เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 310 อึ้ง!
ตอนที่ 310 อึ้ง!
……….
ในวิลล่า หลังจากที่เลคริเซียสพูดจบ พวกเขากำลังจะออกไปแต่กริ่งประตูก็ดังขึ้น
อีกทั้งเสียงกริ่งประตูดังขึ้นอย่างรีบร้อนและยังกดอย่างต่อเนื่อง
หลายคนมองหน้ากัน ราวกับแปลกใจเล็กน้อย
แทแรนติโนขมวดคิ้ว “พวกมันบุกเข้ามาแล้วเหรอ แม่งเอ๊ย ใจกล้าจริงๆ เฮ้ยพวก เตรียมตัวซัดมัน!”
เลคริเซียสไม่ได้สนใจและส่งสัญญาณทางสายตาให้ฮันเตอร์
ฮันเตอร์หยิบมือถือของเขาออกมาดูกล้องวงจรปิด “คุณเลคริเซียส เป็นโจวเผิงครับ!”
“หืม เขาเหรอ”
“โจวเผิง มันเป็นใคร” แทแรนติโนเอ่ยถาม
“ลูกกระจ๊อกคนหนึ่ง พวกนายไปเตรียมตัวให้พร้อม ฮันเตอร์ไปเปิดประตู”
“ครับ!”
ไม่นานนัก โจวเผิงก็เดินเข้าไปในวิลล่าและคราวนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยดีใจ
เลคริเซียสเอ่ย “โจว มาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ใช่ครับเลคริเซียส ผมได้รับเงินหนึ่งแสนดอลลาร์ที่คุณให้มาแล้ว คราวนี้ผมมาที่นี่เพื่อให้ข่าวคุณฟรีๆ”
“โอ้ เหอะๆ หาได้ยากจริงๆ ผมคิดว่าคุณเป็นคนที่เกิดมาเพื่อเงินเสียอีก” เลคริเซียสกล่าว
“ฮ่าๆ คุณพูดถูกแล้ว เพียงแต่ข่าวนี้ไม่ได้มีค่า แต่คุณจำเป็นต้องรู้เอาไว้”
“หืม? คุณหมายถึงอะไร” เลคริเซียสเอ่ยถาม
โจวเผิงกระตุกยิ้มและนั่งลงบนโซฟาทันที
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน และเลคริเซียสก็ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้เขาถึงได้อวดดีเช่นนี้
“เหอะๆ เป็นข่าวที่ธรรมดามาก นั่นก็คือ…ซ่งจื่อเซวียนอาจจะไม่แข่งกับคุณแล้ว”
“ไม่ใช่ครับ เป็นการคาดคะเน ผมบอกข่าวคุณไปหลายครั้งแล้ว แต่คุณพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไป จนกระทั่งตอนนี้…เหอะๆ วันนี้ผมเห็นซ่งจื่อเซวียนกับหวงฟาอยู่ด้วยกันแล้ว อำนาจของหวงฟาในตู้เหมิน คุณน่าจะเข้าใจใช่ไหมครับ”
หลังจากได้รับเงินหนึ่งแสนดอลลาร์ โจวเผิงก็ไม่ได้ไปทำงานที่ร้านอาหารร่ำรวยอีกเลย
ในตอนนี้ การได้รับเงินเดือนที่นั่นคงไม่ได้สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว
เขาเพียงแค่จับตามองหน้าร้านสวนสวินเฟิงทุกวัน เฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของซ่งจื่อเซวียนและคนอื่นๆ
สิ่งเดียวที่ไม่รู้คือการสนทนาระหว่างซ่งจื่อเซวียนและคนอื่น
แต่เห็นได้ชัดว่าโจวเผิงมั่นใจในความคิดของตัวเอง เขาเชื่อมั่นว่าหากตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนสามารถร่วมมือกับหวงฟาได้ ข้อได้เปรียบของเลคริเซียสก็จะหายไป
“หวงฟา?”
เลคริเซียสตระหนักถึงบางอย่างได้ทันที แทแรนติโนวิเคราะห์ได้ดี ทั้งสองคนที่พวกเขาเจอในวันนี้อาจเป็นผู้ติดตามสองคนที่หยุดพวกเขาไว้ด้านนอกสวนสวินเฟิงในตอนเช้า
“ใช่ครับ เสี่ยหวงเมืองตู้เหมินของเรา ดังนั้นครั้งนี้ผมตั้งใจมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับคุณเลคริเซียส คุณคว้าน้ำเหลวแล้ว!”
