เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 298 ข้อมูลใหม่
ตอนที่ 298 ข้อมูลใหม่
……….
แม้ข่งอวี้เซินจะพูดแบบนั้น แต่เหลียงฮั่นก็สัมผัสได้ถึงพลังของผู้มาเยือน
ยิ่งทันทีที่ฟางรุ่ยเริ่มโจมตี เหลียงฮั่นก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
เวลาต่อสู้กับขอทานเหล่านั้น เหลียงฮั่นเหมือนได้เล่นสนุก ไม่ต้องออกแรงมาก แต่เมื่อฟางรุ่ยโจมตี ไม่เพียงแต่จะปัดป้องได้ยาก แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้จงใจเล็งที่จุดตายทั้งสิ้น
ไม่นานนัก ข่งอวี้เซินก็สังเกตเห็นเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ เหลียงฮั่นแทบจะเอาชนะได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้เขาเริ่มถอยหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กระบวนท่าของฟางรุ่ยรวดเร็วมาก เหลียงฮั่นยังไม่ทันได้ตัดสินใจ การโจมตีก็มาถึงตัวแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงการโต้กลับ ลำพังแค่หลบหลีกและป้องกันก็เต็มกลืน
เมื่อเห็นเช่นนั้น อวี่เหวินเซี่ยวก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย การมีคู่หูที่เก่งกาจนั้นต่างออกไป ตอนนี้เขาสามารถละทิ้งความคิดอื่นๆ แล้วหันมาทุ่มเทกับการต่อสู้กับข่งอวี้เซินได้แล้ว
เพียงไม่กี่กระบวนท่า สถานการณ์ก็พลิกผันโดยสิ้นเชิง
ลูกน้องของข่งอวี้เซินคนหนึ่งล้มลงกับพื้น อีกคนถูกขอทานรุมล้อม
ทีแรกเขายังพอต้านทานได้ประมาณสองสามกระบวนท่า แต่ต่อมาทั้งไม้กระบอง ทั้งมีดเหล็กก็โจมตีรัวๆ จนเขาทำได้เพียงกุมศีรษะนั่งยองๆ กับพื้น ปล่อยให้พวกเขารุมกระทืบ
เพียงไม่กี่วินาที ศีรษะของเขาก็แตก ล้มลงไปกองกับพื้นทันที
ตอนนี้อวี่เหวินเซี่ยวต่อสู้กับข่งอวี้เซิน ฟางรุ่ยต่อสู้กับเหลียงฮั่น ทั้งสองฝ่ายต่างสู้แบบตัวต่อตัว และถือไพ่เหนือกว่าทั้งคู่
เหล่าขอทานเองก็ฉลาดหลักแหลม จัดการลูกน้องทั้งสองคนแล้วมัดไว้ ไม่สู้แบบตัวต่อตัวอีก
เพราะสุดท้ายแล้ว ด้วยความสามารถของพวกเขา ถ้าช่วยเหลือไม่สำเร็จแล้วกลายเป็นตัวถ่วงแข้งถ่วงขาก็ยิ่งแย่
ไม่นาน ข่งอวี้เซินก็เริ่มร่วมมือกับเหลียงฮั่น ทั้งคู่ยืนใกล้กันมากขึ้น มิฉะนั้น พวกเขาจะต้านทานการโจมตีของอวี่เหวินเซี่ยวและฟางรุ่ยได้ยาก
แต่ฟางรุ่ยและอวี่เหวินเซี่ยวกลับต่อสู้ด้วยความสนุกสนาน ตั้งแต่ฟางรุ่ยปรากฏตัว การโจมตีของพวกเขาก็ดุเดือด
การต่อสู้ก็เป็นเช่นนี้ หากคุณโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้จะโจมตีเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้ แต่ยิ่งโจมตีก็ยิ่งมีพลังมากขึ้น
ในทางกลับกัน ฝ่ายที่ป้องกัน แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีช่องโหว่ แต่เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่เฉียบคมอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ต้องเหนื่อยล้าไปเอง
