เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 306 สองเทพเจ้าพิทักษ์ประตู
ตอนที่ 306 สองเทพเจ้าพิทักษ์ประตู
……….
อันที่จริง เลคริเซียสไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน
ตามปกติแล้วการนอนตอนกลางวันแสกๆ แสดงให้เห็นถึงความเกียจคร้านอย่างไม่ต้องสงสัย
และความเกียจคร้านเมื่อเผชิญหน้ากับสงครามนี้เกิดจากการมีภาพต้นไผ่อยู่ในใจ[1]อย่างชัดเจน
ยิ่งเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงมากในสถานที่เช่นนี้อย่างซ่งจื่อเซวียน ก็ไม่แปลกที่เลคริเซียสจะคิดเช่นนี้
แต่หลังจากฟังคำพูดของฮันเตอร์ เขาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้บางอย่าง
“นายจะบอกว่า…ซ่งจื่อเซวียนจงใจฝึกทำอาหารตอนกลางคืนแล้วพักผ่อนตอนกลางวันเหรอ นี่นายเอาเรื่องนี้มาทำให้ฉันสับสนเหรอ”
ฮันเตอร์เอ่ย “ผมแค่พูดไปเรื่อย”
เลคริเซียสส่ายหัวช้าๆ “ไม่ สิ่งที่นายพูดอาจจะเป็นไปได้ เอาอย่างนี้ฮันเตอร์ เราจะไปที่นั่นกันพรุ่งนี้ ไม่ว่ายังไง ฉันจะลองทดสอบความแข็งแกร่งของซ่งจื่อเซวียนดู”
จู่ๆ เลคริเซียสก็รู้สึกอยากจะลองดูสักตั้ง
ไม่ว่าโชคชะตาจะเป็นอย่างไร การตั้งสมมติฐานเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกแย่มาก
เขาใช้เวลาทุกวันในการตัดสินความแข็งแกร่งของซ่งจื่อเซวียน และเป็นความรู้สึกที่ทรมานนัก
……
หลังจากนั้นซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เข้าครัวอีก แต่ยังอ่านหนังสือสูตรอาหารในห้องทำงานต่อไป
ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับโต้วหลงเหมินมากขึ้นอีกขั้นเท่านั้น แต่เขายังได้อ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับการควบคุมไฟอีกด้วย
เกรงว่าข้อมูลเหล่านี้ยังต้องมีการฝึกฝนและทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง แต่เพียงแค่อ่านทำความเข้าใจบางส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ค่อนข้างพอใจแล้ว
หกโมงเช้า ซ่งจื่อเซวียนนั่งสมาธิเสร็จแล้วจึงเข้าห้องครัวอีกครั้ง
เขาวางแผนที่จะทำโต้วหลงเหมินหนึ่งที่เพื่อเอาไปให้ชายชรา ฟางจิ่งจือตื่นนอนประมาณหกโมงกว่าๆ ทุกวัน เขาทำเสร็จและพร้อมจะไปส่งแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม
สิบกว่านาทีผ่านไป โต้วหลงเหมินก็เสร็จเรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนรีบให้ฟางรุ่ยขับรถพาเขาไปที่ย่านเมืองเก่าทันที
เมื่อลงจากรถแล้ว เขาก็ตรงไปที่บ้านของฟางจิ่งจือ
ผู้คนที่อยู่ใกล้บ้านซ่งจื่อเซวียนส่วนมากจะเป็นคนว่างงานและคนตกงาน ในเวลานี้จึงแทบไม่มีคนอยู่ในซอยเลย
ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังนอนหลับอยู่ ที่นี่จึงเงียบสงัด
แต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้าบ้านของฟางจิ่งจือและได้ยินเสียงงิ้วปักกิ่งที่คุ้นเคย ซ่งจื่อเซวียนก็คลี่ยิ้มอย่างรู้ใจ
เมื่อเดินเข้ามา ซ่งจื่อเซวียนก็ตะโกนเรียก “ตาเฒ่า ตาเฒ่า มากินข้าวเช้า!”
