เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 292 ทดลองทำต่อ
ตอนที่ 292 ทดลองทำต่อ
……….
ไม่ใช่เจิ้งฮุยเท่านั้น สีหน้าของพ่อครัวคนอื่นก็คล้ายกัน
ในความรู้สึกของพวกเขา นี่ไม่ใช่กลิ่นของอาหารทั่วไปเลยด้วยซ้ำ และอยู่เหนือองค์ความรู้เรื่องความหอมของเมนูอาหารของพวกเขาไปแล้ว ถึงระดับที่ว่าเป็นกลิ่นหอมที่พวกเขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
แต่ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ในครัวด้านหลังแบบนี้มาตลอด ดมกลิ่นนี้ตลอดทั้งคืน เขาจึงไม่รู้สึกอะไรจริงๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มบางๆ “เมนูใหม่น่ะ อยากลองชิมกันไหม”
“ให้ตาย ชิมอาหารของนายท่านรอง ผมเองๆ!”
“นายถอยไปทางโน้นเลย! ฉันเอง!”
“แค่กๆ…” เจิ้งฮุยเดินไปข้างหน้า “พอแล้วๆ พวกนายอยู่ระดับไหนกันยังไม่รู้ตัวอีก ฉันลองชิมเองดีกว่า”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ จากนั้นจึงลองชิมด้วยตัวเอง
ต้องพูดว่า รสชาตินี้อร่อยกว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายอยู่หลายขั้น
และเนื่องจากวัตถุดิบใช้เนื้อปลาเป็นหลัก ความสดอร่อยของเนื้อปลามีมากกว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
แต่…ซ่งจื่อเซวียนมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ถูก
ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่เพราะน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไม่อร่อยพอ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่ามันควรสมบูรณ์แบบมากกว่านี้อย่างอธิบายไม่ถูก
ต้องรู้ไว้ว่า เมนูนี้สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ หากมีการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น เช่นนั้นต้องเป็นการก้าวกระโดดในเชิงคุณภาพแน่นอน
และประเด็นสำคัญอยู่ที่เขาสามารถละลายน้ำแข็งภายในสิบวินาทีได้หรือไม่
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เก็บอาหารไว้ให้พวกเจิ้งฮุย ก่อนจะเดินออกจากครัวด้านหลังไป
ทันทีที่เดินออกมา ก็ได้ยินเสียงเหมือนร้องตะโกนด้วยความตกใจดังมาจากด้านใน
“โอ้พระเจ้า ทั้งชีวิตนี้ของฉันไม่เคยกินปลาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
“อร่อยมากจริงๆ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กินของอร่อยแบบนี้ในโลกมนุษย์”
หลังจากเก็บตัวมาหนึ่งคืน ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง เพราะการเค้นกำลังภายในมาเร่งกำลังไฟ ทำให้เสียพลังงานของร่างกายไปไม่น้อย
เวลานี้เขารู้สึกหมดแรงไม่มากก็น้อย
บวกกับร้านสวนสวินเฟิงถึงเวลาทำงานแล้ว คนที่อยู่ในครัวมีเยอะขึ้น ซ่งจื่อเซวียนจึงนั่งขัดสมาธิบนโซฟา นั่งทำสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก
……………………..
ร้านอาหารร่ำรวย
เนื่องจากน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายหยุดขายมาสองสามวันแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงสั่งให้ซางเทียนซั่วย้ายกลับไปที่ร้านอาหารร่ำรวย
ใช่ว่าเขาไม่ชอบทำงานที่นี่ แต่ประเด็นคือซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยไม่อยู่ หลิงเข่อเอ๋อร์ก็ยังไม่กลับมา ข้างกายมีเพียงหยางกังกับโจวเผิง
ในสองคนนี้ คนหนึ่งเขาไม่ชอบเลยจริงๆ อีกคนหนึ่งก็นิ่งเหมือนท่อนไม้ ส่วนหูเจิ้นที่อยู่ในครัวก็ไม่สนิทกัน หลี่เหยียนนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หน้านิ่งเย็นชาตั้งแต่เช้าจรดเย็น เขาเห็นแล้วรู้สึกรำคาญมาก