เช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างหยางต้าฉุยกับเลคริเซียส ในตอนแรก หยางต้าฉุยสามารถป้องกันได้อย่างสบายๆ แต่หลังจากผ่านไปสองสามกระบวนท่า ความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของทั้งคู่ก็เริ่มเด่นชัดขึ้น
ทั้งสี่คนอยู่ในสถานการณ์นี้ ข่งอวี้เซินและเหลียงฮั่นจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากร่วมมือกันต่อสู้เท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนั้น อวี่เหวินเซี่ยวและฟางรุ่ยก็ยังคงโจมตีอย่างเฉียบคม และได้แต้มต่อเป็นครั้งคราว
ในตอนนี้ ทั้งคู่ต่อสู้อย่างดุเดือดยิ่งขึ้น จนเกือบจะทำให้คู่ต่อสู้ถอยร่น เหลียงฮั่นและข่งอวี้เซินที่เคยพึ่งพาอาศัยกัน ไม่สามารถรักษาจุดยืนในการต่อสู้ได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้ ข่งอวี้เซินก็หันไปมองข้างหลัง ดูเหมือนว่าเขาจะหนีได้
เขาหันขวับไปหาเหลียงฮั่น “ถอย!”
“แล้วสองคนนั้นล่ะ” เหลียงฮั่นหมายถึงลูกน้องของข่งอวี้เซิน
“ช่างหัวมัน ไป!”
ทันทีที่พูดจบ ข่งอวี้เซินก็ถอยกรูดแล้วหันหลัง กระโจนขึ้นเตะผนังด้วยเท้าข้างเดียว เอื้อมมือไปจับชายคา จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคา
ต้องบอกว่า ไอ้หมอนี่เก่งเรื่องปีนป่ายจริงๆ…
เหลียงฮั่นเห็นสถานการณ์ดังนั้นก็ก่นด่าข่งอวี้เซินในใจว่า ไอ้เวรข่งอวี้เซินหนีไวอย่างกับลิง แม้แต่เขาก็ไม่สนใจ
ทว่าตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี มิฉะนั้นหากต้องสู้แบบสองต่อหนึ่ง เขาต้องแพ้ราบคาบอย่างแน่นอน
อวี่เหวินเซี่ยวและฟางรุ่ยสบตากัน “หนีไปคนหนึ่ง ปล่อยให้หนีไปอีกคนไม่ได้!”
ฟางรุ่ยพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็ไล่ตามเหลียงฮั่นไป
เหลียงฮั่นมีทักษะการต่อสู้ที่ดี และพละกำลังมหาศาล แต่เมื่อเทียบกันเรื่องความคล่องแคล่วแล้ว เขาห่างชั้นกับข่งอวี้เซินมาก
อีกฝ่ายสามารถกระโดดขึ้นหลังคาได้ แต่ด้วยน้ำหนักตัวเกือบหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัมของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาทำไม่ได้ และต่อให้เขาจะวิ่งหนี เขาก็เสียเปรียบด้านความเร็วอยู่ดี
เพียงไม่กี่วินาที อวี่เหวินเซี่ยวก็แซงหน้าเขาไป และเมื่อเหลียงฮั่นหันหลังกลับ ฟางรุ่ยก็ยืนขวางทางอยู่ด้านหลัง
“เหลียงฮั่น ฉันไม่สนว่าแกมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร แต่ตอนนี้แกต้องกลับไปที่แก๊งขอทานกับฉัน”
อวี่เหวินเซี่ยวพูดกับเหลียงฮั่น
เหลียงฮั่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวี่เหวินเซี่ยว “ถ้าไม่ใช่เพราะมัน วันนี้พวกแกตายแน่”
ระหว่างพูด เหลียงฮั่นชี้นิ้วโป้งไปทางด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพูดถึงฟางรุ่ย
อวี่เหวินเซี่ยวแสยะยิ้มเย็นยะเยือก “ไม่มีคำว่าถ้าหรอก วันนี้แกแพ้แล้ว ตอนนี้แกจะสู้ต่อ หรือจะเก็บแรงไว้กลับไปกับพวกเรา แกตัดสินใจเองได้เลย”
เหลียงฮั่นตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ไม่สู้แล้ว ฉันจะไปกับพวกแก!”