ในไม่ช้า เสียงของฟางจิ่งจือก็ดังออกมาจากข้างใน
“อาหารดีๆ น่าเสียดายนัก ใส่อยู่ในกล่องพลาสติก ฉันบอกแกไปกี่ครั้งแล้วว่าอาหารดีๆ จะปิดสนิทไม่ให้อากาศเข้าไม่ได้ โดยเฉพาะโต้วหลงเหมินนี่…”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ตกตะลึง ชายชราคนนี้ช่างจมูกดีจริงๆ
แค่ได้กลิ่นผ่านกล่องข้าวและถุงพลาสติกก็บอกได้ว่าคืออาหารเมนูอะไรงั้นเหรอ
แต่เมื่อคิดก็ไม่น่าแปลกใจ เดิมทีโต้วหลงเหมินก็มีกลิ่นหอมอบอวล บวกกับที่ชายชราสามารถได้กลิ่นยี่ห้อและดีกรีของเหล้าจากระยะหลายเมตร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่จะได้กลิ่นโต้วหลงเหมิน
“เอาน่าปู่ ในลานบ้านก็ได้กลิ่นโต้วหลงเหมินเลยเหรอเนี่ย”
ฟางจิ่งจือคลี่ยิ้ม “ไอ้หนู ดีเลย ครั้งนี้กลิ่นอาหารถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่ใส่กล่องมา…”
“โธ่เอ๊ย ปู่ก็กินไปก่อนเถอะ ผมรีบเอาข้าวเช้ามาให้ปู่ก็เลยลืม พรุ่งนี้ผมจะใส่กระติกเก็บความร้อนมาให้!”
ฟางจิ่งจือส่ายหัว “กินไม่ได้ ค่อยว่ากันพรุ่งนี้เถอะ”
“อย่า…อย่าเลยนะตาเฒ่า ลองชิมดูก็ได้ ผมทำให้ปู่ตั้งแต่เช้าตรู่ ยังไงก็ต้องเห็นถึงความพยายามของผมนะ”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็จัดโต๊ะเล็กๆ ให้กับฟางจิ่งจือ จากนั้นวางกล่องข้าวแล้วเปิดฝา
ทันทีที่เปิดฝากล่อง กลิ่นก็ตลบอบอวลไปทั้งห้อง ถ้าไม่ใช่เพราะข้างนอกไม่มีคน เกรงว่าผู้คนที่ผ่านไปมาอาจจะเข้ามาดูว่ามันคืออาหารอร่อยอะไรกันที่หอมเย้ายวนขนาดนี้
“มาๆ ตาเฒ่า นี่ๆ มาลองหน่อยเถอะน่า”
ซ่งจื่อเซวียนยื่นตะเกียบให้ฟางจิ่งจือด้วยมือทั้งสองข้างอีกครั้ง
นอกจากหานหรงแล้ว เกรงว่าจะมีเพียงผู้เฒ่าฟางที่สามารถทำให้เขาทำเช่นนี้ได้
ฟางจิ่งจือเหลือบมองเขาและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ลองชิม…แล้วยังไงล่ะ กล่องพลาสติกทำให้รสชาติเมนูนี้เสียหมดแล้ว ก็เหมือนผู้หญิงที่เคยยุ่งเกี่ยวกับพวกอันธพาล ข้าไม่ต้องการ!”
พรวด!
