เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 66 เสือสองตัวทะเลาะกัน
0
ตอนที่ 66 เสือสองตัวทะเลาะกัน
เมื่อทำความสะอาดบนเตาเรียบร้อยแล้ว ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วจึงเดินออกมาจากหลังครัว อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีงานอื่นต้องทำแล้ว ดังนั้นอันที่จริงพอขายหมดยี่สิบที่ ทำความสะอาดเตาเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าเลิกงานได้
เมื่อเห็นสองคนเดินออกมาเร็วขนาดนี้ โจวเผิงก็เอ่ยว่า “เหอะๆ เลิกงานแล้วเหรอ ไม่เหมือนกันจริงๆ…เพิ่งเที่ยงก็เลิกงานแล้ว งานแบบนี้หาได้ที่ไหน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วจึงเอ่ยว่า “แม่งเอ๊ย มีแต่แกที่ปากเสียใช่ไหม พวกเราทำงานเสร็จแล้วก็ต้องเลิกงานสิ!”
โจวเผิงยักไหล่ เล่นนิ้วตัวเอง กล่าวว่า “ถึงได้พูดไง นี่ก็คืออภิสิทธิ์ ฉันทำงานทั้งวันแทบตาย แต่มีบางคนทำงานแค่ตอนเช้า…เหอะๆ ก็ไม่รู้ว่าอภิสิทธิ์แบบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน”
“แกแม่งยุ่งเรื่องอะไรด้วย ดูสภาพแกสิ ชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง แถมยังชอบเล่นนิ้วตัวเองอีก” ซางเทียนซั่วพูดพลางถ่มน้ำลาย “ถุย แม่งน่าขยะแขยงจริงๆ อาจารย์พวกเราต้องอยู่ห่างเขาหน่อย ผมกลัวว่าจะติดเชื้อตุ๊ด”
“แก…แกว่าใคร” โจวเผิงชี้ไปที่ซางเทียนซั่ว
“ใครเหมือนตุ๊ดฉันก็ว่าคนนั้นแหละ” ซางเทียนซั่วหัวเราะพรืด ชี้กลับไปที่โจวเผิงเอ่ยว่า “เฮ้อจะว่าไปฉันก็ไม่เข้าใจ แกเป็นผู้ชาย มัวแต่พูดจาจีบปากจีบคอทั้งวัน ยืนหนีบขาอยู่ตรงนั้น ว่างแล้วก็เล่นนิ้ว แกไม่รู้สึกขยะแขยงตัวเองบ้างหรือไง พ่อแม่แกรู้ไหมว่าแกเป็นแบบนี้”
โจวเผิงขึงตาใส่ พูดตะคอก “แกไสหัวไปเลย ซางเทียนซั่วแกเชื่อไหมว่าฉันจะไล่แกออก!”
“ไล่ออกเลย แน่จริงแกก็ไล่ออกสิ ฉันรับรองว่าแกจะเสียใจ!” โจวเผิงพูดจบแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากต้าสือไต้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เลิกงานแล้วกลับบ้าน แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาต้องหลบซางเทียนซั่วก่อน ไอ้หมอนี่ปากหมาเกินไปแล้ว…
เมื่อเห็นโจวเผิงเดินไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยว่า “เทียนซั่ว นายก็พูดแรงเกินไป อย่างน้อยโจวเผิงก็เป็นผู้จัดการต้องไว้หน้าเขาหน่อย”
“ถุย คนน่าเกลียดแบบนี้ เอาขนไก่ไปทำลูกศร[1] คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญมากนักเหรอ ผมเห็นเขาทำให้อาจารย์ลำบากใจตั้งแต่วันแรกผมก็ไม่ชอบแล้ว อาจารย์ วันหลังไม่ต้องสนใจเรื่องนี้เลย ผมจะจัดการเขาให้ตายเอง!”