อวี่เหวินเซี่ยวพยักหน้า จากนั้นก็ใช้ลวดเหล็กมัดมือเหลียงฮั่น พาเขาออกจากซอย ขึ้นรถตู้คันหนึ่ง
วินาทีที่เหลียงฮั่นขึ้นรถ รถก็เอียงลงทันที แม้แต่ยางรถก็ยังยุบลงไปข้างหนึ่ง…
อวี่เหวินเซี่ยวหันกลับมาพูดว่า “ขอบคุณนะรุ่ยจื่อ บุญคุณครั้งนี้ฉันกับแก๊งขอทานจะจดจำไว้ไม่ลืม อีกสักพักฉันจะกลับมาตอบแทนนายท่านรองเอง”
ฟางรุ่ยพยักหน้า “ทุกคนปลอดภัยก็ดีแล้ว นายท่านรองไม่ชอบเรื่องพรรค์นี้”
“ฮ่าๆ งั้นฉันขอเลี้ยงเหล้านายนะ”
“อืม รอให้นายเสร็จเรื่องก่อนแล้วกัน!”
จากนั้นรถก็สตาร์ท และหายไปจากสายตาของฟางรุ่ย
เหล่าขอทานคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไป คนที่ได้รับบาดเจ็บต่างประคับประคองกันไป
ทันใดนั้น ฟางรุ่ยก็รู้สึกว่าขอทานพวกนี้เหมือนจะอยู่กระจัดกระจาย แต่พวกเขาก็ยังมีความสามัคคีกันอยู่
…
ซ่งจื่อเซวียนตื่นขึ้นมา ก็ถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้ว เมื่อลืมตาเห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว ซ่งจื่อเซวียนยังเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับไปได้ไม่นาน
แต่พอเขาเห็นเวลาบนโทรศัพท์มือถือ เขาก็ต้องตกตะลึง
เขาหลับไปเกือบหนึ่งวัน!
เขาจำได้ว่าเมื่อคืนนี้ หลังจากลองควบคุมไฟเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็กลับไปพักที่ห้องทำงาน
แต่ไม่คิดว่า พอตื่นขึ้นมาจะไม่ใช่รุ่งสาง แต่เป็นช่วงค่ำของอีกวันแทน…
เขาลุกขึ้นไปดื่มน้ำที่โต๊ะ จากนั้นจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ฉับพลันเขาก็รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวขึ้นเป็นกอง
ราวกับว่าเขาได้ชาร์จพลังเต็มแล้ว
ดูเหมือนว่าหลังจากนั่งสมาธิเป็นเวลานาน เขาต้องนอนหลับเพื่อชาร์จพลัง
ส่วนการผสมผสานระหว่างการนั่งสมาธิ การกำหนดลมหายใจ และการนอนหลับอย่างแท้จริงนั้น เขาต้องศึกษาเพิ่มเติมในภายหลัง
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ฟางรุ่ยก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าซ่งจื่อเซวียนตื่นแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน “นายท่านรอง ตื่นแล้วเหรอครับ หย่าฉีให้ผมมาเอาเครื่องคิดเลข เครื่องคิดเลขที่เคาน์เตอร์เสียอีกแล้วครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ฉันหลับไปทั้งวัน พวกนายไม่ปลุกฉันเลยเหรอ”
“ครับ หย่าฉีบอกว่าคุณแทบไม่ได้พักผ่อนเลย จนช่วงนี้หลงวันหลงคืนไปหมด ก็เลยไม่ได้กวนคุณครับ ยังมีอีกเรื่อง…นายท่านรอง วันนี้ตอนบ่ายผมออกไปข้างนอกมา”
“หือ ไปทำอะไรมา”
