านร่วงทั้งหมด
“เสี่ยปา ร้านนี้เกรงว่าจะเปิดเลยไม่ได้ จะขาดการตกแต่งไปไม่ได้”
เสี่ยเฉิงปาจับหัวล้านของตัวเอง เอ่ยว่า “โอ๊ยน้องชาย แกคิดจะตกแต่งยังไง ถ้าง่ายๆ สามวันห้าวันก็พอทำได้ แต่ถ้าใช้เวลานาน…อย่างนั้นต้องรอนานแค่ไหนกันถึงจะได้เปิดร้าน”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ถ้าจะทำก็ต้องไม่กลัวว่าต้องรอกี่วัน ไม่อย่างนั้น…เกรงว่าฝีมือทำอาหารจะดีแค่ไหนก็ช่วยกู้สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ได้ โต๊ะเก้าอี้เก่าพวกนี้ต้องทิ้งให้หมด ผมจะขึ้นไปดูชั้นสองก่อน”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินขึ้นไปชั้นสอง ชั้นสองสร้างด้วยโครงสร้างไม้ ซ่งจื่อเซวียนตัดสินว่าเดิมทีที่นี่เป็นตึกไม้ทั้งหมด ผ่านมานานหลายปี เจ้าของร้านไม่ได้ปรับปรุงใหม่ แผ่นไม้บนพื้นก็พังหมดแล้ว ไม่เพียงแต่มีบางส่วนยวบแล้วแต่ยังสกปรกมากอย่างเห็นได้ชัด
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือชั้นสองมีห้องส่วนตัวห้าหกห้อง ถือว่ามีกำไรพอสมควร อย่างไรก็จะทำเป็นร้านที่มีเอกลักษณ์นิดหน่อย จึงย่อมขาดห้องส่วนตัวไปไม่ได้
ถึงแม้จะเป็นช่วงอาหารเที่ยง แต่เห็นได้ชัดว่ากิจการของร้านนี้แย่มาก ชั้นหนึ่งมีลูกค้ากระจายอยู่สองสามโต๊ะ ห้องส่วนตัวชั้นสองว่างทั้งหมด แน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะซ่งจื่อเซวียนเห็นแล้วว่าห้องส่วนตัวทุกห้องไม่มีใครสักคน แต่เป็นเพราะชั้นสองเงียบเหมือนเป่าสากต่างหาก
ซ่งจื่อเซวียนผลักประตูเข้าไปก็เห็นโครงสร้างของห้องส่วนตัวแล้ว กว้างประมาณสิบตารางเมตร ในนั้นเป็นการตกแต่งสไตล์เก่าโบราณ คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายของวันเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ผนังกำแพงหลุดลอกหลายแห่ง พื้นพรมสกปรกไปทั่ว และมีแต่รอยไหม้ของบุหรี่
เขาลูบผงบนโต๊ะ แทบจะมีแต่รอยฝุ่นทั้งนั้น
เห็นสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงส่ายหน้า “ถ้าไม่เก็บกวาด คงจะเปิดร้านไม่ได้หรอกครับ”
ทว่าตอนที่กำลังจะหมุนตัว สายตาของซ่งจื่อเซวียนมองเห็นตู้ใบหนึ่งในมุมห้องส่วนตัว ตู้สูงประมาณเจ็ดสิบแปดสิบเซนติเมตร พื้นผิวสีเทามีแต่รอยด่าง แถบดึงทองแดงบนฝาตู้มีแต่คราบน้ำสกปรกสะสมไม่รู้กี่ปีแล้ว ดูแบบผิวเผินแล้วเหมือนตู้พังมากพอที่จะเอาไปโยนทิ้ง
แต่เป็นเพราะตู้เก่าๆ แบบนี้ ถึงดึงดูดซ่งจื่อเซวียน เขารีบเดินไปข้างหน้าแล้วลองลูบผิวไม้ เนื้อผิวดูเหมือนจะเขลอะมีแต่ฝุ่น ทว่าลื่นมือเป็นอย่างมาก เหมือนทาด้วยขี้ผึ้งอีกหนึ่งชั้น น่าจะเป็นน้ำมันที่ออกมาจากตัวไม้เอง
จากนั้นมองความสกปรกส่วนอื่น บางแห่งเผยให้เห็นพื้นสีของไม้ พื้นสีไม่ใช่สีเหลืองอ่อนเหมือนไม้ทั่วไป แต่เป็นสีส้มอมแดง ดูแล้วค่อนข้างเข้ม ค่อนไปทางสีม่วงเข้มด้วยซ้ำ
ซ่งจื่อเซวียนยกมือจะขยับตู้ แล้วหัวเราะพูดว่า “หนักมากจริงๆ เป็นตู้ไม้ถานม่วงใบเล็กจริงๆ วัสดุสำเร็จรูปที่มีอายุนานขนาดนี้…เห็นได้ไม่บ่อยจริงๆ”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็นึกถึงตู้ในยุคราชวงศ์หมิงของฟางจิ่งจือ ถ้าหากเทียบกันแล้วถึงแม้จะสู้อายุไม่ได้ ความสูงอาจจะน้อยกว่าหน่อย แต่ก็เป็นของจริงแน่นอน และในยุคปัจจุบันนี้ เพียงแค่จุดนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว
เนื่องจากพวกนักสะสมมักจะนำสิ่งของล้ำค่าไปซ่อนไว้ในโกดังของตัวเองหรือไม่ก็ในพิพิธภัณฑ์ สินค้าปลอมตามท้องตลาดจึงมีมากมายไม่ขาดสาย ได้เจอของจริงสักชิ้นก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร
มองดูตู้ที่อยู่ตรงหน้า ซ่งจื่อเซวียนซาบซึ้งจนบอกไม่ถูก อยากจะรีบย้ายกลับบ้านเขาทันที แต่ตอนนี้คงไม่ได้แน่นอน อย่างไรตู้ก็เป็นของร้านหม้อไฟแห่งนี้
จากนั้น เขาจึงเดินลงมาข้างล่าง เวลานี้เสี่ยเฉิงปากำลังเจรจากับเถ้าแก่ร้านหม้อไฟอยู่ เมื่อเห็นชัดว่าซ่งจื่อเซวียนสนใจ เสี่ยปาจึงรีบคุยทันที ไม่ว่าอย่างไรสถานการณ์ตอนนี้คือเขาเร่งรีบยิ่งกว่าซ่งจื่อเซวียนเสียอีก
เถ้าแก่ร้านหม้อไฟดูแล้วอายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างอ้วนมาก สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ใบหน้าดำคล้ำและมันวาว ทว่าเส้นผมกลับหวีไปข้างหลังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“เฮยโหยวเอ๋อร์ แกปล่อยร้านนี้เร็วสุดได้เมื่อไร” เสี่ยเฉิงปาเอ่ยถาม
เถ้าแก่ที่ชื่อเฮยโหยวเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “เสี่ยปา คุณต้องการเร็วเกินไปหรือเปล่า ผมต้องจัดการข้าวของในร้านก่อนไม่ใช่เหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เฟอร์นิเจอร์เก่าผุพังพวกนี้ของแกเสี่ยปาไม่เอาเลย ครั้งนี้เสี่ยปาจะเปิดร้านอาหารหรู เพราะงั้นต้องการของที่ดีที่สุด” เสี่ยเฉิงปากล่าว
เฮยโหยวเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “เสี่ยปา ร้านนี้ถ้าคุณจะเซ้งต่อผมไม่กล้าคิดค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิ์ แต่ไม่ให้ราคาของพวกนี้เลยแถมยังให้ผมจัดการเอง ก็ต้องให้เวลาผมบ้าง”
“อย่างนั้นไม่ได้ เอาแบบนี้แล้วกัน วันนี้แกลากของออกไปให้หมด ตอนเย็นก็ไม่ต้องเปิดร้าน วันพรุ่งนี้ฉันจะพาคนเข้ามาเตรียมตกแต่งร้าน” เสี่ยเฉิงปาพูดอย่างเผด็จการเช่นเคย ชัดเจนว่าสั่งให้เฮยโหยวเอ๋อร์รีบย้ายของออกไปทันที
“เอ่อ…”
“ไม่เป็นไรครับ ของพวกนี้พวกเราจะรับซื้อทั้งหมด เสนอราคามาได้เลย”
ไม่รอให้เฮยโหยวเอ๋อร์พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนที่เดินลงบันไดก็พูดขึ้นมา
ได้ยินดังนั้น เสี่ยปาตกตะลึงเล็กน้อย “หืม น้องชายเป็นอะไรน่ะ ไม่เอาทั้งหมดไม่ใช่เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะหนึ่งที “เสี่ยปา พวกเราอย่าทำให้เถ้าแก่เฮยโหยวลำบากใจเลย ยังไงถ้าอยากรีบรับช่วงต่อร้านนี้ ก็ต้องเห็นอกเห็นใจกันและกัน เถ้าแก่เฮยโหยวเอ๋อร์ คุณเสนอราคามาเลย ราคาเหมาะสมพวกเราจะซื้อทั้งหมด”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮยโหยวเอ๋อร์จึงเผยรอยยิ้มออกมา “นายท่านซ่งคุณใจกว้างมาก โต๊ะเก้าอี้ทั้งตึกนี้ เคาน์เตอร์แล้วก็ของที่อยู่หลังครัวผมเอาไปไม่ได้ คุณให้สองหมื่นหยวนก็พอครับ”
พรืด…
“สองหมื่น แม่งทำไมไม่แย่งไปเลยล่ะ เฮยโหยวเอ๋อร์ แกอยากตายใช่ไหม”
“ไม่ ไม่ใช่นะเสี่ยปา คุณดูสิ ของพวกนี้มีโต๊ะเก้าอี้รวมกันสิบกว่าชุด แต่ละชุดก็สองสามร้อยหยวน มีโต๊ะทำครัวที่หลังครัว เตาแก๊ส เครื่องดูดควันและอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ แล้วก็แอร์ในห้องโถงใหญ่กับห้องส่วนตัวทุกห้องอีกนะครับ”