ซางเทียนซั่ววางมือข้างหนึ่งบนเคาน์เตอร์ พลางเอ่ย
“นี่ เอามือออก ทับบัตรของฉันแล้ว!” หลัวลี่ลี่ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์กล่าว
ซางเทียนซั่วรีบยกมือ เอ่ยว่า “ลี่ลี่ ฉันเห็นว่าปกติโจวเผิงชอบแกล้งเธอ เดี๋ยวฉันจะช่วยแก้แค้นให้เอาไหม”
หลัวลี่ลี่กวาดตามองซางเทียนซั่วหนึ่งที เผยรอยยิ้มแบบขอไปทีอย่างชัดเจน “เหอะๆ ขอบใจนะ”
“เชอะ หัวเราะได้เสแสร้งมาก” ขณะพูด ซางเทียนซั่วเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์ “ลี่ลี่ เธอสวยดูดีขนาดนี้ ฮิๆ ฉันชอบคนปากจัดพูดตรงอย่างเธอนะ ดีจริงๆ”
หลัวลี่ลี่กลอกตาใส่เขา “ในเคาน์เตอร์ใช่ว่าใครที่ไหนจะเข้ามาได้ ถ้าเงินหายขึ้นมาฉันจะไปหานาย!”
“ฮ่าๆ ได้เลย ได้อยู่กับคนสวยสักพักหนึ่ง เสียเงินเท่าไรก็ยอม”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวลี่ลี่จึงสั่นไปทั้งตัว ต้องยอมรับว่า พอได้ยินซางเทียนซั่วเรียกเธอว่าคนสวยแล้วก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ไม่เคยมีข้อยกเว้นเลยสักครั้ง…
“นี่ นายจะไปทำอะไรก็ไปทำ ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังคิดเงินอยู่”
“เห็นแล้ว ฉันชอบเวลาที่เธอจริงจังนะ ฮิๆ อ้อใช่ลี่ลี่ เธอมีแฟนหรือยัง” ซางเทียนซั่วถาม
หลัวลี่ลี่หันมาขึงตาใส่เขาหนึ่งที “มี แฟนของฉันทั้งสูงทั้งหล่อทั้งรวย นายเทียบกับเขาแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน พอแล้วใช่ไหม”
“อ๋า เธอมองฉันสูงมากเลยเหรอ ฮ่าๆ ฉันเป็นฟ้าใช่ไหม”
หลัวลี่ลี่หมดคำพูด เบือนหน้าหนีไม่มองเขาไปเลย ไอ้หมอนี่ปากเหมือนปืนกลพูดเป็นต่อยหอย เธอไม่สามารถคิดเงินได้เลย
ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ ก็มึนงงไปแล้ว ไอ้หมอนี่ปกติเห็นผู้หญิงสวยก็ไม่มีอะไรมาก แต่ทุกครั้งที่เห็นหลัวลี่ลี่จะกลายเป็นคนเจ้าชู้ทันที แปลกไม่เหมือนใครจริงๆ
ระหว่างที่ซางเทียนซั่วกำลังทำตัวเลี่ยนอยู่ข้างกายหลัวลี่ลี่ ก็เห็นเพียงหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของภัตตาคาร หญิงสาวใส่เสื้อขนสัตว์สีแดง คอเสื้อเผยให้เห็นลายลูกไม้ที่อยู่ตรงหน้าอกเสื้อเชิ้ตสีขาว ด้านล่างใส่ถุงน่องสีดำ ขับให้ขาทั้งสองข้างยิ่งเรียวสวย
หมวกเบเร่ต์สีดำบนศีรษะยิ่งทำให้ดูเก๋ไก๋ การแต่งกายน่ารักเหมือนสาวญี่ปุ่นแลเข้ากันกับใบหน้าเรียวเล็กที่สวยงามของเธอเป็นอย่างมาก บวกกับผมหยักศกสีดำประบ่าทั้งสองข้าง ยิ่งดึงดูดให้คนต้องเหลียวหลังมองอยู่ไม่น้อย
“แค่กๆ…” เมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาก็แลซ้ายมองขวา ซ่งจื่อเซวียนรีบกระแอมเบาๆ หนึ่งที ขณะเดียวกันก็เคาะที่หน้าเคาน์เตอร์
ทว่าซางเทียนซั่วเวลานี้ในดวงตามีแต่หลัวลี่ลี่เพียงคนเดียว ไม่ได้สังเกตเห็นเลย เมื่อหญิงสาวคนนั้นเห็นซางเทียนซั่วกำลังอี๋อ๋ออยู่ข้างกายหลัวลี่ลี่ ใบหน้าเรียวเล็กนั่นจึงเผยความโกรธทันที เธอยู่ปาก รีบเดินเข้ามา
“ซางเทียนซั่ว! นายทำอะไรอยู่น่ะ!”