ซ่งจื่อเซวียนเดาได้ว่าฟางรุ่ยหมายถึงอะไร เห็นได้ชัดว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นตอนที่เขาออกไปข้างนอกแน่
จากนั้น ฟางรุ่ยก็นำเครื่องคิดเลขไปให้ถังหย่าฉี ก่อนจะกลับมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนบ่ายให้ซ่งจื่อเซวียนฟังทั้งหมด
รวมถึงเรื่องที่เลคริเซียสมาท้าทายร้านอาหารร่ำรวย และเรื่องแก๊งขอทานด้วย
เมื่อฟังจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้วแน่น และจมจ่อมอยู่ในห้วงคำนึกอยู่ครู่หนึ่ง
ระหว่างที่เราหลับไป…เกิดอะไรขึ้นเยอะเลยแฮะ
ทั้งเรื่องที่โจวเผิงพาเลคริเซียสเข้ามา หูเจิ้นได้รับบาดเจ็บ หลี่เหยียนขึ้นเป็นหัวหน้าเชฟชั่วคราว และที่สำคัญที่สุดคือ ข่งอวี้เซินผู้อาวุโสกลุ่มเสื้อผ้าสะอาดก็โผล่มาอีกแล้ว
“ดูเหมือนว่าเลคริเซียสจะรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว เขาคงไม่ปล่อยให้ฉันได้พักหายใจหายคอแน่” ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นพึมพำกับตัวเอง
“นายท่านรองครับ เทียนซั่วเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในบ่ายวันนี้ เขาบอกว่าลูกน้องของเลคริเซียสพกปืนมาด้วยครับ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนหันขวับไปมองฟางรุ่ย “รุ่ยจื่อ นายคิดว่าพวกมันกล้าใช้อาวุธไหม”
ฟางรุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บอกยากครับ พวกนี้เก่งกาจ น่าจะผ่านการฝึกพิเศษมา โดยทั่วไปแล้ว พวกมันคงไม่กล้าก่อเรื่องในจีน เพราะว่าการรักษาความปลอดภัยในประเทศของเรายอดเยี่ยม แต่ถ้าจนมุม…ก็สุดจะคาดเดา”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “อืม มิน่าแก๊งสิ้นคิดพวกนี้ถึงได้จองหองนัก ปากบอกว่าเปิดร้านมิชลิน แต่ทำตัวไม่ต่างอะไรกับโจรปล้นสะดม”
“นายท่านรองไม่ต้องกังวลนะครับ ฝีมือของพวกมันสู้เหลียงฮั่นจากแก๊งขอทานไม่ได้ ผมเองก็มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกมันได้ อีกอย่างตอนนี้แก๊งขอทานติดหนี้บุญคุณพวกเราอยู่ น่าจะยืมตัวคนมาช่วยได้ครับ” ฟางรุ่ยพูด
“ยืมตัว? นายหมายถึงอวี่เหวินเซี่ยวน่ะเหรอ”
“ใช่ครับ ตอนที่เราต่อสู้กันวันนี้ ผมเพิ่งรู้ว่าอวี่เหวินเซี่ยวเป็นยอดฝีมือจริงๆ ไม่ใช่แค่ฝีมือดี แต่ยังมีไหวพริบอีกด้วย คนแบบนี้อยู่ในทีมตั้งต้นของเรา ถือว่าเยี่ยมยอดครับ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ไม่ได้หรอก ตอนนี้เสี่ยวเป่าคงจะกำลังวุ่นๆ ฉันไม่อยากไปเพิ่มภาระให้เขา สู้ไป…หาเสี่ยปาดีกว่า”
“เสี่ยปาคงช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ นายท่านรองอย่าลืมสิ คนของเสี่ยหวงถือปืนกันเป็นพรวน ยังจับไอ้แทแรนติโนไม่ได้เลย คนพวกนี้ไม่ใช่พวกที่กุ๊ยทั่วไปจะรับมือไหวหรอกครับ”
