เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 297 พวกเดียวกัน
ตอนที่ 297 พวกเดียวกัน
……….
ข่งอวี้เซิน เหลียงฮั่น และคนอื่นๆ หันกลับไปมองเห็นจางเปียว ใบหน้าของข่งอวี้เซินฉายแววโกรธแค้น
เมื่อครู่เลคริเซียสกับพวกพกปืนมา พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้หลี่เหยียนบันดาลไฟอยู่ข้างใน กันพวกเขาไม่ให้เข้าไปได้
ตอนนี้มีคนมาอีกพวกแล้ว ช่วยให้เขาได้ระบายอารมณ์พอดี
ซางเทียนซั่วสังเกตเห็นว่าคนที่จางเปียวพามา มีฟางรุ่ยอยู่ด้วย
เขาไม่รู้ว่าทั้งสองไปเจอกันได้อย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไร…ตอนนี้ร้านอาหารร่ำรวยของพวกเขาก็รอดพ้นจากวิกฤตแล้ว
ข่งอวี้เซินสังเกตเห็นฟางรุ่ยเช่นกัน เขาชี้ไปที่ฟางรุ่ย “ไอ้หนู แกก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ เอากับมันสิไอ้เวร ยังเรียกพวกมาช่วยอีก!”
พูดจบ เขาจ้องมองซางเทียนซั่วอย่างโกรธเคือง ในกลุ่มคนเหล่านี้ เขาเป็นคนที่พูดมากที่สุด แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนแอบเรียกพวกมาช่วย
ซางเทียนซั่วยักไหล่แล้วหัวเราะ “ไร้สาระ แกยกพวกมาได้คนเดียวหรือไง”
ข่งอวี้เซินไม่สนใจ “เหลียงฮั่น จัดการไอ้เด็กนั่น ไอ้พวกนี้เดี๋ยวพวกฉันจัดการเอง!”
ฟางรุ่ยก้าวออกมาด้วยใบหน้าเยือกเย็น “อยากสู้ตัวต่อตัวเหรอ ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหลียงฮั่นก็รู้สึกเลือดสูบฉีด เดินตรงไปหาฟางรุ่ย ยกมือขึ้นปล่อยหมัดออกไป
แต่ฟางรุ่ยยังไม่ทันเคลื่อนไหว เหลยจื่อก็คว้าปืนพกออกมาจ่อเข้าที่ศีรษะของเหลียงฮั่น
เหลียงฮั่นมึนงงไปชั่วครู่ วันนี้เขาดวงตกหรืออย่างไร ถึงโดนปืนจ่อสองกระบอกติด…
ในชั่วพริบตา ภาพก็ซ้ำรอยเดิม เหลียงฮั่นยืนนิ่งอีกครั้ง
ขณะมองเหลยจื่อที่จ่อปืน เขาก็ไม่กล้าขยับตัว เพราะไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหน ถ้าโดนยิงสักที อย่างไรก็ต้องกลายเป็นเศษเนื้อ
ข่งอวี้เซินที่อยู่ข้างๆ ก็นิ่งอึ้ง นี่มันอะไรกัน มีการอนุญาตพกปืนออกนอกบ้านตั้งแต่เมื่อไร
“กล้ายิงเหรอ” ข่งอวี้เซินเอ่ยถาม
เหลยจื่อจ้องมองเขา “ไปให้พ้น แกเป็นใครมาจากไหน รู้ไหมนี่มันร้านของเสี่ยปา ถ้ายังกล้ามาหาเรื่องอีก ฉันจะโยนพวกแกทิ้งลงทะเลซะ!”