หากเทียบที่โจวเผิงตะคอกเมื่อครู่กับเธอแล้ว เห็นได้ชัดว่าโจวเผิงมีความคล้ายกับผู้หญิงสาวมากกว่า…
ซางเทียนซั่วอึ้งกับเสียงตะโกนนี้อย่างชัดเจน วินาทีที่ได้ยินเสียงนี้ เขาแทบจะรู้แล้วว่าเป็นใคร เวลานี้เขาไม่หันหน้ากลับไป แต่ความรู้สึกหวาดกลัวกลับครอบงำสีหน้าของเขาแล้ว
หลัวลี่ลี่ก็ตกใจเหมือนกัน เธอเบิกตาโตมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน “เธอ…คุณ..จะสั่งอาหารเหรอคะ”
“สั่งอาหารงั้นเหรอ ฉันไม่อยากกินของที่นี่ของพวกเธอหรอก เหอะ เธอนี่มันยังไงกัน อายุน้อยขนาดนี้ก็มาอ่อยผู้ชายของคนอื่น เธอไม่อายหรือไง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกคอตีบตันขึ้นมาทันที ในใจพลันเกิดความคิดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ…เรื่องไม่เกี่ยวกับตัวเองไม่ต้องใส่ใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของซางเทียนซั่ว ตัวเองไม่ต้องไปยุ่ง ใช่ ถูกแล้ว…
แต่ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนจะคิดเช่นนี้ ทว่าหลัวลี่ลี่กลับไม่ใช่ โดนผู้หญิงตะโกนใส่แบบนี้ เธอโมโหจริงๆ แล้ว
“เธอว่าใครน่ะ ฉันไม่รู้จักเธอเธอก็มาพูดจาหมาๆ ใส่แบบนี้ เป็นบ้าเหรอ ไม่สบายก็ไปหาหมอ ถ้าไม่เป็นไรก็ต้องกินยาป้องกันไว้ล่วงหน้าเลย!”
หลัวลี่ลี่ตะโกนใส่แบบนี้ ซางเทียนซั่วก็สั่นไปทั้งตัว ถ้าหากโต้วซานซานตะโกนแบบนั้นเรียกว่าน่ากลัวแล้ว ตอนนี้หลัวลี่ลี่ก็ร่วมวงด้วย ผู้หญิงสองคนตะโกนใส่กัน น่ากลัวเสียจริง…
“หือ ว่าเธอแล้วจะทำไม เธอนั่นแหละ เขาเป็นผู้ชายของฉันเธอรู้ไหม เธอยังจะอ่อยเขาอีก ถุย หน้าไม่อายจริงๆ เธอมันนางแพศยา!” เมื่อได้ยินหลัวลี่ลี่ตอกกลับ โต้วซานซานยิ่งอารมณ์ขึ้น ชี้หน้าด่าหลัวลี่ลี่ยกใหญ่
ซางเทียนซั่วออกแรงจับมือของหลัวลี่ลี่ไว้ ถึงแม้สัมผัสของมือนั้นจะเนียนนุ่มและนุ่มลื่นอย่างอธิบายไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาเพลิดเพลินแล้ว ทำได้เพียงรีบส่ายหน้าให้หลัวลี่ลี่ เพื่อบอกเธอว่าอย่าหาเรื่องโต้วซานซาน
แต่หลัวลี่ลี่ไม่สนใจ สะบัดมือของซางเทียนซั่วออก “ถอยไป นายจะจับมือของฉันทำไม!”
พูดจบ เธอจึงหันไปหาโต้วซานซาน “เธอนั่นแหละนางแพศยา ดูการแต่งตัวของเธอ อายุมากขนาดนี้ยังทำตัวเป็นเด็ก เธอคิดว่าเธอแต่งตัวแบบนี้แล้วฉันจะมองไม่ออกเหรอว่าเธออายุสี่สิบกว่าปีแล้ว ขอบอกเธอให้นะเธอมีเงินก็ไปซื้อครีมบำรุงผิวไป ล้างเครื่องสำอางออกแล้วใครคงตกใจ แล้วก็นะ เขาเป็นผู้ชายของเธอใช่ไหม เหอะ เธอก็คงหาได้แค่นี้ เอาไปเถอะ ฉันไม่สนใจหรอก!”