“ผมว่านะตาเฒ่า ปู่แก่ขนาดนี้แล้ว ปากเนี่ยมีอารยะหน่อยไม่ได้เหรอ มันเทียบกันได้เหรอ”
ฟางจิ่งจือคร้านจะใส่ใจคำพูดของเขาจึงกล่าวว่า “ยังไงฉันก็กลืนไม่ลง”
“งั้น…ผมก็ทำมาเสียเปล่าน่ะสิ ถ้าไม่กินผมจะทิ้งแล้วนะ”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบกล่องขึ้นมา แต่ฟางจิ่งจือกลับเอ่ยขึ้น
“ทิ้งไปก็สิ้นเปลือง น่าเสียดายออก ถ้างั้น…แกรินเหล้าให้ฉันสักแก้ว ให้คล่องคอดีไหม บางทีฉันอาจจะกลืนลงก็ได้”
ซ่งจื่อเซวียนจ้องฟางจิ่งจือเขม็ง ดีเหลือเกิน ตาแก่นี่กำลังรอตนอยู่เหรอ บ่นมานานก็เพื่อที่จะได้ดื่มเหล้า
“พอเลยปู่ ที่แท้ก็แค่อยากดื่มเหล้านี่นา ไม่ได้นะปู่ ดื่มแต่เช้าจะปวดท้องเอาได้”
“เลอะเทอะ แกจะเข้าใจอะไร ฉันอายุเท่าไรแล้ว อายุแค่นี้ฉันยังไม่ตาย ยังคล่องแคล่วดี รินเหล้ามา”
ฟางจิ่งจือพูดพลางแสดงท่าทางพร้อมที่จะดื่มเหล้าทานข้าว
“ไม่ได้ งั้นปู่ก็ไม่ต้องกินแล้ว ผมทิ้งก็ได้ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะทำข้าวผัดให้แล้วกัน ปู่ก็ค่อยๆ กินพร้อมเหล้านะ”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดจบก็ปิดฝากล่องแล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอกทันที
“ไอ้หลานตัวดี!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ชะงักฝีก้าวและเผยรอยยิ้มมีเลศนัย
“เอากลับมาวางเลย ไอ้เด็กนี่ช่วงนี้ใจร้อนเสียจริง พอหาเงินได้หน่อยก็ดื้อกับข้า!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มแย้มและกล่าวว่า “เฮ้ๆ จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อปู่พูดแบบนี้แล้ว มากินตอนที่ยังร้อนอยู่เถอะ”
ฟางจิ่งจือจ้องเขม็งใส่เขา “ไม่ให้ดื่มเหล้าจริงเรอะ”
“ไม่ให้อยู่แล้ว”
ในที่สุดฟางจิ่งจือก็จนใจจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วชิมไปหนึ่งคำ
ทันทีที่เข้าปาก เขาก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ไอ้หนู หม้อนี้ค่อนข้างดีเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง “หืม ปู่ชิมแล้วรู้เหรอว่ามาจากหม้อไหน อย่าล้อกันเล่นสิ จะประหลาดเกินไปแล้วนะ”
ฟางจิ่งจือยิ้ม “เจ้าเด็กโง่ ลิ้นใครจะรู้รสชาติของหม้อได้ แค่รสชาติของปลาตัวนี้สดและนุ่มมาก หม้อเหล็กธรรมดาทำออกมาไม่ได้หรอก หม้อที่สามารถทนความร้อนได้สูง รวมถึงการกระตุ้นด้วยความเย็นและความร้อนจึงส่งผลต่อคุณภาพและรสชาติของเนื้อปลาโดยตรง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “แบบนี้นี่เอง เฮ้อ ปู่คิดว่าดีก็โอเคแล้ว”
“จะไม่เอาข้าวชามพูนๆ มาให้ปู่เหรอ”
“จะพลาดได้ยังไง เดี๋ยวผมไปเอามาให้”
