เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 62 ให้เกียรติ
ตอนที่ 62 ให้เกียรติ
เสี่ยเฉิงปาพินิจพิเคราะห์เคอหงเทาและในขณะเดียวกันก็มองไปที่ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขา ลูกน้องเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่งกำยำและมีพละกำลัง อีกทั้งพวกเขาทั้งหมดอาจเป็นคนติดตามรับใช้อย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะชายหนุ่มผมเกรียนคนหนึ่งที่ดูเหมือนอายุยี่สิบกว่าปี เขายืนตระหง่านตัวตรงและมองตรงไปข้างหน้า มองปราดเดียวก็สามารถบอกได้ว่ามาจากกองกำลังที่มีระเบียบวินัย
‘ฮ่าๆ เคอซานคนนี้…มีของดีอยู่ในมือสินะ’
ในขณะเดียวกันนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็สนใจเรื่องนี้เช่นกัน ดวงตาของเขาจ้องมองชายผมเกรียนคนนั้นอยู่ตลอด บนใบหน้าที่นิ่งไร้ความรู้สึกนั้น ดูเหมือนว่าหน้าตาของเขาจะเป็นอย่างไรนั้นก็ไม่สำคัญแล้ว เหลือไว้เพียงสี่คำเท่านั้น มุ่งมั่นจดจ่อ!
“เสี่ยซาน พูดอะไรของคุณ เราสองพี่น้องพบกันจะมีจุดประสงค์อะไรกัน…ถ้าไม่มีจุดประสงค์ ผมเฉิงปาแค่จะเลี้ยงชาคุณสักถ้วยไม่ได้เหรอ?” เสี่ยปาพูดพร้อมรินชายื่นให้เคอหงเทาถ้วยหนึ่ง
หากเป็นคนอื่นยื่นชาให้เขาเคอหงเทาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติ แต่เสี่ยปาเป็นคนยื่นให้ เขาก็ยังรับมา
“เหอะๆ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันนานเสี่ยปาก็อ้อมค้อมเป็น ถ้าวันนี้แค่อยากดื่มชาเพียงอย่างเดียว งั้นผมก็จะดื่ม เสร็จแล้วก็จะไป ร้านผมจวี้เสียนจวงตอนนี้คงจะยุ่งกันอยู่”
เมื่อเอ่ยถึงจวี้เสียนจวง เสี่ยเฉิงปาก็เริ่มไม่พอใจ ในสายตาของคนทั่วไปเคอซานและเฉิงปาสองคนนี้คือผู้มีอิทธิพลที่มีอำนาจใกล้เคียงกันของเขตเฉิงตงและเฉิงซี แต่ในใจเขารู้ดีว่าเป็นเพราะจวี้เสียนจวงทำให้เคอหงเทามีอำนาจเหนือกว่าเขากระทั่งเขาเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
เหตุผลที่จวี้เสียนจวงมั่นคงขึ้นมาได้ก็เนื่องจากทำเลทองที่ติดกับเขตตะวันออกและตะวันตก ถ้ารู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้เขาคงพยายามอย่างสุดกำลังตั้งแต่แรก เสี่ยเฉิงปาจะไม่ยอมปล่อยมันไป แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว
“ฮ่าๆๆ เสี่ยซานคงยุ่งจริงๆ ถึงรีบดื่มชาถ้วยเดียวขนาดนี้” เสี่ยเฉิงปาจิบชาแล้ววางถ้วยชาลงช้าๆ จากนั้นตบไหล่ซ่งจื่อเซวียน “เสี่ยซาน เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น น้องชายคนสนิทของผมคนนี้…ดูเหมือนจะมีเรื่องเข้าใจผิดกับคุณอยู่นะ”
“เข้าใจผิด?” เคอหงเทามองไปที่ซ่งจื่อเซวียนแล้วยิ้มร่า “ไม่มีนะ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นซ่งจื่อเซวียน เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่รึไง”
“เสี่ยซาน!” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและทักทายเคอหงเทาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสุขุมอย่างที่สุด
เคอหงเทาโบกไม้โบกมือ “ไม่ได้เข้าใจผิดกัน สองสามวันนี้ซ่งจื่อเซวียนกับผมกำลังปรึกษาหารือกันเรื่องการร่วมมืออยู่”
ได้ยินเช่นนี้เสี่ยเฉิงปาก็มั่นใจแล้ว จากคำพูดของเคอหงเทาก็แน่ใจได้แล้วว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นพ่อครัวที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิจริงๆ ตราบใดที่ช่วยเขาในวันนี้ เช่นนั้นก็คงพร้อมรับความร่ำรวยได้แล้ว