เมื่อเทียบกับเลคริเซียส เหลยจื่อดูสถุลกว่า เพราะเขาเป็นอันธพาลจริงๆ แค่คำพูดคำจาก็ต่างกันแล้ว…
“ฮ่าๆ ก็ลองดูสิ แกกล้าฆ่าคนงั้นเหรอ”
เหลยจื่อขึงตามองเขา พลางเหนี่ยวไกปืนไปทางเหลียงฮั่น
วินาทีที่นิ้วกำลังจะขยับ เหลียงฮั่นรีบยกมือขึ้นสองข้าง “อย่า…ผู้อาวุโสข่ง คุณไปท้าเขาทำไม เดี๋ยวเขายิงขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง”
ปกติเหลียงฮั่นเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ตอนนี้เขาตะโกนออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
จริงอยู่ ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน คุณกล้าพูดหรือเปล่าว่าไม่กลัวตาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ข่งอวี้เซินดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เขาจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “ได้ พวกแกมันแน่ พวกแกมันโหดจริง พวกเรากลับ!”
พูดจบ เขาก็พาคนออกไปจากร้านอาหารร่ำรวย เหลียงฮั่นเองก็ถอยหลังช้าๆ ออกมาจากร้านอาหาร หลบเลี่ยงปากกระบอกปืนของเหลยจื่อ
“นายท่านซาง คนพวกนี้เป็นใคร”
พวกเหลยจื่อรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างซางเทียนซั่วกับซ่งจื่อเซวียน พวกเขาจึงคุ้นเคยกับการเรียกเขาว่านายท่าน
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกมันมาที่นี่สองครั้ง มาหาอาจารย์ของฉัน ไม่ได้มาดี!”
เหลยจื่อพยักหน้า “นายท่านซาง มีเรื่องอะไรเรียกพวกเราได้เลยนะ ปกติพวกเราอยู่ที่หลงตู ตอนนี้นิ่งแล้ว เสี่ยปาก็มาอยู่กับพวกเราที่นี่บ้างเป็นครั้งคราว”
“ได้ พวกนายมาทันเวลาพอดี แต่…เหลยจื่อ อย่าควักปืนออกมาพร่ำเพรื่อสิ ถ้ามีตำรวจผ่านมา มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่นะ”
เหลยจื่อยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ปกติพวกเราไม่ค่อยพกปืนอยู่แล้ว เสี่ยปาบอกว่าคราวนี้งานหิน ให้เด็กๆ เอาอาวุธมา พวกเราเลยเอาติดตัวมาด้วยน่ะ”
“อืม ดีแล้วล่ะ”
ในตอนนั้นเอง สายตาของฟางรุ่ยก็มองไปด้านนอกร้านอาหาร คล้ายจะเห็นอะไรบางอย่าง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้ววิ่งออกจากร้านไปทันที
“รุ่ยจื่อ แกจะไปไหน”
เมื่อเห็นดังนั้น ซางเทียนซั่วก็รีบตะโกนเรียก
ฟางรุ่ยไม่ได้ตอบ วิ่งตรงไปที่ทางแยกเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามถนน
“สภาพ อย่างกับคนป่วยจิต เป็นเพราะอาจารย์ของฉันแท้ๆ เลย…
ฟางรุ่ยที่วิ่งตรงไปยังทางแยกนั้น ค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง ราวกับเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ก่อนจะสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ทางแยกด้านหน้าเป็นถนนใหญ่ แต่ทั้งสองฝั่งมีทางแยกหลายทางซึ่งนำไปสู่ตรอกซอกซอยเล็กๆ
เมื่อมาถึงทางแยก ฟางรุ่ยเอาหลังแนบกับมุมกำแพง มองเข้าไปในซอย
เขาเห็นคนสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
คนที่หันหลังให้เขาคือข่งอวี้เซินที่เพิ่งหนีออกมาจากร้านอาหาร
และฝั่งตรงข้ามของเขา…
เรียกได้ว่ากลุ่มขอทานกลุ่มใหญ่ อย่างน้อยสิบกว่าคนยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา เห็นได้ชัดว่ามารอพวกเขาที่นี่
ฟางรุ่ยคุ้นเคยกับคนที่อยู่ตรงกลางกลุ่มนี้มากที่สุด เขาคืออวี่เหวินเซี่ยว!
