เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 61 ดื่มชานี้ไม่ลง
ตอนที่ 61 ดื่มชานี้ไม่ลง
เสี่ยเฉิงปาตบไหล่ซ่งจื่อเซวียนแล้วพูด “จื่อเซวียน ธุระวันนี้เสร็จแล้ว แกคือคนของเฉิงปา ไม่มีใครในเมืองตู้
เหมินจะข่มเหงรังแกแกได้อีกต่อไป แต่…ฉันหวังว่าแกจะเข้าใจ เรายังมีธุระที่ต้องทำอีก”
ซ่งจื่อเซวียนย่อมเข้าใจความหมายที่ออกมาจากปากเสี่ยปา เป็นการเตือนเขาครั้งสุดท้ายว่าห้ามสร้างเรื่องแล้วไม่ยอมรับเด็ดขาด
“ฮ่าๆ เสี่ยปาวางใจได้ ร้านของคุณเริ่มเปิดเมื่อไร ตัวผมก็ไปเมื่อนั้น ต่อให้จะเป็นร้านอาหารหมา แต่ผมก็รับประกันว่าขายข้าวผัดจักรพรรดิได้แน่!”
“โอเค เยี่ยมมากน้องชาย แกทำให้พี่ชายคนนี้รู้สึกเสียดายที่รู้จักกันช้าไป แต่จะเป็นร้านอาหารหมาไม่ได้ ฉันมีร้านอาหารอย่างน้อยสี่ห้าร้านภายใต้การดูแลของเฉิงปา นี่คือสถานที่ที่จะทำข้าวผัดจักรพรรดิ ฉันพูดคำไหนคำนั้น ต้องมีร้านที่ได้มาตรฐาน วางใจเถอะ ฉันรับประกันว่าแกจะได้ทำงานภายในสามวัน!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“คืนนี้เปียวจื่อกับเหลยจื่อมากับฉัน ต้าเลี่ยงพวกแกไปเก็บเงินร้านค้า จดบัญชีให้ดีขาดแม้แต่สตางค์เดียวฉันจะสับแกซะ!” เสี่ยเฉิงปาสั่งกำชับ
“รับทราบครับ เสี่ยปาอย่ากังวลเลย ผมจะส่งเงินกับบัญชีไปให้เสี่ยที่บ้านคืนนี้”
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้าเล็กน้อย “ไป ไปที่หอหงเยวี่ย!”
จากนั้น หลายคนก็เดินออกจากร้านคาราโอเกะหงหลิน ก่อนที่พวกเขาจะจากไปซ่งจื่อเซวียนยังรู้สึกว่าเขาถูกผู้หญิงวัยกลางคนบางคนจ้องมองจนทำให้เขาอึดอัดอยู่บ้าง
ซางเทียนซั่วพูดว่า “บัดซบ สาวแก่พวกนี้พอเห็นพวกเราที่อายุเท่านี้ก็บ้ากามกันใหญ่เลยสินะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางเปียวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่าๆ น้องชายอย่าพูดไปเลย ปกติแล้วสาวแก่พวกนี้มักจะบริการคนที่อายุมากๆ จู่ๆ ได้เห็นเนื้อสดใหม่อย่างพวกนาย คงจะอยากนอนด้วยแม้จะต้องจ่ายเงินแทนก็ตาม!”
“แหวะ…เลิกพูดได้แล้ว แค่คิดก็รู้สึกขยะแขยงจะอ้วก เสี่ยปา เสี่ยควรถ่ายเลือด ที่นี่ได้แล้วนะ!”
เสี่ยเฉิงปาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ฮ่าๆ ถ้าจื่อเซวียนกับฉันทำสำเร็จ เสี่ยปาจะสร้างห้องคาราโอเกะขนาดใหญ่และมีสาวน้อยอายุยี่สิบสามสิบจำนวนหนึ่งให้พวกนายได้สำราญกันให้เต็มที่เลย!”