ขณะที่พูดนั้นโจวเผิงก็โกรธจริงๆ ในมุมมองของเขา สมองของเลคริเซียสมีแต่ขี้เลื่อยถึงได้สูญเสียข้อมูลดีๆ ของเขาไป
แต่เลคริเซียสกลับมีสีหน้าเย็นชา “โจว คุณยั่วโมโหผมเหรอ”
“เหอะๆ คุณอยากต่อยผมใช่ไหมล่ะ มาเลย ผมไม่สน แต่เลคริเซียส ผมไม่เข้าใจว่าทำไมครั้งก่อนหน้านี้คุณถึงไม่จัดการซ่งจื่อเซวียน”
“นั่นมันเรื่องของฉัน!”
ขณะที่พูด เลคริเซียสก็เหวี่ยงหมัดออกไปโดยที่โจวเผิงไม่ได้ตั้งตัว เขาถูกเหวี่ยงจากด้านหน้าไปที่ด้านหลังของโซฟา
ต้องอดทนกับความเจ็บปวดจึงจะลุกขึ้นมาได้ การระบายของอีกฝ่ายราวกับเป็นสัตว์ป่า
เขาเช็ดมุมปากและพยักหน้า “ดีจริงๆ โยนข้อมูลดีๆ ของฉันลงทะเล เลคริเซียส ฉันไม่น่าร่วมมือกับคนโง่แบบนายเลย!”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังจะออกไป แต่ฮันเตอร์ก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาทันที
“คุณโจว เกรงว่านายจะออกไปไม่ได้นะ”
“หืม? อยากฆ่าฉันเหรอ พวกนายรู้ไว้ด้วยนะว่าที่นี่คือประเทศจีน!”
ฮันเตอร์เหลือบมองเลคริเซียสทันที เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจกฎหมายที่เด็ดขาดของจีนและการจับกุมที่เข้มงวด เกรงว่าจะไม่อนุญาตให้พวกเขาก่ออาชญากรรมที่นี่
แต่เลคริเซียสไม่ได้สนใจมากนัก เขาก้าวไปข้างหน้าและถีบหน้าอกโจวเผิงอีกครั้ง
โจวเผิงกระเด็นออกไปชนผนัง
เลคริเซียสไม่คิดที่จะหยุดและส่งหมัดหนักตรึงโจวเผิงไว้กับผนัง
โจวเผิงกระอักเลือดออกมาเต็มปาก และเผยรอยยิ้มที่เสียสติออกมาทันที
“ต่อยอีกสิ มาสิ ไอ้เศษสวะ ถ้าครั้งนี้ยังจัดการซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ ก็โทษโจวเผิงที่ช่วยผิดคน!”
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
ต่อด้วยหมัดอีกสามครั้ง โจวเผิงไม่ได้พูดอะไร ศีรษะของเขาพับลงมาด้านหนึ่งและหมดสติไป
“ฮันเตอร์ โยนมันลงถังขยะข้างนอก!”
ฮันเตอร์แบกโจวเผิงขึ้นโดยไม่ต้องใช้แรงมากนักแล้วเดินออกไป
แทแรนติโนเดินลงมาจากชั้นสองแล้วยิ้ม “ทำไมนายถึงโกรธคนธรรมดาขนาดนี้ล่ะ เหอะๆ เลคริเซียส ฉันไม่เคยเห็นนายเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”
“นายอยากต่อยกับฉันไหม” เลคริเซียสถาม
ได้ยินเช่นนี้ แทแรนติโนก็ไม่กล้าล้อเล่นอีก
“เอ่อ…ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราไปกันเลยไหม”
เลคริเซียสพยักหน้าแล้วเดินออกไปข้างนอก
…
สองทุ่ม เป็นเวลาที่กิจการของร้านอาหารร่ำรวยคึกคัก แต่เนื่องจากช่วงนี้ไม่จำหน่ายข้าวผัดจักรพรรดิ จึงไม่ได้ถึงขั้นดังเป็นพลุแตกเหมือนเมื่อก่อน
อย่างไรธุรกิจแบบนี้ต้องอาศัยการกระตุ้น หากไม่มีแรงกระตุ้นของเมนูซิกเนเชอร์ก็เป็นเรื่องยากที่จะกลับมาโด่งดังอีกครั้ง
ในห้องโถง หยางกังเห็นลูกค้ากลุ่มสุดท้ายแล้วพูดขึ้น “เฮ้อ กิจการตอนนี้ไม่ค่อยดีเลย ไม่รู้ว่านายท่านรองจะจ่ายเงินเดือนให้หรือเปล่า ผลประกอบการแบบนี้ เลี้ยงคนไว้ก็คงจะสิ้นเปลือง”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เก็บของเตรียมตัวกลับเถอะ ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร อาจจะไม่มีลูกค้ามาแล้ว”
หูเจิ้นกล่าวจากด้านข้าง
สองสามวันนี้แม้ว่าหูเจิ้นจะมาทำงาน แต่เพราะมือของเขายังพันผ้าพันแผลอยู่ ตำแหน่งหัวหน้าเชฟจึงตกเป็นของหลี่เหยียน
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันก็เห็นรถอเนกประสงค์สองคันจอดอยู่หน้าร้าน
นอกจากนี้พวกเขากลับไม่ได้จอดในลานจอดรถ แต่จอดกั้นประตูร้านอาหารร่ำรวยเอาไว้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หยางกังก็เดินออกไป “เฮ้ยๆๆ พวกนายจอดตรงไหนเนี่ย ร้านยังไม่ปิดเลย!”