“เสี่ยซาน เหอะๆ คนซื่อสัตย์ไม่พูดเรื่องลับลมคมใน วันนี้ที่ผมเชิญคุณมาที่นี่ก็เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ น้องเล็กคนนี้ของผม…ไม่อยากร่วมมือกับคุณ”
หลังจากได้ยิน ปฏิกิริยาเคอหงเทาก็สงบนิ่งเป็นอย่างมาก เขาส่งยิ้มและมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ไม่อยากร่วมมืออย่างนั้นเหรอ ซ่งจื่อเซวียนหนอซ่งจื่อเซวียน นายบอกฉันว่ากำหนดคือสามวัน ฉันคิดว่านายจะกลับไปพิจารณาจริงๆ ที่แท้นายก็ไปหาเสี่ยปาต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มาแล้ว”
เสี่ยเฉิงปากลอกตาและพูดปนยิ้ม “เพราะงั้นวันนี้ผมจะเลี้ยงชาขอโทษคุณสักถ้วย เสี่ยซาน อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลย ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สถานการณ์ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน เฉิงปากำลังรอคำตอบจากเคอหงเทา แต่เคอหงเทาเอนกายบนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นและไม่เอ่ยปาก ส่วน…คนอื่นๆ ย่อมไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่แล้ว
ความเงียบนี้กินเวลานานเกือบครึ่งนาที และยังเป็นเฉิงปาที่เอ่ยปากก่อน “เสี่ยซาน จะได้หรือไม่ได้…ก็บอกมาเถอะ เฉิงปากำลังรออยู่”
“ฮ่าๆๆ ขอโทษด้วยเสี่ยปา เมื่อกี้ผมใจลอยซะงั้น!”
เคอหงเทาพูดพลางลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลังเดินสองสามก้าว และในที่สุดก็มาถึงเบื้องหน้าซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นมองเขาโดยไม่ละสายตา และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดจะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นฉากนี้ เสี่ยเฉิงปาแผ่นหลังสั่นไหวเล็กน้อย ซ่งจื่อเซวียนทำให้เขารู้สึกเกินความคาดหมายอยู่บ้าง ตอนคุยกับเขาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็ดูเป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นมาก และตอนนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ที่คนทั่วไปไม่มี
ต้องรู้ว่าในเมืองตู้เหมิน คนที่โดนสายตาจ้องมองของเสี่ยเคอซานแล้วยังนั่งได้อย่างสุขุมไม่ไหวติงนั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น และเฉิงปาก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น
“ไอ้หนู ใช้ได้หนิ นี่นับว่าเป็นการเล่นแง่กับเสี่ยซานหรือเปล่า?” เคอหงเทากล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก
เมื่อซ่งจื่อเซวียนได้ยิน เขาก็ชำเลืองมองนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “คำพูดนี้ของเสี่ยซานไม่สมเหตุสมผล ผมไม่ได้รับปากอะไรกับเสี่ยซานเลย แต่ผมแค่ไม่ค่อยอยากร่วมมือในรูปแบบนั้น คุณคงไม่ได้หมายความว่า…เมื่อใดที่เสี่ยซานเปิดปาก ผมซ่งจื่อเซวียนก็ต้องรับปากตามนั้นหรอกนะครับ”
หลังจากได้ยิน เคอหงเทาก็ขุ่นเคืองใจอย่างรุนแรง สุดท้ายซ่งจื่อเซวียนไม่เพียงต่อต้านเขาเท่านั้น แต่ยังยอกย้อนเขาต่อหน้าคนจำนวนมากอีกด้วย!
เขาเบิกตาโพลง ยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียน “เฮ้ย ไอ้เด็กเวร แกเห็นเสี่ยซานเป็นตัวอะไรวะ?!”