ในตอนนี้เอง ฟางรุ่ยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง เขารีบถอยหลังไปสองสามก้าว ทันใดนั้น ผู้คนก็วิ่งออกมาจากตรอกซอกซอยทุกแห่ง
พวกเขาล้วนเป็นขอทานที่แต่งตัวขาดรุ่งริ่ง ในมือถือท่อนไม้ บางคนถือมีดเหล็กขึ้นสนิม
“อวี่เหวินเซี่ยว แกจะทำอะไร”
ข่งอวี้เซินมองไปยังอวี่เหวินเซี่ยว ใบหน้าของอวี่เหวินเซี่ยวเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ขวางพวกแกไง!”
“ฮึ แกแค่ผู้อาวุโสใหม่ น้ำหน้าอย่างแก…กล้าขวางทางฉันเหรอ” ข่งอวี้เซินพูด
อวี่เหวินเซี่ยวแค่นหัวเราะ “พวกแกทำอะไรกับผู้อาวุโสแปดกระสอบ ยังมีหน้ามาพูดถึงคุณสมบัติกับฉันอีก”
“ฉันทำตามคำสั่งของหัวหน้าแก๊ง ผิดอะไร!”
“หัวหน้าเหรอ ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งของหัวหน้า” อวี่เหวินเซี่ยวพูด
ข่งอวี้เซินจ้องมองอวี่เหวินเซี่ยวด้วยสายตาเย็นชา “เลิกพูดจาไร้สาระสักที เราต่างก็มีเจ้านายเป็นของตัวเอง จะให้พูดอะไรอีก”
“แก๊งขอทานมีหัวหน้าเพียงคนเดียว ข่งอวี้เซิน แกนับถือคนผิดแล้ว!” อวี่เหวินเซี่ยวพูด
“ฮ่าๆๆ อวี่เหวินเซี่ยวเอ๋ยอวี่เหวินเซี่ยว เมื่อก่อนฉันยังคิดว่าแกฉลาด เป็นคนที่มีอนาคตในแก๊งขอทาน คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะโง่เง่า ยอมฟังเด็กคนหนึ่งแบบนี้จริงๆ” ข่งอวี้เซินพูด
สีหน้าของอวี่เหวินเซี่ยวยังคงเย็นชา มีแต่แววตาดูถูกดูแคลนที่เพิ่มขึ้น
“ฉันฟังแค่หัวหน้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือไม่ก็ตาม”
“ดื้อด้านซะไม่มี อวี่เหวินเซี่ยว ฉันหวังว่าแกจะคิดเองได้ ว่าการกระทำของแกมันไร้อนาคต จะช้าหรือเร็วกู่เสี่ยวเป่าก็ต้องลงจากตำแหน่ง หัวหน้าเฉินมีคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้ามากกว่า!” ข่งอวี้เซินเอ่ย
“เหอะ มีคุณสมบัติเป็นหัวหน้าเหรอ เขาไม่ใช่หัวหน้า!”
“แก…ทำไมแกถึงดื้อด้านขนาดนี้ หัดรู้ซะบ้างว่าการเลือกข้างมันสำคัญกับตัวแก ถ้าแกกลับไปอยู่กับฉัน ฉันจะรับรองตำแหน่งผู้อาวุโสแปดกระสอบของแก แกจะได้เป็นผู้อาวุโสแปดกระสอบที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแก๊งขอทาน!”
ข่งอวี้เซินพยายามโน้มน้าวด้วยเหตุผล แต่แน่นอนว่าอวี่เหวินเซี่ยวรู้ดีว่านี่เป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อเอาตัวรอด
ถ้าปล่อยเขาไปตอนนี้ เขาจะยังคงมีท่าทีแบบนี้หรือไม่
อวี่เหวินเซี่ยวส่ายหน้า “ไม่ได้ ข่งอวี้เซิน วันนี้พวกแกหนีไปไหนไม่รอดแล้ว!”