“อย่างนั้นก็ไม่ได้ ทั้งหมดห้าพันหยวน เอาไหม” เสี่ยเฉิงปาถาม
พอได้ยินดังนี้ ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา โต๊ะเก้าอี้เก่าๆ เหล่านี้ ที่จริงแล้วไม่มีราคาเลย แต่ลำพังแค่แอร์ อุปกรณ์ทำครัวรวมกันก็หนึ่งหมื่นกว่าหยวนแล้ว อันที่จริงเฮยโหยวเอ๋อร์อยากได้สองหมื่นหยวนก็ถือว่าเป็นราคาที่ยุติธรรม
แต่เสี่ยเฉิงปาต่อราคาหายไปเศษสามส่วนสี่แบบนี้ โหดมากจริงๆ
“เสี่ยปา คุณก็เหมือนแย่งของมาเหมือนกัน แอร์ของผมพวกนี้ก็ราคาตั้งเท่าไรแล้ว”
เสี่ยเฉิงปาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แกหาว่าเสี่ยปานับเลขไม่เป็นเหรอ แอร์มือสองพวกนี้ของแกจะมีราคาสักเท่าไร ห้องโถงใหญ่สองเครื่อง ห้องส่วนตัวห้าเครื่อง แอร์เจ็ดเครื่องไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวน รวมอุปกรณ์ทำครัวแกคิดว่าเท่าไร โต๊ะเก้าอี้เก่าๆ พวกนี้เราก็ไม่เอา!”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบพูด “งั้นเอาแบบนี้ เถ้าแก่เฮยโหยวเอ๋อร์ พวกเราให้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนแต่มีข้อแม้คือ วันนี้คุณต้องทิ้งร้านเลย ของในร้านยกเว้นเงินกับของส่วนตัวแล้ว ทั้งหมดห้ามหยิบออกไป”
เฮยโหยวเอ๋อร์ครุ่นคิด อันที่จริงหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนเขาขาดทุนเล็กน้อยจริงๆ แต่กิจการของตัวเองก็ไม่สู้ดีนัก ถ้าหากเสี่ยเฉิงปารับช่วงต่อก็ถือว่าทำตัวเองขาดทุนเหมือนกัน และถ้าหากตัวเขาไม่ตกลงอีก เกรงว่าเสี่ยเฉิงปาก็คงจะใช้กำลังแล้ว
“โอเค งั้นก็ตามที่นายท่านซ่งพูดแล้วกันครับ!”
เสี่ยเฉิงปาหนังตาตก เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไร “เฮยโหยวเอ๋อร์ นายท่านซ่งเขาไว้หน้าแกรู้ไหม ตอนนี้รีบทิ้งร้านให้ฉันซะ เหลยจื่อ เซ็นสัญญากับเขา!”
“ได้เลยครับเสี่ยปา!”
เหลยจื่อกับเฮยโหยวเอ๋อร์กำลังเซ็นสัญญา เสี่ยเฉิงปาก็ลากซ่งจื่อเซวียนไปอีกด้านหนึ่ง “น้องชาย ให้ราคาสูงไปแล้ว เมื่อกี้แกไม่น่าพูดแทรก ฉันซื้อต่อได้ห้าพันหยวนแน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนรู้อยู่แล้ว แต่แบบนั้น เฮยโหยวเอ๋อร์ก็ต้องเอาพวกโต๊ะเก้าอี้ทั้งหมด ตู้ใบเตี้ยที่ชั้นบนก็เกรงว่าจะไม่อยู่แล้ว เขาจึงย่อมต้องห้ามไว้…
“เหอะๆ เสี่ยปา พวกเราทำธุรกิจเน้นเรื่องความปรองดองจึงเกิดทรัพย์ และตอนนี้ก็เป็นลางที่ดี เพื่ออนาคต ส่วนข้าวผัด…คุณวางใจได้ มอบให้เป็นหน้าที่ผม ต่อไปจะมีแต่เงิน แล้วยังจะแคร์เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมล่ะครับ”
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ เสี่ยเฉิงปาถึงสบายใจ อย่างไรเขาก็มั่นใจในข้าวผัดจักรพรรดิเป็นอย่างยิ่ง ทางต้าสือไต้ก็ดังระเบิดไปแล้ว เขายังจะต้องกลัวว่าทางนี้จะไม่ดังอีกเหรอ สำหรับเขาแล้ว เงินมาอยู่ตรงหน้าแล้ว รอแค่ตัวเองเข้าไปเก็บเท่านั้น
“โอเค น้องชาย ทำตามที่แกว่า แต่เสียเปรียบไอ้หมอนี่แล้ว!” เสี่ยเฉิงปากลอกตาใส่เฮยโหยวเอ๋อร์
ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะ และตอนนี้เองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าซุนโส่วเหวินโทรเข้ามา ซ่งจื่อเซวียนก็อดเผยรอยยิ้มมั่นใจออกมาไม่ได้ ตอนนี้…ถึงตาพวกคุณมาหาผมแล้วเหรอ
………………………………………………..