เมื่อเห็นเขาชี้นิ้ว ซางเทียนซั่วก็ลุกขึ้นยืนทันทีและยืนขวางตรงหน้าซ่งจื่อเซวียน เมื่อสายตาของพวกเขาประสานกัน ซางเทียนซั่วก็จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง แม้สายตาของเขาจะไม่สงบนิ่งเท่าซ่งจื่อเซวียน แต่กลับดุดันยิ่งกว่าแต่ขณะที่ซางเทียนซั่วเคลื่อนไหว ชายผมเกรียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเคอหงเทาก็ใช้มือข้างหนึ่งพยุงหลังเก้าอี้ไว้และกระโดดข้ามมายืนด้านข้างเคอหงเทา พร้อมยกมือขึ้นดันหน้าอกซางเทียนซั่วเอาไว้
หากเทียบกันแล้ว แม้ว่าลูกน้องคนอื่นๆ จะแข็งแกร่งเช่นกัน แต่ก็ช้ากว่าไม่น้อย ทว่าพวกเขาก็วิ่งมาล้อมที่เก้าอี้เช่นกัน
เมื่อเห็นอย่างนี้เหลยจื่อและจางเปียวก็อยากเคลื่อนไหวเช่นกัน แต่เสี่ยปาหันมาส่งสายตาให้ครั้งหนึ่ง สองคนจึงหยุดทันที
เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้ทั้งหมดแทบจะอยู่ในสายตาของซ่งจื่อเซวียนตลอด เขายกนิ้วโป้งให้ซางเทียนซั่ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือลูกศิษย์ อีกฝ่ายก็อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอย่างสมบูรณ์ แต่สำหรับเฉิงปา…ซ่งจื่อเซวียนมีความรู้สึกเย็นชาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะพึ่งพาคนอื่นไม่ได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนถึงจะดีที่สุด!
ซางเทียนซั่วจ้องเขม็งใส่ชายผมเกรียนด้วยสายตาเยือกเย็น “เอามือสกปรกของแกออกไป อย่ามาแตะต้องเสื้อผ้าของข้า!”
เหมือนว่าชายผมเกรียนคนนั้นจะไม่ได้ฟัง ดวงตาทั้งสองจับจ้องซางเทียนซั่วอย่างเย็นชา จนกระทั่งเคอหงเทาโบกมือให้เขาจึงปล่อยมือ
“ไอ้หนู ฉันกับซ่งจื่อเซวียนกำลังคุยกันอยู่ ไม่ใช่เรื่องของแก!” เคอหงเทามองไปที่ซางเทียนซั่วแล้วพูด
ซางเทียนซั่วถอยไปครึ่งก้าวทันทีและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “วันนี้ใครกล้าแตะต้องอาจารย์ของข้าแม้แต่ปลายเล็บ ข้าก็จะซัดให้ถึงจะต้องพังหอหงเยวี่ยก็ตาม!”
ทันทีที่คำพูดก้าวร้าวนี้โพล่งออกมา เคอหงเทาและเฉิงปาก็ล้วนหวั่นใจไปตามกัน
ต้องบอกว่าคำพูดของซางเทียนซั่วมีพลังที่ทำให้คนอื่นรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ หากเปิดตามองดูให้กว้างสักนิดที่เมืองตู้เหมินไม่มีใครกล้าพูดเช่นนั้น อย่างไรทุกคนก็รู้ว่าหอหงเยวี่ยเป็นสถานที่แบบใด
‘ไม่รู้ว่าไอ้เด็กคนนี้มีภูมิหลังแบบไหน หรือเป็นแค่คนโง่ที่พูดซี้ซั้ว…’
เมื่อเห็นแบบนี้ เสี่ยเฉิงปาก็ลุกขึ้นยืน “เหอะๆ ทำไมเสี่ยซานถึงโกรธนักล่ะ ธุรกิจก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าเราเข้ากันได้ก็ร่วมมือกัน แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็ช่างเถอะ ยังไงซะเรายังต้องการความสามัคคีกันในวงการนี้ คุณว่างั้นไหม”
เคอหงเทาเหลือบมองเฉิงปาแวบหนึ่ง “เสี่ยปาคุณพูดถูก แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้…ผมเคอซานจะพ่ายแพ้แล้ว คุณยังจำเรื่องทำเลครั้งที่แล้วได้ใช่ไหม”
เสี่ยเฉิงปาเข้าใจความหมายของเขาในทันที เคอหงเทาคงคิดว่าเสี่ยเฉิงปาต้องการแก้แค้น จึงติดต่อซ่งจื่อเซวียนเป็นการส่วนตัวและแย่งผลประโยชน์ไปจากเคอหงเทา
แต่เมื่อถึงตอนนี้แล้ว เสี่ยเฉิงปาไม่สนใจว่าเคอหงเทาจะคิดอย่างไรอีกต่อไป เมื่อได้ข้าวผัดจักรพรรดิมา ตัวเขาก็จะพลิกสถานการณ์ได้ จนอาจกระทั่งได้โบกธงในวงการอาหารเมืองตู้เหมิน ในเวลานั้นเขาจะยังสนใจความคิดของเคอหงเทาทำไมอีกล่ะ
“เสี่ยซาน ลืมเรื่องในอดีตไปเถอะ ที่ซ่งจื่อเซวียนตามผมมาในวันนี้ ต้องมอบเกียรตินี้…ให้คุณ!”