“งั้นเหรอ ลำพังแค่พวกแกเนี่ยนะ ฮ่าๆ…ไอ้พวกขอทาน!” ข่งอวี้เซินกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ
คนที่อยู่รอบตัวเขาล้วนเป็นยอดฝีมือ แถมยังมีเหลียงฮั่นอีกคน
ความอำมหิตของเหลียงฮั่นนั้นเป็นที่โจษจันไปทั่วแก๊งขอทาน เขาติดตามเฉินล่างมาตลอด แม้แต่ตอนนี้ที่เฉินล่างเรียกตัวเองว่าหัวหน้าแก๊งก็เช่นกัน
ถ้าวันนี้ไม่ถูกโดนปืนจ่อสองครั้ง เหลียงฮั่นคงระเบิดความโหดเหี้ยมไปแล้ว
ดังนั้น ตอนนี้เหลียงฮั่นจึงอัดอั้นตันใจ อยากระบายอารมณ์กับพวกขอทานเหล่านี้เสียเต็มแก่
อวี่เหวินเซี่ยวจ้องมองพวกเขาด้วยความโกรธ “พวกขอทาน…พวกแกคงลืมรากเหง้าของตัวเองไปแล้วสินะ”
“ฮึ บางรากเหง้าก็ควรค่าแก่การรักษาไว้ แต่รากที่มันไม่ดีก็ควรจะกำจัดทิ้ง แก๊งขอทานทำไมต้องขอทานไปชั่วชีวิตล่ะ”
“พูดมากเหม็นขี้ฟันว่ะ!”
ในแง่ของสถานะ ทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้อาวุโสของแก๊งขอทาน ถือว่าเท่าเทียมกัน
ข่งอวี้เซินเป็นผู้อาวุโสด้วยประสบการณ์ ส่วนอวี่เหวินเซี่ยวคือผู้อาวุโสใหม่ที่อายุน้อยที่สุดของแก๊งขอทาน
เมื่อเห็นอวี่เหวินเซี่ยวพุ่งเข้ามา ข่งอวี้เซินก็เอี้ยวตัวหลบไปด้านข้าง พร้อมกับชกสวนกลับไป
ในชั่วพริบตา ทุกคนก็ลงมือ
ในซอยแคบๆ เต็มไปด้วยขอทาน…
สำหรับเหลียงฮั่นแล้ว พวกขอทานเหล่านี้ไม่มีทางสู้เขาได้เลย
ด้วยพละกำลังมหาศาล เขาคว้าขอทานคนหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนใส่กำแพงที่อยู่ด้านข้าง ขอทานคนนั้นถึงกับกระอักเลือด
เมื่อเห็นดังนั้น อวี่เหวินเซี่ยวก็ตกใจ เขารู้ว่าเหลียงฮั่นเป็นยอดฝีมือ แต่ไม่รู้ว่าจะเก่งถึงขนาดนี้
เขาทุ่มพลังทั้งหมดโถมเข้าใส่เหลียงฮั่น ทว่าตอนนี้ข่งอวี้เซินก็รีบตามมาและขวางเขาไว้
“คู่ต่อสู้ของแกคือฉัน!”
หมัดหนึ่งพุ่งเข้ามา อวี่เหวินเซี่ยวหลบไม่ทัน จึงยกแขนขึ้นสกัด ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามา เขาต้องต่อสู้กับข่งอวี้เซินอีกครั้ง
เมื่อเห็นขอทานถูกเหลียงฮั่นและคนอื่นๆ ล้มทีละคน อวี่เหวินเซี่ยวรู้สึกสิ้นหวัง
เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นคนจากองค์กรของเขา ถ้ามีคนบาดเจ็บ เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ขอทานไม่มีพ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ครอบครัวพวกเขาฟัง แต่พวกเขาก็มีชีวิต ท้ายที่สุด เขาก็ต้องอธิบายให้กู่เสี่ยวเป่าฟัง
ในตอนนี้ อวี่เหวินเซี่ยวรู้สึกร้อนใจดุจไฟเผา แต่ทำอะไรไม่ได้
ข่งอวี้เซินมีฝีมือไม่ธรรมดา ถ้าต่อสู้ตัวต่อตัว แน่นอนว่าอวี่เหวินเซี่ยวฝีมือเหนือกว่า
แต่ตอนนี้…เขาไม่สามารถทุ่มเทให้กับการต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ เพราะเขาเอาแต่ห่วงหน้าพะวงหลังกับพี่น้องเหล่านี้