ซ่งจื่อเซวียนคิด คำพูดของฟางรุ่ยก็มีเหตุผล เขาถอนหายใจยาวๆ “เออ…ก็ได้ นายไปจัดการซะ พรุ่งนี้เราไปหาเสี่ยวเป่ากัน”
หลังจากนอนหลับไปหนึ่งวัน ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าร่างกายของตนกลับมาแข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว คืนนี้เขาจะลองควบคุมไฟอีกสักสองสามครั้ง ไม่ปล่อยให้ร่างกายตัวเองเฉื่อยชา
พรุ่งนี้เขาน่าจะมีแรงพอไปพบกับกู่เสี่ยวเป่า
อย่างไรตอนกลางวันก็ไม่เหมาะจะเก็บตัวฝึกฝน ในครัวมีแต่คนเต็มไปหมด จะเป็นการเพิ่มภาระให้เปล่าๆ สู้ไปหากู่เสี่ยวเป่าดีกว่า
…
บนโต๊ะอาหาร โจวเผิงยื่นบัตรใบหนึ่งให้กับเฮ่อเหยียนข่ายที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ท่านชายเฮ่อ แปดแสน เราจบกันแค่นี้”
เฮ่อเหยียนข่ายรับบัตรมา อดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ “ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ คุณไปหาเงินมาจากไหน”
“ฮ่าๆ เรื่องนั้นนายไม่ต้องสนใจ เหล้ามื้อนี้ถือว่าเป็นการเลี้ยงส่ง หลังจากนี้ขอให้ท่านชายเฮ่อร่ำรวยต่อไป โจวเผิงคนนี้ไม่กล้าอาจเอื้อมอีกแล้ว”
โจวเผิงพูดจบ ก็กระดกเหล้าในแก้วจนหมด
คำพูดเหล่านี้ทำให้เฮ่อเหยียนข่ายรู้สึกไม่สบายใจ แกเอาเงินของฉันไปถลุงหมด ตอนนี้กลับมาพูดเหมือนฉันเป็นคนเลวซะอย่างนั้น…
“โจวเผิง พวกเราเลิกพูดจาเหน็บแนมกันเถอะ คุณเอาเงินเก็บของตัวเองมาให้ผมเหรอ”
โจวเผิงยักไหล่ “พูดไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากให้ท่านชายเฮ่อไปฟ้องร้องฉัน ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ต้องหาเงินแปดแสนมาให้ได้ อีกอย่างคราวนี้ฉันล้มเหลวทั้งเรื่องซ่งจื่อเซวียน แถมยังทำเงินให้นายไม่ได้ เป็นความผิดของฉันเอง”
พูดจบ เขาก็ดื่มอีกแก้ว
คราวนี้ เฮ่อเหยียนข่ายดื่มตาม “ซ่งจื่อเซวียน…ฮ่าๆ จัดการยากเย็นจริงๆ ธุรกิจของเขาก็ดังไม่หยุด ไม่มีทางหยุดเขาได้เลย”
“เอ๊ะ ท่านชายเฮ่อหมายความว่ายังไง ซ่งจื่อเซวียนดังเรื่องอะไรอีกล่ะ”
โจวเผิงได้ยินแล้วก็รู้สึกตงิดใจ ร้านอาหารร่ำรวยเพิ่งเอาข้าวผัดจักรพรรดิออกจากเมนู จะโด่งดังได้ยังไง เดาว่าคงไม่ใช่ร้านอาหารร่ำรวย แต่หมายถึงร้านอื่นของซ่งจื่อเซวียนสินะ!
เฮ่อเหยียนข่ายหัวเราะเบาๆ “ดังยังไงน่ะเหรอ ก็ตอนนี้เขาเปิดร้านอาหารส่วนตัวแล้ว แค่ดูจากภายนอกก็รู้ว่าระดับไฮโซ หน้าร้านมีแต่รถหรูจอดเต็มไปหมด แบบนี้ไม่เรียกว่าดังเหรอ”
ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของโจวเผิงก็เป็นประกายวาววับ ไม่คิดว่าวันนี้มาคืนเงินแล้วจะได้ข้อมูลใหม่ด้วย
………………………………………….