เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 296 ไสหัวออกไปให้หมด
ตอนที่ 296 ไสหัวออกไปให้หมด
……….
ทักษะการต่อสู้ของฮันเตอร์นั้นอยู่ในระดับมืออาชีพ ดังนั้นเลคริเซียสจึงไม่กังวลนัก
แต่เหลียงฮั่นลูกน้องของข่งอวี้เซิน รูปร่างสูงใหญ่ ดูแล้วไม่ใช่คู่ต่อสู้กระจอกๆ
เหลียงฮั่นคว้าคอเสื้อของฮันเตอร์ และฮันเตอร์ก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
คนในวงการเดียวกัน แค่ลงมือก็รู้ฝีมือของกันและกัน ทีแรกฮันเตอร์ไม่เชื่อว่าชายร่างใหญ่คนนี้จะยังเป็นแค่ผู้ฝึกหัด
ก่อนหน้านี้ตอนปฏิบัติภารกิจในยุโรป เขาเคยเจอชายร่างยักษ์สูงกว่าสองเมตร รูปร่างกำยำล่ำสัน
แต่พอปะทะกันจริงๆ เขาใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีก็จัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าเหลียงฮั่นตรงหน้า…ดูเหมือนจะไม่ได้จัดการง่ายๆ ขนาดนั้น
เหลียงฮั่นคำรามเสียงดัง ยกตัวฮันเตอร์ขึ้นสูง แม้ฮันเตอร์จะมีพลังมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับเหลียงฮั่นแล้ว น้ำหนักของเขาก็ดูน้อยนิดนัก
เลคริเซียสเริ่มตื่นกลัว เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเชฟ ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับยอดฝีมือของจีน
อย่างน้อยบุคคลที่ปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ ก็มีฝีมือไม่เหมือนคนธรรมดา
เห็นสถานการณ์ดังนี้ ข่งอวี้เซินก็ยิ้มเยาะ “ไอ้พวกต่างชาติ เมื่อกี้แกพูดว่าไงนะ ถ้ายั่วโมโหแกจะโดนหนักงั้นเหรอ อยากจะเห็นสักทีว่าจะหนักแค่ไหนเชียว”
แต่ทันทีที่สิ้นคำพูด เหลียงฮั่นก็หยุดนิ่ง
จู่ๆ ในมือของฮันเตอร์ที่ถูกเขายกขึ้นกลางอากาศก็มีปืนโผล่ออกมาหนึ่งกระบอก
ปลายกระบอกปืนจ่อเข้าที่ศีรษะของเหลียงฮั่น
เหลียงฮั่นเบิกตาโพลงมองฮันเตอร์ ไม่กล้าขยับตัว เพราะเขาใช้กำลัง แต่อีกฝ่ายเล่นใช้ปืน
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เหลียงฮั่น แม้แต่ข่งอวี้เซินก็ยังตกตะลึง พกปืนกัน…ตอนกลางวันแสกๆ เลยเหรอ
เมื่อครู่เขายังยิ้มแย้ม แต่ตอนนี้…เขากลับนิ่งเป็นหิน
เลคริเซียสหรี่ตาลงเล็กน้อย “รู้ผลลัพธ์แล้วใช่ไหม”
ข่งอวี้เซินหันไปมองลูกน้องอีกสองคน ทุกคนต่างอ้าปากค้าง ครั้งนี้เจอคนโฉดของจริงเข้าให้แล้ว
“หึ แกกล้ายิงที่นี่เหรอ คิดว่าตำรวจจีนเป็นคนโง่หรือไง” ข่งอวี้เซินพูด
เลคริเซียสแสยะยิ้ม กัดฟันพูดว่า “อาจจะไม่กล้า แต่ถ้าถูกต้อนให้จนมุม…ใครจะไปรู้”
“แก…งั้นก็ดี มาลองวัดใจกันสักตั้ง พวกแกลองยิงดูสิ ฉันจะลองแจ้งตำรวจดู ถ้าแกคิดว่าพวกแกจะหนีรอดได้ ก็เอาเลย”
พูดจบ ข่งอวี้เซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมแจ้งตำรวจ
เลคริเซียสรู้สึกตื่นตะหนกขึ้นมาจริงๆ ต้องบอกไว้ก่อนว่าเขาแข่งกับเชฟ ซึ่งอยู่ภายใต้กฎของวงการ
แต่เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนในวงการ ถ้าอีกฝ่ายแจ้งตำรวจ…ก็ไม่ได้ผิดกฎอะไร
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เลคริเซียสก็ยักไหล่แล้วพูดว่า “ตามใจนาย ฉันมีใบอนุญาตพกปืนพิเศษจากอเมริกา ถ้าฉันไม่ยิง ตำรวจจะทำอะไรฉันได้ล่ะ”
พูดจบเขาก็มองไปที่หลี่เหยียน “โชคดีของคุณ เราคงมีโอกาสได้ปะทะกันอีก ฮันเตอร์เก็บของ!”