ในตอนนี้เอง เหลียงฮั่นก็ยกขอทานคนหนึ่งขึ้นมาโยนออกไปอีกครั้ง
เหลียงฮั่นไม่สนใจท่อนไม้พวกนั้น ความสามารถในการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งมากจนเขาคร้านจะหลบเลี่ยง เมื่อถูกตีเข้าที่ตัว ท่อนไม้ก็หัก แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ
ลูกน้องของข่งอวี้เซินอีกสองคน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากท่อนไม้เป็นครั้งคราว แต่วินาทีที่เหลียงฮั่นมาถึง ขอทานเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นของเล่นต่อหน้าเขา หมดหนทางต่อสู้
“เป็นไงล่ะอวี่เหวินเซี่ยว รู้สึกเจ็บปวดแล้วหรือไง ฮ่าๆ แกยังคิดว่าตัวเองเป็นขอทานอยู่อีกไหม เป็นพี่น้องกับคนพวกนี้อยู่อีกไหม”
ข่งอวี้เซินโจมตีไปพลางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มไปพลาง
ในขณะที่อวี่เหวินเซี่ยวสับสน เขาไม่ได้เสียแต้มต่อ แต่กลับดูมีสติมากขึ้น
“หึ ไม่ช้าก็เร็วแก๊งขอทานจะจัดการพวกแก รวมถึงเฉินล่างด้วย!”
ได้ยินเช่นนั้น ข่งอวี้เซินก็พูดแกมหัวเราะ “งั้นเหรอ น้ำหน้าขอทานพวกนี้น่ะเหรอ”
“แค่แก๊งขอทานคำคำนี้ก็พอแล้ว!”
สิ้นคำพูด อวี่เหวินเซี่ยวก็ต่อยหมัดหนักๆ ใส่ร่างข่งอวี้เซิน
ข่งอวี้เซินถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อเห็นอวี่เหวินเซี่ยวพุ่งไปหาเหลียงฮั่น เขาก็รีบตามไปอีกครั้ง
อวี่เหวินเซี่ยวรู้สึกร้อนรนใจ ข่งอวี้เซินมีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกันเขาออกไป
ในขณะที่เขากำลังร้อนใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเงาดำปรากฏขึ้น
ดูเหมือนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นว่าคนคนนี้เข้ามาในกลุ่มตะลุมบอนตั้งแต่เมื่อไร
ด้วยการโจมตีที่รวดเร็วเพียงไม่กี่ครั้ง ทำเอาลูกน้องของข่งอวี้เซินคนหนึ่งล้มลงไปกองกับพื้น ลุกขึ้นยืนไม่ได้
เมื่อเห็นใบหน้าของเงาดำ อวี่เหวินเซี่ยวก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
“รุ่ยจื่อ!”
“ไอ้แพนด้ายักษ์นี่ปล่อยให้ฉันจัดการเอง นายไปจัดการไอ้หมอนั่นซะ!”
ฟางรุ่ยพูดจบ ก็พุ่งเข้าปะทะกับเหลียงฮั่น
แม้ว่าทั้งคู่จะมีขนาดร่างกายที่แตกต่างกัน แต่สีหน้าของฟางรุ่ยปราศจากร่องรอยของความหวาดกลัว ตรงกันข้าม เขากลับเปี่ยมล้นด้วยพลังอันแข็งแกร่งในระหว่างการโจมตี
“เยี่ยม สุดยอดเลยเพื่อน นายมาที่นี่ได้ไง”
ฟางรุ่ยยิ้ม “นายเคยบอกว่าเราเป็นพวกเดียวกัน นายเคยช่วยนายท่านรองของฉัน ตอนนี้ฉันก็เลยมาช่วยพวกนาย!”
“มัวแต่เก๊กท่าอยู่ได้ เหลียงฮั่น จัดการมันซะ!”
ข่งอวี้เซินตะโกนเสียงกร้าวเมื่อเห็นสถานการณ์!
…………………………………………..
……….