“ฮ่าๆๆ เกียรติดีๆ ก็ต้องมอบให้” เคอหงเทาเงยหน้าขึ้นและหัวเราะลั่น จากนั้นจ้องมองเสี่ยเฉิงปา “ถ้างั้นเกียรติของเคอซานล่ะ เสี่ยปาตอนนี้ผมรู้สึกเสียหน้ามากนะ คุณว่าควรทำยังไง”
ได้ยินเคอหงเทาพูดเช่นนี้ เสี่ยเฉิงปาก็รู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาและครุ่นคิดในใจ ‘เคอซานหนอเคอซาน แกแม่งก็มีวันนี้ด้วย หึ สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ อีกสามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ[1] เรื่องดีๆ คราวนี้ก็ควรตกมาอยู่ที่ฉันเฉิงปา!’
“ไอ้หยาเสี่ยซาน คุณจะเสียเกียรติได้ยังไง” ขณะที่พูดเสี่ยเฉิงปาก็หยิบถ้วยชาขึ้นมา “ผมจะดื่มแสดงความเคารพคุณแทนพี่น้องของผมสักถ้วย ถือเป็นคำขอโทษก็แล้วกัน วันนี้เฉิงปาก้มหัวให้คงจะให้เกียรติคุณแล้วสินะ”
หลังจากกล่าว เสี่ยเฉิงปาก็ดื่มหมดในอึกเดียวแล้วถามว่า “เสี่ยซาน เรื่องนี้โอเคหรือยัง”
‘ทำเคอหงเทาโกรธขนาดนี้แทนพี่น้องนายงั้นเหรอ ทำไมซ่งจื่อเซวียนคนนี้ถึงกลายไปเป็นพี่น้องนายได้ หึ นี่เป็นการโอ้อวดให้ฉันเห็นชัดๆ!’
เคอหงเทายักไหล่พร้อมเหยียดยิ้มหนึ่งครั้ง กลับมานั่งที่เก้าอี้ ถูวนศีรษะฝากาน้ำชาของตัวเองแล้วพูดว่า “เฉิงปา เกียรติในวันนี้…ถ้าเสี่ยซานไม่อยากให้คุณ คุณจะว่ายังไง”
จากนั้นบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียด บรรดาลูกน้องหลายคนมองหน้ากันและดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าเรื่องราวกำลังจะร้ายแรงยิ่งขึ้น
เมื่อก่อนไม่ว่าเคอหงเทาและซ่งจื่อเซวียนจะปะทะกันอย่างไร เสี่ยเฉิงปาก็สามารถไกล่เกลี่ยให้ลงเอยกันด้วยดี แต่ตอนนี้เขาชี้หัวหอก[2]มาที่เสี่ยเฉิงปาโดยตรง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะแก้ไขมันอย่างสันติ
สายตาของเสี่ยเฉิงปาเริ่มเย็นยะเยือก “เคอซาน นี่คุณหมายความว่ายังไง”
“ยังไม่เข้าใจความหมายอีกเหรอ เฉิงปาสองปีมานี้แกโง่ไปแล้วหรือไง กูไม่คิดที่จะให้เกียรติมึง เรื่องนี้ไม่มีทางปล่อยไปแน่!”
ทันใดนั้น เสี่ยเฉิงปาเบิกตาโพลงคว้าถ้วยชาโยนลงบนพื้น เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า “แม่งเอ๊ย นี่มึงจะยอมเสียเกียรติเหรอวะ?”