ตอนนี้เหลียงฮั่นปล่อยฮันเตอร์ลงแล้ว อีกฝ่ายชี้ปืนไปที่เหลียงฮั่น พลางถอยหลังไปจนถึงเตาปรุงอาหาร ก่อนจะวางปืนลงและเริ่มเก็บของ
เหลียงฮั่นเกรงกลัวอาวุธของเขาเป็นธรรมดา จึงไม่ลงมืออีก
ขณะมองพวกเลคริเซียสสองคนเก็บเตาปรุงอาหารใส่ไว้รถ พวกหลี่เหยียนก็ไม่ได้พูดอะไร
จนกระทั่งรถแล่นจากไป ข่งอวี้เซินค่อยโล่งใจขึ้นมา แม่งเอ๊ย เจอคนพกปืนทีเดียว จะแก๊งขอทานหรือนักเลงก็ไปไม่เป็นกันสักราย…
ข่งอวี้เซินหันไปมองพวกหลี่เหยียน “ฮ่าๆ เอาล่ะ เรื่องกวนใจไปแล้ว ไปตามซ่งจื่อเซวียนมา แกด้วย วันนี้ฉันจะคิดบัญชีกับแก!”
ซางเทียนซั่วเห็นท่าไม่ดี คิดในใจว่าเมื่อกี้พวกมันยังตีกันอยู่เลย ไม่คิดว่าไอ้ต่างชาติจะหนีไปซะดื้อๆ…
แต่ยังมีอีกคนที่รู้สึกหงุดหงิดนั่นคือโจวเผิง
เดิมทีเขาคิดว่าครั้งนี้เลคริเซียสจะปิดร้านอาหารร่ำรวยลงได้ ไม่ใช่แค่หูเจิ้นที่จะถูกจัดการ แต่ถ้าหลี่เหยียนได้รับบาดเจ็บไปด้วย อย่างน้อยร้านอาหารร่ำรวยก็คงต้องปิดบริการไปหลายวัน
แต่ใครจะรู้ว่าจะมีคนไม่รู้ที่มาที่ไปมาหลายคน มาทำเสียเรื่องซะได้
ทว่าเห็นท่าทีของพวกเขา แม้แต่เลคริเซียสยังต้องหนี เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนมองอยู่เฉยๆ
พูดจบ ข่งอวี้เซินก็มองไปทางเหลียงฮั่น “เหลียงฮั่น พาไอ้หนูนี่เข้าไป วันนี้มันหนีไปไหนไม่ได้แล้ว”
ข่งอวี้เซินคิดในใจว่าถ้าคราวก่อนไม่มียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นปุบปับ ไอ้เด็กนี่คงถูกเขาจัดการไปนานแล้ว
ยอดฝีมือที่ว่าก็คือฟางรุ่ย
คราวนี้เขาตั้งใจยืมตัวเหลียงฮั่นมือฉมังจากแก๊งขอทานมาเพื่อจัดการกับฟางรุ่ยโดยเฉพาะ แต่การเจอกับเลคริเซียสและฮันเตอร์นั้นเป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ ใครจะไปรู้ว่าพวกมันมีปืน…
จากนั้น เหลียงฮั่นก็เดินเข้าไปหาหลี่เหยียน
แม้หลี่เหยียนจะผอม แต่ก็สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร เมื่อเทียบกับเหลียงฮั่นแล้ว ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างกันมากนัก
ขณะจ้องมองเหลียงฮั่นที่เดินเข้ามา สายตาของหลี่เหยียนเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาไม่พูดอะไร ไม่รอให้เหลียงฮั่นมาจับตัวเขา ก็หันหลังแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารด้วยตัวเอง
เห็นสายตาจองหองของหลี่เหยียนตอนหันหลัง เหลียงฮั่นก็โกรธขึ้นมาทันที
เขามองข่งอวี้เซิน “มันเป็นใคร”
ข่งอวี้เซินยิ้มน้อยๆ “ไม่ใช่ใครทั้งนั้น ใจเย็นๆ ก่อน รอซ่งจื่อเซวียนมาแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหลียงฮั่นก็จ้องมองไปที่แผ่นหลังของหลี่เหยียนด้วยความโกรธ แล้วจึงเดินตามเข้าไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ในห้องโถง ข่งอวี้เซินและคนอื่นๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะตรงกลาง รูปร่างของเหลียงฮั่นนั้นดูน่ายำเกรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับลูกน้องในชุดสีดำอีกสองคน พวกเขานั่งอยู่ที่นี่ใครจะกล้าเข้ามาทานอาหาร
ซางเทียนซั่วที่อยู่ใกล้ๆ ไม่โง่พอที่จะวิ่งไปหาเรื่องพวกเขา เขาส่งข้อความไปให้ฟางรุ่ยหลายข้อความ