แต่เมื่อเขาเห็นชาวต่างชาติลงจากรถสองคันทีละคน แถมยังรูปร่างสูงใหญ่ เขาก็รีบก้าวถอยหลังทันที
“ให้ตายเถอะ หมากลับมาอีกแล้ว!”
หยางกังตะโกน
หูเจิ้นเห็นก็รีบพุ่งเข้าไปในครัวเพื่อแจ้งข่าวให้หลี่เหยียนทราบทันที
เพราะคนเหล่านี้มาที่นี่ก็เพื่อตามหาเชฟ ครั้งที่แล้วพวกเขาไม่ได้ประลองฝีมือกับหลี่เหยียน พวกเขาจะต้องมาที่นี่เพราะเรื่องนี้แน่นอน
ทว่าเมื่อพวกเลคริเซียสลงจากรถ ก็เดินพรวดพราดเข้าไปในร้านและตรงไปที่ห้องครัว
เมื่อเข้าไปในครัว เลคริเซียสก็มองตรงไปที่หลี่เหยียนที่กำลังทำความสะอาดเตา
หลี่เหยียนก็หันกลับไปมองเลคริเซียสพอดี
เมื่อทั้งสองสบตากัน ใบหน้าเลคริเซียสก็เผยรอยยิ้มดูถูกออกมา แต่หลี่เหยียนยังคงมีสีหน้าเย็นชา
“อะไรล่ะ มันควรจะมีผลการแข่งขันครั้งที่แล้วหรือเปล่า”
หูเจิ้นกระซิบ “หลี่เหยียน นายอย่าไปยั่วยุสิ ฉันจะรีบโทรหานายท่านรอง”
แต่ดูเหมือนหลี่เหยียนจะไม่สนใจคำพูดของเขา และหันหลังเดินไปหาเลคริเซียส
“หลี่เหยียน…”
“นั่นสิ แข่งต่อเลย” หลี่เหยียนกล่าวอย่างใจเย็น
เลคริเซียสกระตุกยิ้ม “ได้ ข้างนอกใช่ไหม”
“แล้วแต่”
หลังจากนั้นก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายจัดตั้งเตาที่หน้าประตูทางเข้า
แน่นอนว่าพวกเลคริเซียสก็ย้ายรถออกไปเช่นกัน
การเลือกวัตถุดิบพื้นฐานจะเหมือนกับครั้งที่แล้ว แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวคือเลคริเซียสจะเผชิญหน้ากับหลี่เหยียนโดยตรง
เมื่อเลือกวัตถุดิบแล้ว หลี่เหยียนและเลคริเซียสก็แทบจะใช้วิธีเดียวกัน นั่นคือการผัดด้วยไฟแรง
แต่ในขณะนี้ เลคริเซียสคิดไม่ถึงว่าหลี่เหยียนจะเป็นคนเริ่มใช้ไฟก่อน
วินาทีที่เปลวไฟพวยพุ่ง เขายังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมเลย
ไอ้หมอนี่คิดจะหงายการ์ดยอมแพ้หรือเปล่า
เลคริเซียสเข้าใจความหมายของหลี่เหยียนทันที อีกฝ่ายหยุดทำอาหารและสู้กับเลคริเซียสด้วยการควบคุมไฟ ไม่สำคัญว่าสุดท้ายจะแพ้หรือไม่ เพราะสิ่งที่ต้องทำคือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำร้ายเลคริเซียสให้ได้
เมื่อถึงตอนนั้น การแพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญเลย
เลคริเซียสไม่คาดคิดมาก่อนว่าเชฟชาวจีนที่เขามองว่าอ่อนแอจะมีนิสัยเช่นนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเปลวไฟที่พุ่งเข้ามานั้นมีพลังมากเกินกว่าที่เขาจินตนาการโดยสิ้นเชิง
เลคริเซียสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องป้องกัน เขายกฝาหม้อขึ้นและพยายามปิดกั้นเปลวไฟ แต่เมื่อพิจารณาถึงความแรงของเปลวไฟแล้ว เขาก็ยกตะหลิวขึ้นมาดันฝาหม้อ
พรึ่บ!