ซางเทียนซั่วไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป ในใจครุ่นคิดว่า ‘นายก็มีรสนิยมแบบนี้เหมือนกันนี่ อายุยี่สิบสามสิบ…ถ้าเป็นอายุสามสิบขึ้นไปทั้งหมด ข้าจะไปสนใจได้ยังไง คนแก่อย่างพวกนายต่างหากที่เสพสุขกับสาวแก่ก็พอแล้ว’
แต่ถึงอย่างนั้น ซ่งจื่อเซวียนกลับสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเสี่ยเฉิงปาได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่พบกันจนถึงพูดคุยในครั้งแรก จวบจนการพบกันที่ต้าสือไต้ในวันนี้ ทัศนคติของเสี่ยเฉิงปาที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ตอบรับการเจรจาระหว่างตนกับเสี่ยเคอซาน อีกทั้งยังเรียกตนว่าจื่อเซวียนไม่ก็น้องชายอีกด้วย…
เขาเข้าใจดีว่าเหตุผลทั้งหมดนี้ล้วนมาจากผลประโยชน์ และยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งต้องใช้ผลประโยชน์ชักจูงเสี่ยเฉิงปา แต่เมื่อใดที่เสียสมดุล…เกรงว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกกระทำแทน
ท้ายที่สุดหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเสี่ยเฉิงปาก็จะอยู่เคียงข้างเขา แต่เมื่อผลประโยชน์ไม่สมดุลกันแล้ว เกรงว่าคนแรกที่จะโกรธจัดก็คือเขา!
หลังออกจากร้านพวกเขาก็ก้าวเท้าขึ้นรถบิวอิคก์ของเฉิงปา ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่ารถจะหยุดลง เนื่องจากสภาพการจราจรแออัดของช่วงชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเย็น
เมื่อลงรถซ่งจื่อเซวียนพบว่ามีอาคารสไตล์ยุโรปอยู่โดยรอบ เนื่องจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์ของเมืองตู้เหมิน สมัยยุคใกล้ เคยเป็นเขตเช่าของหลายๆ ประเทศ ดังนั้นจึงมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมต่างประเทศมากมาย และยังหลงเหลือสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตกไว้จำนวนมาก บริเวณนี้จึงเป็นพื้นที่รวบรวมสไตล์ยุโรปที่ละลานตาเป็นอย่างมาก
ถัดมาจากสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปยังมีสถาปัตยกรรมจีนตั้งโดดเด่นเป็นสง่า
โครงสร้างอาคารเป็นหอสูงสามชั้น สร้างด้วยอิฐและกระเบื้องสีเขียวตุ่น หลังคาเป็นรูปตัวอักษร 人 ขอบเป็นหินแกะสลักรูปสัตว์ ประตูและหน้าต่างเป็นสีแดงอมเขียว ยังคงสีโบราณดั้งเดิมเอาไว้ ใต้ชายคามีไฟส่องแสงสลัว แต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของคนทั่วไป
แผ่นป้ายสีดำยาวสองเมตรแขวนอยู่บนอิฐสีเขียวตุ่นระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง บนป้ายมีตัวอักษรใหญ่สีทองสามตัวเรียงกันเป็นแถวว่า หอหงเยวี่ย!
น่าเกรงขาม! ปฏิกิริยาแรกของซ่งจื่อเซวียนเป็นเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าสามคำนี้ใครเป็นคนคิดขึ้นมา เป็นเพียงแค่สามคำเท่านั้นแต่กลับแฝงไปด้วยอิทธิพลยิ่งใหญ่มหาศาล!
