เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 293 จงละลายเดี๋ยวนี้!
ตอนที่ 293 จงละลายเดี๋ยวนี้!
……….
ตกเย็นวันนั้น หลังจากเลิกงานที่ร้านอาหารร่ำรวยแล้ว โจวเผิงไม่ได้กลับบ้าน แต่เดินไปตามทาง
ไม่ใช่เพราะอยากประหยัดเงิน หลักๆ แล้วเขาต้องการใช้ความคิดอย่างเงียบๆ
ซ่งจื่อเซวียนอยู่กับแฟนทุกวัน หรือว่าจะไม่สนใจการแข่งขันกับเลคริเซียสแล้ว
โจวเผิงส่ายหน้าช้าๆ เห็นได้ชัดว่าปฏิเสธความเป็นไปได้นี้
“คำพูดของซางเทียนซั่ว…ผิดปกติ!”
โจวเผิงถลึงตาทั้งสองข้างทันที ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ฝึกการทำอาหาร แต่อยู่กับแฟน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
แต่ทำไมซางเทียนซั่วถึงพูดแบบนั้น
พอลองคิดดู โจวเผิงจึงหัวเราะเล็กน้อย “ซ่งจื่อเซวียนนะซ่งจื่อเซวียน นายฉลาดมากจริงๆ แต่ครั้งนี้…แผนของนายไม่ดีมากพอ”
เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาฮันเตอร์
ไม่นานนักอีกฝ่ายก็กดรับสาย และโทรศัพท์ก็อยู่ในมือของเลคริเซียส
“คุณโจว มีข่าวเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ”
“แน่นอนครับ คุณเลคริเซียส ผมบอกคุณแล้ว ผมกับซ่งจื่อเซวียนสนิทกัน สนิทกันมากจนยากที่คุณจะจินตนาการถึง”
โจวเผิงพูดอยู่ แต่ในใจของเขาตอนนี้กลับคิดว่าเงินหนึ่งแสนดอลลาร์ของเลคริเซียสกำลังจะเข้าบัญชีแล้ว
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น บอกผมมาว่าคุณรู้เรื่องอะไร”
โจวเผิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เหอะๆ ซ่งจื่อเซวียนยังคงเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม เขาเล่นแง่กับผมยกใหญ่ แต่ผมรู้ทันอยู่ดี
สองวันนี้เขาไม่ได้มาที่ร้านอาหารเลย ผมถามลูกศิษย์ของเขา บอกว่าเขาอยู่กับแฟนตลอด”
“หืม” เลคริเซียสขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าการแข่งขันอีกหกวันที่จะมาถึง เขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยงั้นเหรอ”
เรื่องนี้ทำให้เลคริเซียสแปลกใจมาก เพราะตัวเขายังฝึกทำอาหารและควบคุมไฟทุกวัน สำหรับซ่งจื่อเซวียนเขายังคงมั่นใจเหมือนเดิมว่าสามารถเอาชนะได้แน่นอน
เด็กหนุ่มคนนั้นมอบความประทับใจให้เขาอย่างลึกซึ้งจริงๆ ทั้งความมั่นใจ ความสุขุมรอบคอบ ทำให้เลคริเซียสยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น
“ฮ่าๆๆ ผมไม่เข้าใจทำไมคุณเลคริเซียสถึงคิดแบบนี้ เมืองจีนมีประโยคหนึ่งที่ว่ายิ่งปกปิดยิ่งเห็นได้ชัด”
“ผมไม่ชอบการพูดอ้อมค้อม หวังว่าคุณจะพูดกับผมโดยตรงนะ”
“สาเหตุที่ลูกศิษย์ของซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ เขาจะต้องเป็นคนเตี๊ยมไว้แน่นอน จุดประสงค์ง่ายมาก เพื่อปล่อยข่าวออกไปข้างนอก ว่าเขาอยู่กับแฟนทุกวันไม่ได้ฝึกการทำอาหาร คู่ต่อสู้ของเขาจะได้สบายใจ”
“อ๋อ เป็นแบบนี้เองเหรอ ทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ล่ะ”
“อาศัยจากที่ผมรู้จักซ่งจื่อเซวียนน่ะ” โจวเผิงตอบอย่างไวโดยไม่ต้องคิด แล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที “เด็กหนุ่มคนนี้ชอบอวดฉลาด แต่มองออกง่ายเกินไป”
เลคริเซียสพยักหน้าช้าๆ จากนั้นจึงทำท่าครุ่นคิด
แต่โจวเผิงก็ไม่ได้รีบร้อนพูดอะไร เขารู้ว่า เลคริเซียสต้องใช้เวลาพิจารณาถึงจะเชื่อคำพูดของตน
ในไม่ช้า เลคริเซียสจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณโจว ที่คุณพูดมาจริงใช่ไหม ผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจ ระหว่างพวกเราสามารถร่วมงานกันได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าผมถูกหลอก คุณอาจจะไม่ปลอดภัย”
“เชื่อผมเถอะคุณเลคริเซียส ผมอยากจะให้ซ่งจื่อเซวียนตายซะเดี๋ยวนี้เลย!”
ประโยคนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเลคริเซียสมากนัก เพราะนั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของเขา
เขาหวังว่าจะได้เห็นฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียน จากนั้นก็เอาชนะอีกฝ่าย สุดท้ายก็จับมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของตน กลายเป็นเครื่องผลิตเงินของตน
ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่ครั้งก่อนโจวเผิงแนะนำว่าสามารถใช้วิธีอื่นเพื่อเอาชนะซ่งจื่อเซวียนได้ไป
เลคริเซียสครุ่นคิด “คุณคิดว่าผมควรทำยังไง”
“ท้าแข่งกับซ่งจื่อเซวียนตอนนี้เลย ไม่ให้โอกาสเขาได้หายใจ ถ้าเขาไม่รับคำท้า ก็หาวิธีบีบเขาให้รับคำท้าให้ได้ ไม่อย่างนั้น…”
โจวเผิงหยุดไปสองสามวินาที “ไม่อย่างนั้น ผมคิดว่าหลังจากเจ็ดวัน อุปสรรคของคุณจะเยอะกว่าตอนนี้ครับ”
“ผมรู้อยู่แล้ว แต่สองสามวันนี้ผมกำลังศึกษาทักษะการทำอาหารขั้นสูงกว่าอยู่ ถ้าออกไปท้าดวลกับซ่งจื่อเซวียนเลยแล้วแพ้ ความเสียหายของผมจะมากกว่า” เลคริเซียสพูด
“เอ่อ…” โจวเผิงเบ้ปากอย่างดูถูก “ผมคิดว่าคุณควรลองพิจารณาให้ดีอีกหน่อย จะให้ซ่งจื่อเซวียนปิดประตูจำศีลเจ็ดวัน หรือว่า…อาศัยช่วงที่ปีกของเขายังไม่สมบูรณ์รีบเอาชนะเขา ต้องลองเทียบดูครับ”
“โอเค ผมจะลองพิจารณาคำพูดของคุณนะคุณโจว”
โจวเผิงพยักหน้า “ครับ คุณเลคริเซียส คุณคิดว่าข้อมูลที่ผมให้คุณวันนี้เป็นยังไงครับ”
“หืม คุณโจว คุณกำลังคุยเรื่องราคากับผมใช่ไหม” เลคริเซียสเอ่ยถาม
“อาจจะใช่ครับ แต่ถ้าคุณไม่ชอบ ผมไม่คุยก็ได้ครับ”
โจวเผิงมีความระมัดระวังพอสมควร เพราะเขาไม่อยากคว้าน้ำเหลว เวลานี้เขาจึงไม่อยากกระตุ้นความโกรธของเลคริเซียส
“ไม่ๆๆ คุณโจว คุณไม่เข้าใจความหมายของผม ผมหวังว่าจะได้คุยราคากับคุณ ไม่ได้อยากมีความสัมพันธ์อย่างอื่นกับคุณครับ”
ถึงแม้โจวเผิงอยากได้เงินจากเลคริเซียส แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
เพราะมีความหมายดูถูกกันอย่างชัดเจน อีกฝ่ายไม่อยากมีความสัมพันธ์ใดๆ กับเขา แสดงว่าเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรในสายตาของเลคริเซียสเลย
ทว่าไม่เป็นไร เขาไม่สนใจ เขาหวังว่าแค่ได้เงินหนึ่งแสนดอลลาร์เท่านั้นพอ เช่นนี้ก็จะมีเงินคืนเฮ่อเหยียนข่ายแล้ว
ในขณะเดียวกัน หากล้มซ่งจื่อเซวียนได้ เขาก็จะดีใจมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“หนึ่งแสนดอลลาร์ครับ คุณเลคริเซียส”
“เหอะๆ คุณโจว คุณคงคิดไม่ถึงว่าคนอเมริกันก็ต่อรองราคาเป็นเหมือนกันใช่ไหม”
โจวเผิงหัวเราะ “ถ้าคุณต้องการ ผมพาคุณไปที่ร้านของซ่งจื่อเซวียนได้เลยนะครับ หนึ่งแสน!”