ซ่งจื่อเซวียนนำข้าวมาให้ แต่อันที่จริงเขาได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ชายชรามีความอยากอาหารตามปกติ หลายครั้งที่เขามักจะไม่ทานข้าวจานหลัก ดื่มแต่เหล้าอย่างเดียว
คาดไม่ถึงว่าโต้วหลงเหมินจะทำให้เขาอยากอาหาร จุดนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าตอนที่หลิงเจิ้นได้ลิ้มรสน้ำแกงห้าสายมาก
ฟางจิ่งจือทานข้าวน้อย ดังนั้นเขาจึงทานข้าวไม่ถึงครึ่ง
ข้าวปริมาณนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนชราที่อายุมากกว่าเก้าสิบปี
ในขณะเดียวกัน เขาลองขอเหล้าจากซ่งจื่อเซวียนหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง ฟางจิ่งจือจึงทำได้เพียงส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าและบอกว่าน่าเสียดายอาหารอร่อยขนาดนี้
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและบอกเขาว่าดื่มเหล้าได้แค่วันละมื้อเท่านั้น ถ้าเขาอยากทานอาหารก็จะมีให้ตลอดเวลา
หลังจากนั้นฟางจิ่งจือก็เผยรอยยิ้ม
โดยภาพรวมแล้ว ฟางจิ่งจือประเมินให้โต้วหลงเหมินจานนี้สูงมาก
ตอนที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิ ฟางจิ่งจือไม่ได้ลองลิ้มรส เพียงแค่ดมกลิ่นและบอกว่ารสชาติค่อนข้างดี
ตอนที่เสิร์ฟน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ชายชราก็ชิมไปคำหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ แต่เพื่อทำการยืนยันเท่านั้น
ทว่ากับโต้วหลงเหมิน…
จากคำพูดของฟางจิ่งจือ ปลาได้ปรุงไว้อย่างดี เครื่องปรุงรสที่ใส่ลงไปนั้นดีเช่นกัน วัตถุดิบเสริมก็มีรสชาติเยี่ยม!
การประเมินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนไม่กล้าแม้แต่จะคิด จึงพลันรู้สึกดีที่ได้รับการชื่นชม
หลังจากนั้นฟางจิ่งจือก็ให้ซ่งจื่อเซวียนเทโต้วหลงเหมินที่เหลือลงในชามซุปเพื่อจะได้อุ่นทานเมื่อหิวในช่วงบ่าย
ซ่งจื่อเซวียนทำตามทันทีและกวาดเก็บห้องง่ายๆ อีกครั้ง
“ปู่ วันหลังผมจะหาคนมาดูแลปู่นะ”
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถึงประเด็นนี้หลายครั้ง แต่ฟางจิ่งจือก็ปฏิเสธทุกครั้ง
ฟางจิ่งจือใคร่ครวญแล้วพยักหน้าช้าๆ “ก็ดี”
“หา? วันนี้ตกลงแล้วเหรอ”
“บางครั้งอยู่คนเดียวก็เบื่อน่ะ หาคนที่ฉลาดแบบแกก็ดี”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองเขา “ผู้ชายจะมาทำงานนี้ได้ยังไง อีกอย่างผมก็ไม่ไว้ใจ ถ้ามีเจตนาไม่ดีล่ะ เดี๋ยวผมจะหาเด็กผู้หญิงให้นะ”
ฟางจิ่งจือมองตรงไปข้างหน้าและไม่มีท่าทีอะไร ถือว่ายินยอมแล้ว
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ออกไปและนั่งรถกลับไปที่ร้านสวนสวินเฟิง
เป็นเวลาเก้าโมงพอดี ร้านสวนสวินเฟิงก็เริ่มทำงานเช่นกัน
เดินไปถึงประตูทางเข้าก้เห็นอวี่เหวินเซี่ยวยืนอยู่ข้างนอก ซ่งจื่อเซวียนจึงนึกถึงการนัดเจอกับกู่เสี่ยวเป่าเมื่อวานนี้ได้