ซางเทียนซั่วงงมาก ปกติหลัวลี่ลี่จะดูเรียบร้อยว่านอนสอนง่าย แต่เวลาที่โมโหขึ้นมาก็ไม่แพ้ให้โต้วซานซานเลยสักนิด ตอนนี้เขารู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ต้าสือไต้ แต่เป็นตลาดสด เขากำลังมองผู้หญิงปากร้ายสองคนด่าใส่กัน…
“เธอว่าฉันงั้นเหรอ ฮ่าๆๆ ฉันว่าเธอไปศัลยกรรมหน้ามามากกว่ามั้ง อายุจริงๆ เท่าไรกันแน่ กล้าพูดไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นจะมาหลบอยู่ในภัตตาคารอ่อยผู้ชายทำไม ให้ตายเถอะ จิ้งจอกแรด!” โต้วซานซานยิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟัง กลับดูไม่เข้ากับชุดน่ารักที่เธอสวมใส่เลย…
“ฮ่าๆๆ ฉันแรดแล้วจะทำไม ตัวเธอดูแลผู้ชายของตัวเองไม่ได้แล้วมาโทษฉัน เขาชอบฉันก็เพราะฉันสาวกว่า เขาเล่นกับผู้หญิงแก่ปากร้ายอย่างเธอจนเบื่อแล้ว ฉันขอแนะนำว่าเธอรีบไปทำศัลยกรรมเถอะ ไม่อย่างนั้นชาตินี้คงไม่มีใครเอา!”
“เธอ…” โต้วซานซานชี้หลัวลี่ลี่ เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก
“ฉันทำไม ฮ่าๆๆ ฉันชอบเขานะ ซางเทียนซั่วหล่อมาก เธอลองเรียกเขาสิ เธอดูสิว่าเขาจะกล้าเดินไปไหม”
หลัวลี่ลี่พูด แล้วจึงซบไหล่ของซางเทียนซั่วเสียเลย มือคล้องแขนของเขาไว้ แน่นอนว่าเธอออกแรงคล้องแขนของเขาไว้ ถ้าหากซางเทียนซั่วเดินเข้าไปจริงๆ เธอคงหน้าแตกมาก
ซางเทียนซั่วรู้สึกเพียงได้กลิ่นหอมเตะจมูก หลัวลี่ลี่สาวน้อยคนนี้ตัวหอมจริงๆ…
“นาย…ซางเทียนซั่วเดินมาหาฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นนายเจอดีแน่!”
ได้ยินประโยคนี้ ซางเทียนซั่วตกใจทันที แต่แขนกลับถูกหลัวลี่ลี่จับแน่นมาก แยกตัวไม่ออกจริงๆ
หลัวลี่ลี่หัวเราะใส่ “ฮ่าๆๆ ตีโพยตีพายขี้โวยวาย เยี่ยมจริงๆ นายสั่งให้เธอไปตายสิ ดูสิว่าเธอกล้าตายไหม!”
ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วยังขนลุกซู่ขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้…หาเรื่องไม่ได้จริงๆ เวลาที่โมโหขึ้นมา น่ากลัวยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก
และในตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนก็รับสายโทรศัพท์ เสี่ยปาบอกว่ามาถึงแล้ว เขาจึงเอ่ยว่า “เทียนซั่ว เขามาแล้ว พวกเรารีบไปเถอะ!”
ซางเทียนซั่วรู้สึกเหมือนนี่คือฟางเส้นสุดท้าย ทันทีที่ดิ้นหลุดจากหลัวลี่ลี่ก็พูดว่า “ขอโทษด้วยนะสองสาว ฉันมีธุระต่อ พวกเราค่อยว่ากันใหม่ครั้งหน้านะ…”
พอสิ้นเสียง เขาก็รีบยกขาแล้วออกวิ่ง ความเร็วนั่น…ขนาดกระต่ายยังเป็นหลานของเขาเลย…
ทั้งสองคนพุ่งออกจากประตูใหญ่แล้วขึ้นรถบิวอิคก์ของเสี่ยเฉิงปาทันที ซางเทียนซั่วเอ่ย “ออกรถ เร็ว!”