ได้ยินประโยคนี้ เลคริเซียสก็นิ่งไปเล็กน้อย
“ตกลง ส่งเลขที่บัญชีของคุณมาให้ผมเลย เดี๋ยวผมจะโอนให้คุณ”
วางสายเรียบร้อย โจวเผิงก็ส่งเลขที่บัญชีไปให้เลคริเซียส ประมาณสามสี่นาที เงินหนึ่งแสนดอลลาร์ก็เข้าบัญชี
โจวเผิงพลันยิ้ม “คนเรามีชีวิตอยู่ต้องอาศัยมันสมอง เหอะๆ เฮ่อเหยียนข่ายนายมันโง่ ไม่ร่วมมือกับฉันนายนั่นแหละจะเสียหายมากที่สุด”
……………….
ในวิลล่า
ฮันเตอร์มองไปที่เลคริเซียส “หนึ่งแสนดอลลาร์ คุณเลคริเซียส ธุรกิจนี้มันยังไงครับเนี่ย”
เลคริเซียสไม่มองฮันเตอร์ แต่ยังคงมองไปข้างหน้าแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันไม่รู้ แต่…ถ้าไม่ได้ข้อมูลอะไรจากปากคนคนนี้ พวกเราก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
“อาจจะใช่ครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่าคนชื่อโจวคนนี้มีประโยคหนึ่งพูดได้ถูกต้องมาก จัดการซ่งจื่อเซวียน ไม่จำเป็นต้องแข่งเรื่องฝีมือการทำอาหาร”
เลคริเซียสทำเพียงยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร
ฮันเตอร์จึงยิ้มตาม “บางทีวิธีนี้อาจจะเหมาะสมกับแทแรนติโน”
“ถูกต้องฮันเตอร์ ก็แค่คนที่ไม่รู้อะไร โง่สุดๆ นายคงไม่คิดว่าฉันจะใช้วิธีเดียวกับแทแรนติโนใช่ไหม”
“เหอะๆ แน่นอนครับ แต่โจวเผิงคนนี้…ทำไมคุณไม่ลองดึงเขามาเป็นพวกล่ะครับ”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ” เลคริเซียสถามอย่างสนใจขึ้นมา
ฮันเตอร์เอ่ยยิ้มๆ “จากความเข้าใจของพวกเรา เขาเป็นผู้จัดการร้านอาหารจริงๆ และยังมีประสบการณ์การทำงานที่ไม่เลว อีกอย่าง…เขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างฉลาด”
“ฮ่าๆๆ ไม่หรอกฮันเตอร์ คนคนนี้โง่มาก ถ้านายมีเถ้าแก่อย่างซ่งจื่อเซวียนนายจะทำยังไงล่ะ”
ฮันเตอร์ลองคิดดู ยักไหล่แบมือสองข้าง ไม่พูดอะไร
“คนแบบนี้สามารถหักหลังคนรอบข้างได้ ฉันไม่ชอบคนแบบนี้ แต่…ก็พอร่วมงานกันได้”
“เหอะๆ เลคริเซียส คุณคืออัจฉริยะครับ”
……………….
ร้านสวนสวินเฟิง
พอตกเย็น ซ่งจื่อเซวียนก็ช่วยถังหย่าคิดบัญชี เพราะเขาอ่านหนังสือสูตรอาหารมาทั้งคืนแล้ว จึงต้องผ่อนคลายบ้าง
จนกระทั่งทุกคนเลิกงานแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินไปที่ครัวด้านหลัง และเขารู้ว่าการเดินเข้าครัวในครั้งนี้ อาจจะต้องอยู่อีกทั้งคืน
ครั้งนี้ ซ่งจื่อเซวียนเตรียมน้ำแข็งไว้เยอะมาก
ความจริงสิ่งที่เขาต้องฝึกฝนไม่ใช่แค่ทำเมนูโต้วหลงเหมินเท่านั้น ทว่ามีขั้นตอนหนึ่งอยู่ในเมนูนี้
ซึ่งก็คือต้องทำให้น้ำแข็งทั้งหมดละลายภายในสิบวินาที ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยฝีมือในการควบคุมไฟและพลังอย่างสมบูรณ์แบบ
หากฝึกขั้นตอนนี้สำเร็จ ถึงจะเป็นแก่นแท้ของการควบคุมไฟอย่างแท้จริง
ตั้งหม้อให้ร้อน ใส่น้ำแข็งลงไป ซ่งจื่อเซวียนเริ่มทำขั้นตอนนี้ซ้ำอีกครั้ง
และฟางรุ่ยที่เห็นอีกครั้งก็ไม่ได้ตกใจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เขาไม่เข้าใจว่าซ่งจื่อเซวียนกำลังทำอะไรอยู่ แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้ นายท่านรองกำลังฝึกทักษะการทำอาหารในระดับที่สูงขึ้น