เนื้อหาของข้อความส่วนใหญ่คือบอกว่าร้านอาหารร่ำรวยกำลังมีปัญหา ให้รีบมาช่วย และอย่าให้ซ่งจื่อเซวียนมาด้วย จะได้ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายกับตัว
ไม่นานนัก ฟางรุ่ยก็ตอบกลับมาสั้นๆ ว่า ‘OK’
เมื่อเห็นข้อความตอบกลับ ซางเทียนซั่วก็โล่งใจ
แต่เขาส่งข้อความบอกเล่าสถานการณ์ที่นี่ให้กับเสี่ยเฉิงปาด้วยเช่นกัน
อย่างไรร้านอาหารแห่งนี้ก็อยู่ในความดูแลของเสี่ยเฉิงปา พวกข้างถนนย่อมมีวิธีจัดการดีกว่าพวกเขา
ข่งอวี้เซินนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองไปรอบๆ แล้วหัวเราะ
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าพวกแกจะถูกพวกต่างชาติเล่นงานจนอ่วมเลยสินะ ลูกน้องของซ่งจื่อเซวียนมีแต่พวกตาขาวทั้งนั้น เฮ้ย ไอ้ขี้ขลาด ไปชงชาให้ฉัน!”
ไม่มีใครสนใจ
“โอ้โห กล้าเหรอ ทำไมเมื่อกี้ไม่เห็นกล้า ฉันจะบอกพวกแกนะ รีบๆ ติดต่อซ่งจื่อเซวียนมาได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะทำให้พวกแกเปิดร้านไม่ได้อีก!”
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นก็ยักไหล่แล้วหัวเราะ “เอาสิ แกเก่งนักนี่ แกบอกว่าไม่ให้เปิดงั้นก็ไม่เปิดแล้ว พวกเราแยกย้าย จะไปทำอะไรก็ไป!”
พูดจบ ซางเทียนซั่วก็พยักหน้าให้คนครัวสองสามคน พวกเขารู้ใจทันที รีบวิ่งเข้าไปในครัวไปช่วยหูเจิ้นทำแผล
ข่งอวี้เซินขมวดคิ้วมองซางเทียนซั่ว “ใครอนุญาตให้แกพูด แกเป็นใครมาจากไหน”
“ฮ่าๆ ฉันก็ไม่ใช่ใครจากไหนหรอก พวกแกมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
“หึ ไม่เกี่ยวกับแก ฉันจะรอซ่งจื่อเซวียนกลับมา เขาต้องมีคำอธิบายให้กับฉัน!”
พูดจบ ข่งอวี้เซินก็ตบโต๊ะดังปัง
ซางเทียนซั่วแค่นยิ้ม “แกบอกเองนะว่าไม่เกี่ยวกับฉัน ก็ได้ งั้นฉันไม่พูดแล้ว”
พูดจบ ซางเทียนซั่วก็กลับไปนอนบนเคาน์เตอร์ ถือเป็นวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พยายามปกป้องพนักงานในร้าน ขณะเดียวกันก็พยายามเลี่ยงการปะทะกับอันธพาลพวกนี้
จากนั้น เขาก็หันไปมองโจวเผิง เป็นเพราะไอ้สารเลวนี่แท้ๆ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่สูญเสียอะไรมากขนาดนี้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็อยากจะต่อยโจวเผิงสักหมัด แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของซ่งจื่อเซวียน เขาจึงทำได้แค่ระบายอารมณ์กับตัวเอง…
ข่งอวี้เซินขี้เกียจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับซางเทียนซั่ว ประการแรก เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างซางเทียนซั่วกับซ่งจื่อเซวียนเป็นอย่างไร ประการที่สอง เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดกับไอ้เด็กผีเจาะปากมาพูด
หลังจากรอไปประมาณสองสามนาที เขาก็เริ่มหงุดหงิด พูดว่า “เหลียงฮั่น ไปลากตัวไอ้หนูผมยาวนั่นออกมา รอไปก็เท่านั้น สู้ต่อยมันให้หายโมโหดีกว่า”
เหลียงฮั่นพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในครัว
แต่พอเข้าไปในครัว เหลียงฮั่นกำลังจะเดินไปหาหลี่เหยียน ก็เห็นเพียงหลี่เหยียนหันขวับกลับมามองตนด้วยสายตาคมปลาบราวกับใบมีด
หลี่เหยียนพูดอย่างเยือกเย็น
เหลียงฮั่นหรี่ตามอง พลางแสยะยิ้มอย่างไร้ความเป็นมิตรแม้แต่น้อย “พูดกับฉันเหรอ”
“ออกไป!”