ด้านหน้าหอหงเยวี่ยทางซ้ายขวาทั้งสองด้านมีโคมไฟหินตั้งอยู่ ซึ่งให้แสงสว่างเพียงพอกับบริเวณหน้าประตู ส่วนแผ่นป้ายไม่ใช่ป้ายกล่องไฟตามยุคสมัยแต่ยังคงเสน่ห์ดั้งเดิมเอาไว้
เหลยจื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วกดกริ่งประตู ครู่หนึ่งประตูก็แง้มออกเพียงเล็กน้อย ด้านในเป็นผู้ชายสวมชุดสูทคอจีน ท่าทางเหมือนอายุสามสิบกว่าปี ดูน่ายำเกรง
เสี่ยเฉิงปาก้าวเท้าออกมาแล้วกล่าว “ใช่ ฉันนัดกับเจ๊หงไว้แล้ว”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเสี่ยปานั่นเอง เชิญเลยครับ” เมื่อเห็นเฉิงปาชายคนนั้นก็จำได้ทันที จึงเปิดประตูและเชิญคนที่เหลือเข้ามา
เมื่อเข้าไปในหอหงเยวี่ย ซ่งจื่อเซวียนก็ดวงตาเป็นประกายวาววับ แม้ว่าหอหงเยวี่ยจะเป็นเพียงหอสูง ไม่มีลานบ้าน แต่กลับตกแต่งเป็นลานบ้านภายในตัวตึก
เส้นทางหลักปูด้วยหินกรวด ไม่ทำให้บาดเท้าขณะก้าวเดิน สองข้างทางเต็มไปด้วยใบหญ้าเขียวชอุ่มและดอกไม้นานาชนิด สะพานหินและสายน้ำไหลเห็นได้ชัดว่าตั้งใจสร้างขึ้นอย่างประณีต เหนือน้ำมีควันสีขาวจางๆ ลอยออกมาจากหินโม่แป้ง ที่ค่อยๆ หมุนช้าๆ อย่างอ้อยอิ่งและนุ่มนวล
เสียงดนตรีกู่เจิงละมุนละไมบรรเลงอย่างเชื่องช้าจากลำโพงที่ไหนสักแห่ง ประกอบกับสภาพแวดล้อมเขียวขจีอันเงียบสงบ ทำให้จิตใจผ่อนคลายสบายอารมณ์
ปลายบันไดไม้ชั้นหนึ่งดูเก่าแก่อย่างมาก แต่เมื่อเริ่มเดินย่างก้าวก็แข็งแรงไม่สั่นไหวเลยสักนิด ซ่งจื่อเซวียน
ครุ่นคิด ไม้นี้หรือว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็คือของเลียนแบบ มองดูแล้วต้องไม่ใช่ไม้พะยูงเนื้อดี มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นงานเลียนแบบโบราณ
การตกแต่งบนชั้นสองนั้นแสนเรียบง่าย เป็นผนังสีขาวขอบเทา นอกจากต้นไม้เขียวสองสามกระถางที่ทางเดินและชื่อห้องส่วนตัวบนประตูก็ไม่มีการตกแต่งใดๆ เลย มันช่างเรียบง่ายและงดงาม
ชายในชุดสูทนำทั้งห้าคนเข้าไปในห้องส่วนตัวที่มีขนาดประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร ห่างจากประตูไปสองเมตรมีฉากกั้นไม้พะยูงขนาดใหญ่ ฉากกั้นนั้นฝังด้วยหยกสีขาว ตัวหินหยกได้สลักนูนอย่างประณีตและดูมีชีวิตชีวา
มองแวบเดียวซ่งจื่อเซวียนก็รู้ได้ทันทีว่าฉากกั้นนี้ทำจากไม้จันทน์แดงเนื้อดี ฉากกั้นนี้เพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะมีมูลค่าสูงลิ่วแล้ว
ด้านหลังฉากมีเก้าอี้ไม้พะยูงและโต๊ะน้ำชา แม้ว่าจะเทียบกับฉากกั้นไม่ติดแต่ก็ทำจากเนื้อไม้พะยูงแดง ทั้งยังเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่จึงย่อมมีมูลค่าหลายหมื่นหยวน
บนโต๊ะมีชาที่ต้มไว้แล้วแต่ยังมีไอความร้อนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเจ้าบ้านคำนวณเวลาที่เสี่ยปาจะมาถึงอย่างดี น้ำใจนี้คงต้องระมัดระวังไว้สักหน่อย
“เชิญเสี่ยปานั่งดื่มชาก่อน รอเจ๊หงมาที่นี่สักครู่ครับ”
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า “รบกวนนายแล้ว”