สิบเจ็ดวินาที สิบหกวินาที สิบห้าวินาที…
เวลาสองชั่วโมง ซ่งจื่อเซวียนเหงื่อท่วมตัวแล้ว และสองสามครั้งสุดท้าย เขาใช้เวลาสิบห้าวินาทีจึงละลายน้ำแข็งได้ หากเร่งขึ้นอีก…ก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย
ซ่งจื่อเซวียนเช็ดเหงื่อ มองหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งตรงหน้า แล้วพ่นหายใจอย่างจนปัญญา
ต้องทำอย่างไรถึงจะทำได้ สิบวินาที…ยากเกินไปจริงๆ…
“นายท่านรอง ไม่พักก่อนเหรอครับ”
เห็นซ่งจื่อเซวียนเหงื่อโชกเต็มตัว ฟางรุ่ยสงสารจับใจ จึงรีบเอ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะอย่างขมขื่น “รุ่ยจื่อ ตอนที่พวกนายเป็นหน่วยรบพิเศษ ต้องฝึกฝนลำบากมากใช่ไหม”
ฟางรุ่ยพยักหน้า “ครับ นั่นคือช่วงเวลานรกมาก และผมอยู่หน่วยฝึกภายใน ไม่เพียงแต่ต้องฝึกฝนทุกวันเท่านั้น แต่ต้องฝึกพลังถู่น่าในระยะยาว ความหวังอันสูงสุดคือได้ลาหยุดพักผ่อน”
“เหอะๆ เทียบกับช่วงนั้นของนาย ฉันยังห่างอีกไกล รุ่ยจื่อ นายเคยเจอช่วงที่ยากจะบรรลุขีดจำกัดไหม”
ฟางรุ่ยครุ่นคิด พยักหน้าพูดว่า “มีครับ ตอนที่จะบรรลุกำลังภายในขั้นสูง ผมใช้เวลาเกือบหกเดือน แถมจริงๆ แล้วอยากยอมแพ้ทุกวัน”
“นายทำได้ยังไง”
ฟางรุ่ยพูดยิ้มๆ “กัดฟันครับ ผมจำได้ตอนที่ทดลองศักยภาพของกำลังภายในครั้งสุดท้าย ผมแทบจะไม่มีความคิดอะไรเลย ในหัวเต็มไปด้วยกำลังภายใน หลังจากสำเร็จแล้ว ผมก็นอนหลับเป็นตายไปสองวันเต็มๆ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสะดุ้งใจเล็กน้อย
จิตใจแน่วแน่ ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ฉันทำได้แล้วจริงๆ ใช่ไหม
อันที่จริงทุกครั้งที่ลองทำ ซ่งจื่อเซวียนก็ทุ่มพลังและจิตใจลงไปหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ความคิดล่ะ ความคิดเป็นสิ่งที่ควบคุมยากที่สุด และตอนนี้ยังคิดที่จะเอาชนะเลคริเซียส แบบนี้เรียกว่าคิดฟุ้งซานไหม
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงหันไปมองหม้อเหล็กเขียว
“ได้เลย ลองอีกที!” มองดูก้นหม้อที่ถูกทำให้ร้อนจนแดงตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างของซ่งจื่อเซวียนจ้องมองที่ก้นหม้อ ขจัดความคิดทุกอย่างจนหมดสิ้น
และในวินาทีนี้ ดูเหมือนเขากำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ เหงื่อหยดจากคางของเขาเหมือนกับน้ำฝน
ตรงที่เขายืนอยู่กระทั่งชื้นไปหมดแล้ว…
เขาเทน้ำแข็งลงหม้อทันที ถึงแม้จะวางนาฬิกาจับเวลาอยู่ข้างๆ แต่ก็ยังนับทุกวินาทีอยู่ในใจ
หนึ่ง สอง สาม สี่…แปด เก้า…
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตทั้งสองข้าง น้ำแข็งในหม้อส่วนใหญ่ละลายแล้ว ที่เหลือคือน้ำแข็งก้อนเล็กที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ…
ทันใดนั้น เขาจึงเค้นพลังทั้งหมดเพื่อเร่งเปลวไฟ เปลวไฟสูงขึ้นเลยพื้นผิวหม้อขึ้นมา
จงละลายเดี๋ยวนี้!
…………………………………………
……….