เมื่อเห็นดังนั้น เคอหงเทาก็ยืนขึ้นบ้าง “งั้นมาดูกันว่าเกียรตินี้เป็นใครกันแน่ที่ยอมเสีย เฉิงปา แกเข้าใจความหนักหนานี้ดี กลับบ้านไปคิดไตร่ตรองดูซะ ถ้าจะเล่นกับเสี่ยซาน เสี่ยซานก็จะเล่นถึงตาย!”
คำพูดนี้ไม่โกหกเลย หากบอกว่าแต่เดิมทั้งสองมีอำนาจเท่าเทียมกัน เช่นนั้นการเติบโตของเคอหงเทาในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็แซงหน้าเสี่ยเฉิงปาอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นเหรอ เคอซาน แค่เพราะแกเป็นเจ้าของร้านอาหารใหญ่ๆ ก็เจ๋งแล้วเหรอ วันนี้เสี่ยปาจะสอนวิธีประพฤติตัวให้!”
เมื่อพูดเช่นนั้นเสี่ยเฉิงปาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า เมื่อเทียบกันแล้ว เขาสูงกว่าเคอหงเทาครึ่งหัว แต่ในขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า ลูกน้องที่อยู่เบื้องหลังเคอหงเทาทั้งหมดก็ยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขา แน่นอนว่าคราวนี้จางเปียวและเหลยจื่อก็เดินไปเช่นกัน
ในเวลานี้กลายเป็นซ่งจื่อเซวียนกำลังนั่งอยู่บนภูเขาดูเสือต่อสู้กัน[3] เขามองดูคนทั้งสองอย่างใจเย็น ไม่ว่าจะด้านอุปนิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างล้วนถูกคิดคำนวณอยู่ในสมองของเขา
ตอนนี้เองประตูห้องส่วนตัวก็ถูกผลักออกและหลี่ม่านหงก็เดินเข้ามา เห็นฉากนี้เข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ไม่เปลี่ยนไป เห็นได้ว่าผู้หญิงคนนี้เคยประสบพบเจอคลื่นใหญ่ลมแรง[4]มานักต่อนัก เหตุการณ์ดังกล่าวสำหรับเธอเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“เหอะๆ เสี่ยซาน เสี่ยปา นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงโมโหกันในหอหงเยวี่ยของฉันได้ล่ะ มีอะไรที่ฉันหลี่ม่านหงยังทำได้ไม่ดีพอหรือเปล่าคะ”
หลังจากที่หลี่ม่านหงพูดจบ หลายคนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เคอหงเทายกมุมปากยิ้มพลางพูด “การต้อนรับของเจ๊หงยอดเยี่ยม เพียงแต่…การรวมตัวกันวันนี้ค่อนข้างจะเกินเลยไปหน่อย!”
“เหอะๆ พอแกพูดแบบนั้น…ฉันก็คิดเหมือนกัน ฉันคิดว่าวันนี้ฉันให้เกียรติแกมากไป!” เสี่ยเฉิงปาพูดอย่างเย็นชา
“เอาล่ะๆ เสี่ยทั้งสอง พวกคุณโมโหกันเกินไปแล้ว” หลี่ม่านหงมองดูทั้งสองคน “มีแขกคนสำคัญกำลังพูดคุยธุระกันอยู่ห้องข้างๆ พวกคุณให้เกียรติเจ๊หงแล้วกลับไปก่อนเถอะค่ะ!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็จ้องมองไปที่หลี่ม่านหงอย่างละเอียด เกียรติของเจ๊หงคนนี้สุดท้ายแล้วมีมากเท่าไรกันแน่ น้ำเสียงที่เธอพูดกับเฉิงปาและเคอซานไม่ใช่การเจรจาแต่อย่างใด แต่เป็นการออกคำสั่งชัดๆ!
………………………………………..
[1] สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ อีกสามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ (三十年河东三十年河西) อุปมาว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน
[2] ชี้หัวหอก (矛头指向) ส่วนมากใช้ในรูปอุปมา หมายถึงการกำหนดเป้าหมายสำหรับการโจมตีหรือการวิจารณ์
[3] นั่งอยู่บนภูเขาดูเสือต่อสู้กัน (坐山观虎斗) เปรียบเปรยถึงการรอคอยโอกาสเพื่อฉกชิงผลประโยชน์เมื่อคนอื่นพลาดพลั้ง
[4] คลื่นใหญ่ลมแรง (大风大浪) เปรียบเปรยถึงอุปสรรคมากมาย