เขายิ้มเล็กน้อย “อวี่เหวิน นายมาเร็วจัง”
“นายท่านรอง เมื่อวานเสี่ยวเป่าบอกให้ผมจัดการเรื่องที่บริษัทให้เรียบร้อยก็เลยมาตั้งแต่เช้า หลังจากนี้ต้องทำงานตามเวลาเข้างานของคุณครับ”
“เหอะๆ ไม่ได้เคร่งขนาดนั้นหรอก เข้าไปเถอะ”
จากนั้นทั้งสามคนก็ตรงไปที่ห้องทำงานของซ่งจื่อเซวียน ฟางรุ่ยก็ชงชาให้ซ่งจื่อเซวียนก่อน
ซ่งจื่อเซวียนกล่าว “อวี่เหวิน อันที่จริงนายมาทางนี้ก็ดีนะ ได้คุยกับรุ่ยจื่อมากขึ้นแล้วใช่ไหม ฉันรู้ว่าจริงๆ แล้วความสัมพันธ์ของพวกนายสองคนก็ไม่เลว”
ได้ยินเช่นนี้ อวี่เหวินเซี่ยวและฟางรุ่ยก็มองหน้ากัน ทั้งคู่ซึ่งปกติเป็นคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมก็เผยรอยยิ้มออกมา มีความรู้สึกเหมือนเป็นยอดฝีมือที่เมตตากันและกัน
“ครับนายท่านรอง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เอาล่ะรุ่ยจื่อ อวี่เหวินเพิ่งมาถึง นายสองคนไปกินข้าวเช้าที่ห้องส่วนตัวข้างๆ เถอะ”
“โอเคครับนายท่านรอง ผมขอไปซื้ออาหารเช้าหน่อยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยกมือขึ้น “กินในร้านนี่แหละ วันนี้ยังมีหนึ่งหน้าที่”
“หืม?” ทั้งสองคนมองไปที่ซ่งจื่อเซวียนพร้อมกัน
“รุ่ยจื่อ ตอนที่เลคริเซียสมาเมื่อวาน ฉันให้นายไปต้อนรับเขาเข้ามา แต่วันนี้…ถ้าเขากลับมาอีก นายกับอวี่เหวินต้องห้ามไม่ให้เขาเข้ามาแม้ว่าต้องสู้กัน เข้าใจไหม”
“หา? นายท่านรอง เอ่อ…ทำไมล่ะ เมื่อวานพวกเขามาแล้ว วันนี้จะกลับมาอีกเหรอ” ฟางรุ่ยอดถามไม่ได้
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “ทำตามที่บอก ฉันจะงีบสักเดี๋ยว”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าอวี่เหวินเซี่ยวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นฟางรุ่ยจึงเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ให้เขาฟัง
ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่เข้าใจว่าซ่งจื่อเซวียนต้องการจะทำอะไร
เชฟในครัวทำอาหารบางอย่าง ฟางรุ่ยก็พาอวี่เหวินเซี่ยวไปทานข้าวในห้องส่วนตัวและพูดคุยกัน
ทว่าประมาณสิบโมงครึ่ง ฟางรุ่ยเห็นรถดอดจ์อเนกประสงค์คันนั้นมาถึงหน้าสวนสวินเฟิงอีกครั้ง
“นายท่านรองเราน่าทึ่งมากเลย เดาแม่นอีกแล้ว ทำไมวันนี้ไอ้หมอนี่มาอีกแล้วเนี่ย”
อวี่เหวินเซี่ยวก็มองดู “รถคันนั้นเหรอ เราลงไปกันเถอะ!”
หลังจากพูดเช่นนั้น ทั้งสองคนก็เช็ดปาก เดินลงไปชั้นล่างและเดินออกจากสวนสวินเฟิงทันที จากนั้นก็เฝ้าประตูราวกับเทพเจ้าพิทักษ์ประตู
……………………………………….
[1] มีภาพต้นไผ่อยู่ในใจ เปรียบเปรยถึงการตระเตรียมความพร้อมและสร้างความมั่นใจก่อนที่จะทำสิ่งใดโดยการคิดอ่านอย่างรอบคอบหรือวางแผนมาเป็นอย่างดีก่อนหน้าแล้วจึงจะได้รับความสำเร็จ