เปลวไฟถูกปัดออกไปด้วยฝาหม้อ แต่แรงที่มากนั้นยังทำให้ร่างของเลคริเซียสสั่นไปมาเล็กน้อย
การลงมือก่อนได้เปรียบคือสิ่งที่เลคริเซียสไม่เคยนึกถึงมาก่อน
“ดี!”
หูเจิ้นตะโกนออกมาทันที
ต่อจากนั้นหยางกังและคนอื่นๆ ก็ส่งเสียงเชียร์เช่นกัน
แรงกระตุ้นก็สำคัญมากในเวลานี้ สิ่งที่พวกเขาทำได้คือส่งกำลังใจให้คนของตัวเอง
ด้วยนิสัยของหลี่เหยียนแล้วไม่ได้สนใจการเชียร์แบบนี้ แต่เลคริเซียสได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนจึงหงุดหงิดทันที
เมื่อเขาต้องการสู้กลับ เปลวไฟอีกดวงก็พุ่งเข้ามาทางหลี่เหยียน
พรึ่บ!
ขณะที่เขาป้องกันอีกครั้ง เลคริเซียสก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แขนเล็กน้อย
“นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้ เขาเป็นแค่ลูกน้องของซ่งจื่อเซวียนเองนะ…”
แต่ในขณะนั้นก็มีเปลวไฟอีกดวงหนึ่งพุ่งเข้ามา
และเมื่อมองดูก็เห็นว่าเปลวไฟนี้ลุกโชนกว่าเดิม
เลคริเซียสตกตะลึงในฉับพลัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไอ้เด็กนี่กินยาวิเศษอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
แม้ว่าเลคริเซียสจะสั่นไหวตอนที่โดนโจมตีด้วยเปลวไฟครั้งแรก ความกดดันก็ไม่ได้มีมากนัก แต่ครั้งที่สองและสาม เขารู้สึกถึงแรงกดดันได้อย่างชัดเจน
มองดูวัตถุดิบในกระทะของเลคริเซียส หลี่เหยียนก็พูดว่า “อาหารของนายเละนะ นายแพ้แล้ว!”
“นาย…ฮึ่ม เราเริ่มพร้อมกัน อาหารของนายก็เละเหมือนกัน!”
เลคริเซียสกัดฟันกรอด
หลี่เหยียนส่ายหัว “ไม่ ฉันยังไม่ได้ใส่วัตถุดิบลงในกระทะ ฉันแค่ตั้งน้ำมันให้ร้อนเฉยๆ”
ได้ยินประโยคนี้ทุกคนก็อึ้งไป
แท้จริงแล้ว ในกระทะของหลี่เหยียนมีเพียงน้ำมันร้อนๆ เท่านั้น ไม่มีวัตถุดิบใดๆ แม้แต่…ต้นหอมซอยก็ไม่มี
“วัตถุดิบของนายไร้ประโยชน์แล้ว นายจะเอาอะไรมาแข่งกับฉันล่ะ”
“นาย…คนจีนเจ้าเล่ห์ เหอะๆ คิดไม่ถึงว่าซ่งจื่อเซวียนจะมีเชฟแบบนี้เป็นลูกน้อง ดูเหมือนว่าครั้งนี้ฉันจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้เยอะเลย!”
เวลานี้เลคริเซียสกลับหัวเราะ “นายสนใจที่จะเป็นเชฟในร้านอาหารมิชลินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนไหม นั่นถือเป็นเกียรติอย่างสูงเลยนะ”
หากเป็นเชฟคนอื่นคงจะดีใจไปแล้ว นี่เป็นเรื่องของชื่อเสียงและผลประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่หลี่เหยียนเพียงแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามออกมาเท่านั้น
“ไม่สนใจหรอก”
ได้ยินน้ำเสียงที่ขี้เกียจ เลคริเซียสจึงโมโหทันที
“นาย…เหอะๆ โอเค ในเมื่อนายโกง งั้นกล้ารับคำท้าของฉันอีกครั้งหรือเปล่า ฉันคงจะทำให้แขนนายใช้การไม่ได้แน่!”
“ได้สิ แล้วแต่นายเลย!” หลี่เหยียนไม่แม้แต่จะมองเลคริเซียสด้วยซ้ำ
……………………………………