“หึ หาที่ตายนะแก!”
พูดจบ เหลียงฮั่นก็ก้าวเข้าไป ทันใดนั้น หลี่เหยียนก็เบิกตาโพลง รอยแผลเป็นที่เปลือกตาปรากฏขึ้น
แม้ว่าร่างกายของเขาอาจจะไม่แข็งแรงเท่าเหลียงฮั่น แต่ใบหน้าของหลี่เหยียนโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเหลียงฮั่นในตอนนี้
ฟู่…
ทันใดนั้น เปลวไฟก็พุ่งออกมาจากก้นหม้อ ตรงเข้าใส่เหลียงฮั่น
เมื่อเห็นฉากนี้ ไม่ใช่แค่เหลียงฮั่น แม้แต่หูเจิ้นและพนักงานในครัวคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง
พวกเขารู้เพียงว่าเลคริเซียสเล่นไฟได้ ใครจะคิดว่าไอ้หนูผมยาวนี่ก็เล่นไฟเป็นเช่นกัน…
หลี่เหยียนอยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวยตลอดเวลา แต่ความสัมพันธ์ของเขากับทุกคนไม่ถือว่าดีนัก เพราะเขามีบุคลิกที่ชอบเก็บตัว หน้าตาก็ดูน่ากลัว เวลาปกติไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา คนอื่นๆ จึงไม่ค่อยคุยกับเขา
ทว่าวันนี้เขาออกโรงปกป้องหูเจิ้น ทำให้หูเจิ้นรู้สึกอบอุ่นใจ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปในช่วงที่เขาอยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวย
เมื่อเห็นเปลวไฟ เหลียงฮั่นก็หลบหลีกตามสัญชาตญาณ แต่ก็ช้าไปแล้ว เปลวไฟเฉียดเข้าที่ไหล่ของเขา
บนไหล่ของเหลียงฮั่นมีรอยไหม้เกิดขึ้น เสื้อผ้าดำเป็นปื้น
เหลียงฮั่นยังไม่ทันตั้งตัว ก็มีเปลวไฟอีกลูกพุ่งเข้าใส่ตัวเขา
เหลียงฮั่นกลัวจนถอยหลังไปหลายก้าวหนีออกมาจากครัว
เปลวไฟพุ่งชนกับประตูห้องครัว จึงถูกดับโดยอัตโนมัติ แต่บานประตูก็ยังมีรอยดำปรากฏอยู่
เห็นเหลียงฮั่นถอยกรูดออกมา ข่งอวี้เซินก็ตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น”
เหลียงฮั่นหันกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย “ไอ้หมอนี่มันเป็นยอดฝีมือ ผมเข้าไปไม่ได้!”
ข่งอวี้เซินขมวดคิ้วทันที รีบเดินเข้าไป “หึ ยอดฝีมืออะไรล่ะ เมื่อกี้มันเกือบจะโดนฉันฆ่าตายแล้ว!”
พูดจบ ข่งอวี้เซินก็มาถึงประตูครัว ทันทีที่เขาเหยียบย่างเข้าไป เปลวไฟก็พุ่งออกมาอีกครั้ง
ข่งอวี้เซินเบิกตาโพลง ปฏิกิริยาแรกคือก้มตัวลง แล้วมองไปที่เหลียงฮั่น ซึ่งฝ่ายนั้นได้แต่ทำหน้าสิ้นหวัง
“เวร แกมันก็เก่งแต่หลบอยู่ข้างในล่ะวะ!”
ข่งอวี้เซินตะโกน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีวิธีจัดการกับหลี่เหยียนที่ปกป้องตัวเองอยู่ข้างใน
ในตอนนั้นเอง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้านอาหารร่ำรวย นำทีมโดยลูกน้องของเสี่ยเฉิงปา เหลยจื่อและจางเปียว!
เห็นพวกเขามา ซางเทียนซั่วก็โล่งใจ อย่างน้อยก็มีคนมาช่วยแล้ว
เมื่อจางเปียวเข้ามาก็ตะโกนลั่น “ไอ้พวกที่หาเรื่อง ไสหัวออกไปให้หมด!”
……………………………………………
……….