จากนั้นชายคนนั้นก็เดินออกไป
เหลยจื่อหันไปหันมามองดูสภาพโดยรอบที่นี่แล้วพูดว่า “เสี่ยปา ที่นี่น่าประทับใจจริงๆ พอเทียบกันแล้ว โรงแรมกับภัตตาคารขนาดใหญ่พวกนั้นดูธรรมดาไปเลย”
“ดี ไอ้หนูอย่างแกพัฒนาขึ้นอีกก้าวแล้ว บางครั้งความสง่างามก็มีพลังมากกว่าความหรูหรานะ พวกแกต้องเรียนรู้กันไว้ให้มากๆ” เสี่ยเฉิงปากล่าวพร้อมเขย่าแขนเสื้อเผยให้เห็นสร้อยข้อมือทองซึ่งหนาเพียงนิ้วเดียว “เฮ้อ ยังงดงามดีจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนมองดูรอบๆ พลางครุ่นคิด มิน่าหอหงเยวี่ยถึงมีตำแหน่งเช่นนี้ในเมืองตู้เหมิน แม้จะเป็นตึกเล็กๆ แต่เกรงว่าจะมีแห่งเดียวในเมืองตู้เหมิน ประกอบกับการจัดวางอย่างพิถีพิถันและเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ดูแล้วเรียบง่ายแต่มีราคาแพง
เกือบห้านาทีถัดมาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งผลักประตูเดินเข้ามา
หญิงสาวผมสั้นเดินมุ่งไปหลังห้องอย่างเรียบร้อย เธอสวมชุดกี่เพ้าสีขาว แขนที่เปลือยเปล่าเหมือนรากบัวสีขาวนวล ชุดกี่เพ้าปักชุนด้วยดอกไม้สีฟ้าและใบไม้กว้างประดับประดา เธอดูสง่างามมากอีกทั้งยังดึงรูปร่างที่สมบูรณ์แบบออกมาอีกด้วย
แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะสวยมาก แต่เพราะผมสั้นและรอยยิ้มดึงดูดใจของเธอทำให้เธอดูสง่ามากกว่าอ่อนโยนอย่างชัดเจน
“เสี่ยปาคงมารอนานแล้วใช่ไหมคะ” ริมฝีปากสีแดงของหญิงสาวเปล่งประกายเมื่อยิ้ม ความสวยที่ธรรมดาของเธอก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลละมุนละไมทันที
เสี่ยปาลุกขึ้นพูดว่า “เหอะๆ เจ๊หง พวกเราไม่ได้รอนานเลย”
เมื่อเห็นเสี่ยปายืนขึ้น ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นทันที นี่เป็นมารยาทพื้นฐาน เพียงแต่ซ่งจื่อเซวียนคิดไม่ถึงว่าเธอคือเจ๊หง ซางเทียนซั่วบอกว่าหลี่ม่านหงอายุสี่สิบกว่าปี แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนอายุเพียงสามสิบปีและท่าทางเพิ่งจะสามสิบด้วยซ้ำ
แต่เมื่อมองดูรัศมีที่โดดเด่นของเธอ ซ่งจื่อเซวียนยังคงเชื่อว่าเธอคือเถ้าแก่ของที่นี่ ‘เจ๊หง’
“เสี่ยปา เชิญคุณลองชิมชาขาวตัวใหม่ของฉันในปีนี้ หากไม่ถูกปากฉันจะเปลี่ยนให้คุณค่ะ”
เสี่ยเฉิงปาหัวเราะ “ฮ่าๆๆ เจ๊หงเกรงใจเกินไปแล้ว ทันทีที่เข้ามาในห้องฉันก็ได้กลิ่นหอมของชา ชาขาวนี่ดีนะ”
เมื่อพูดอย่างนั้นเสี่ยเฉิงปาก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกงุนงง แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ชิมแต่เขารู้จากกลิ่นว่าเป็นชาเขียวเหมาเจียน ทำไมเจ๊หงถึงบอกว่ามันเป็นชาขาวล่ะ
เป็นเพราะเธอไม่เข้าใจชา…หรือว่าจงใจกัน ถ้าจงใจ แล้วจะทำเพื่ออะไรล่ะ…
เมื่อเห็นเสี่ยปาดื่มชา เจ๊หงก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มพลางพูดว่า “ถ้างั้น เสี่ยปาคะ เสี่ยซานมาถึงแล้ว คุณพักผ่อนก่อนสักครู่ฉันจะไปพาพวกเขามาที่ห้องส่วนตัว”
“รบกวนเจ๊หงแล้ว”