“เป็นอะไรน้องชาย เร่งรีบขนาดนี้” เหลยจื่อถามพร้อมรอยยิ้ม
“อย่าถาม เจอเหตุฉุกเฉิน รีบออกรถ!”
เสี่ยปากับจางเปียวส่งสายตาให้กัน จางเปียวเข้าใจรีบลงจากรถทันที จากนั้นรถก็สตาร์ทและออกจากประตูภัตตาคารต้าสือไต้ไป
วินาทีที่รถออกไป ซางเทียนซั่วยังเห็นหลัวลี่ลี่กับโต้วซานซานวิ่งไล่ตามออกมา ทั้งสองคนทะเลาะกันเพราะเขา ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ปล่อยซางเทียนซั่วไปง่ายๆ แน่นอน
ซางเทียนซั่วปาดเหงื่อ “แม่งเอ๊ย…ชีวิตอยู่บนเส้นด้าย ปกติแม่งดูเรียบร้อยน่ารัก พอทะเลาะกันขึ้นมาเหมือนเสือสองตัวเลยทีเดียว”
“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า ดูสิว่าวันหลังนายยังจะเจ้าชู้ไปเรื่อยอีกไหม กินข้าวในชามแต่มองของในหม้อ ครั้งนี้ยอมรับโทษแล้วใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ
“ไอ้หยาใครกินข้าวในชามมองของในหม้อกัน อาจารย์ กลับไปผมค่อยอธิบายให้อาจารย์ฟัง แม่งผมตกใจหมดเลย ผมขอสงบสติอารมณ์ก่อน…” เมื่อเห็นว่าเริ่มอยู่ห่างจากผู้หญิงสองคนอย่างช้าๆ ผ่านหน้าต่างรถ ซางเทียนซั่วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกและพิงตัวกับเบาะรถ
เสี่ยเฉิงปาเห็นแล้วจึงหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ผู้ชายก็อย่างนี้ ต้องเล่นกับผู้หญิงสักสองสามคน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ฉันว่าแกมีอนาคตแน่นอน”
ซางเทียนซั่วเอามือปิดตาพลางโบกมือ “พอแล้วครับอย่าแซวผมเลย ผมตกใจเกือบตาย…”
ทุกคนหัวเราะขึ้นมา แต่ถึงแม้จะมีเรื่องราววุ่นวายเมื่อครู่ ซ่งจื่อเซวียนก็ยังสังเกตเห็นที่เสี่ยปากับจางเปียวสื่อสารกัน ดูเหมือนจะพอรู้อะไรบางอย่างแล้ว
“น้องชาย พวกเราไปดูที่ถนนเฉิงหลินก่อน เป็นตึกเล็กสองชั้น ร้านหม้อไฟของเขาเหมือนจะไปต่อไม่ไหวแล้วและกำลังคิดจะโอนกรรมสิทธิ์ จากนั้นค่อยไปดูร้านของฉัน” เสี่ยเฉิงปากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ทำตามเสี่ยปาได้เลยครับ”
“อืม..น้องชาย ฉันคิดแบบนี้ ยังไงเรื่องนี้ก็ชัวร์แล้ว พวกเราตั้งชื่อร้านก่อนเป็นไง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงครุ่นคิด ยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยปา ชื่อว่า…เรือนรัญจวนดีไหม ฟังแล้วเพราะดี”
เสี่ยเฉิงปาขมวดคิ้วขึ้นมาพักหนึ่ง “เพราะมากก็จริง แต่เรียกชื่อร้านอาหารแบบนี้มันดูแปลกๆ น้องชายฉันคิดได้อันหนึ่งแกลองฟัง พวกเราทำธุรกิจเพื่อความร่ำรวย งั้นก็เรียกว่าร้านอาหารร่ำรวยเป็นยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง แม้แต่ซางเทียนซั่วที่ยังไม่ได้สติกลับมาก็เบิกตาโตเช่นกัน สองคนสบตากันหนึ่งที แล้วพยักหน้าพร้อมกันในทันใด ถูกแล้ว ชื่อนี้ดูเหมือนเสี่ยเฉิงปาเป็นคนตั้งขึ้นมาจริงๆ…
………………………………………….
[1] เอาขนไก่ไปทำลูกศร (拿着鸡毛当令箭) หมายถึง การหาเหตุผลในการใช้กำลังของผู้ที่มีอำนาจ