หลังจากเจ๊หงจากไป จางเปียวพูดว่า “เสี่ยปา…ผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็คือเจ๊หงอย่างนั้นเหรอ ให้ตายเถอะ แหล่มสุดๆ ไปเลยเนอะ”
“ใช่ๆ เสี่ยปา ให้ผมพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดหน่อย เมื่อกี้ที่ผู้หญิงคนนี้นั่งข้างเสี่ย ผมมีก็มีปฏิกิริยาแล้ว…” เหลยจื่อกล่าวต่อ
เฉิงปาเหลือบมองไปพวกเขา “พูดกับพวกแกตามตรง ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา ใครก็ตามที่อยู่ในหอหงเยวี่ยนี้ล้วนเป็นคนสำคัญๆ ทั้งนั้น แต่…จะว่าไปแล้วผู้หญิงคนนี้ก็น่าสนใจ หอมว่ะ…”
ขณะที่เขาพูดดวงตาของเสี่ยปาก็เริ่มพร่ามัวเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
ในไม่ช้าประตูก็เปิดอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่เจ๊หงที่มาเท่านั้น เคอหงเทาเดินเคียงข้างเธอทั้งยังพูดคุยและหัวเราะกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะตื้นลึกแค่ไหนสองคนนี้ก็พอมีมิตรภาพกันอยู่บ้าง
หลังจากส่งเคอหงเทาเข้าห้องส่วนตัวแล้ว เจ๊หงก็จากไป
เคอหงเทาประสานหมัดคารวะก่อนแล้วพูดว่า “เสี่ยปา ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ฮ่าๆๆ เสี่ยเคอซานกำลังกังวลเรื่องนี้เอง ชีวิตผมก็โอเคดี แต่…เทียบกับคุณไม่ได้หรอก เสี่ยซาน ดูจากสีหน้าแดงฉ่ำของคุณแล้ว ช่วงนี้ชีวิตคงจะราบรื่นดีนะ!”
“ในจุดนี้ ผมเคอซานแค่หาเลี้ยงชีพเท่านั้น เทียบกับคุณได้ที่ไหนล่ะเสี่ยปา ว่าแต่ผมไม่ได้เจอคุณมาเกือบปีแล้ว ไม่คิดว่าจะนัดเจอผมวันนี้” เคอหงเทาพูดแล้วเดินตรงไปที่เก้าอี้ไม้พะยูง
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา เหลยจื่อและจางเปียวก็รีบลุกขึ้นสละที่นั่งให้ทันที หลังจากเคอหงเทานั่งลง ลูกน้องทั้งหมดที่เขาพามาด้วยก็ยืนอยู่ด้านหลังเขา
ทันทีที่เขานั่งลง เคอหงเทาสังเกตเห็นซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่อีกฝ่ายทันที
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยเฉิงปาถึงนัดหมายตัวเองมา แต่เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
‘หึ ทำไมไม่นัดทานข้าวหรือนัดดื่มเหล้า แต่มานัดดื่มชาที่หอหงเยวี่ยนี้แทน ที่แท้…ก็มาเพื่อออกโรงให้ใครบางคน’
“เสี่ยซาน สำหรับพวกเราการออกไปข้างนอกตามปกติไม่ใช่เรื่องง่าย ควรจะได้สนุกเพลิดเพลินกันหน่อย นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเชิญคุณมาที่หอหงเยวี่ยเพื่อดื่มชาขาวใหม่ของเจ๊หง”
เคอหงเทาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ชามีกลิ่นหอมกรุ่นเป็นชาดีจริงๆ แต่… เสี่ยปานัดผมกะทันหันแบบนี้ หากไม่บอกเหตุผลผมก็ดื่มไม่ลงสิ!”
เมื่อกล่าวจบแล้วเคอหงเทาก็ชำเลืองมองไปที่ซ่งจื่อเซวียนและแสดงท่าทียิ้มเยาะ
เสี่ยเฉิงปาก็มองออกเช่นกัน ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องอธิบายจุดประสงค์ในการมาของตนแล้ว เพราะเหมือนในใจของเสี่ยซานนั้นรู้ดี
……………………………………………..