แต่ไม่อาจขัดขืนคำสั่งของอาจารย์ ซางเทียนซั่วจึงทำอะไรไม่ได้ พอกลับมาก็ไปยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง เพื่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งวัน…
เวลานี้เอง โจวเผิงก็เดินเข้ามาในร้านอาหาร
ช่วงนี้ เนื่องจากหลิงเข่อเอ๋อร์ไม่อยู่ โจวเผิงจะมาสายหน่อยเกือบทุกวัน ตัวหลิงเข่อเอ๋อร์นั้นทำงานจริงจังแม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่ได้ร้องขอ จึงได้กลายเป็นความขยันในร้านอาหารไปแล้ว
บวกกับเมื่อวานตอนเย็นคุยกับเลคริเซียสจนดึก วันนี้โจวเผิงจึงมาสายกว่าเดิม ตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว
เมื่อเห็นโจวเผิงเดินเข้ามา หยางกังจึงมองเวลาเมื่อรู้ตัว “คุณโจว วันนี้มาเช้าไปหรือเปล่า ร้านเปิดแล้วเนี่ย”
โจวเผิงหัวเราะหนึ่งที เดินเข้าไปใกล้
“เมื่อวานดูละครดึกไปหน่อย ช่างเถอะ เข่อเอ๋อร์ก็ไม่อยู่ นายไม่ต้องขยันมากก็ได้”
อยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวย โจวเผิงนับว่าเกรงใจมากแล้ว ไม่เคยมีปัญหากับใคร เพราะเขาเข้าใจว่าตัวเองอยู่ที่นี่ไม่ต้องทำผลงานอะไร แค่ดูความเคลื่อนไหวของซ่งจื่อเซวียนเท่านั้นก็พอ
“ใช่ ผมน่ะไม่ขยัน แต่คุณไม่มาตอนเช้า งานในห้องโถงต้องให้เพื่อนคนอื่นทำ ดูไม่เหมาะสมหรือเปล่าครับ”
หยางกังพูดพลางกลอกตาใส่เขาหนึ่งที
โจวเผิงหัวเราะ จากนั้นยื่นบุหรี่ออกไป “เหอะๆ วันพรุ่งนี้ฉันจะมาเช้าหน่อยแล้วกัน”
“โอ๊ะ บุหรี่จงหวาเหรอ ใช้ได้เลยนะเนี่ย”
หยางกังรับบุหรี่จงหวามาจุด อารมณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน
“ช่วยเพื่อนเป็นบางครั้งน่ะ ได้เงินนิดหน่อยก็ยังดี” โจวเผิงเอ่ย
“โห มีความสามารถจริงๆ ทำอะไรมาบ้างล่ะครับ”
“เหอะๆ ไม่มีอะไร เพื่อนเลี้ยงหมาน่ะ เลยไปช่วยดูแลให้เป็นบางครั้ง ให้อาหารหมาอะไรพวกนั้น ง่ายจะตาย แล้วเขาก็มีเงิน ทำนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้แปดร้อยไม่ก็เกือบพันหยวน ถือว่าได้เงินค่าบุหรี่แล้ว”
หยางกังได้ยินดังนั้นจึงชูนิ้วโป้ง “สุดยอดๆ เช้าตรู่วันนี้คุณก็เลยไปสินะ”
โจวเผิงพยักหน้าเบาๆ “ก็แบบนั้นแหละ ร้านเราไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็ทำรายได้พิเศษได้แค่ตอนเช้ากับตอนเย็นเท่านั้นแหละ”
“ฮ่าๆ มีงานดีๆ แบบนี้แนะนำผมบ้างนะ พวกเราก็ขาดเงินเหมือนกัน”
“ไม่มีปัญหา อ้อใช่หยางกัง นายว่าเถ้าแก่ของพวกเราไม่มาหลายวันแล้ว เขาไปไหนเหรอ” โจวเผิงเอ่ยถาม
หยางกังสูบบุหรี่หนึ่งเฮือก “พวกเราไม่รู้หรอก เขาเป็นเถ้าแก่ พวกเราทำงานของตัวเองก็พอแล้ว มีหรือจะกล้าถามเรื่องอื่น”
“อืม ก็ใช่อยู่ แต่นายคิดบ้างไหมว่า…เถ้าแก่มีธุรกิจอย่างอื่นอีก”
“ไม่แน่ใจ นายท่านรองมีเงิน จะทำอะไรอีกก็ไม่แปลก”
โจวเผิงพยักหน้าช้าๆ จากนั้นมองซางเทียนซั่วทันที “นายท่านซาง ช่วงนี้นายท่านรองไปไหนน่ะ ทำไมไม่เห็นโผล่หน้ามาเลย”
ซางเทียนซั่วเหลือบตามอง “สืบข่าวให้มันน้อยๆ หน่อย เกี่ยวอะไรกับนายด้วย”
โจวเผิงรู้สึกโกรธอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนมีหมั่นโถวลูกโตติดอยู่ในคอ หายใจแทบไม่ออก!
เขาพูดอยู่ในใจว่าซางเทียนซั่วคนนี้ พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือไง ปากสุนัขพออ้าปากก็เอาแต่เห่าเรอะ
แต่เขายังอดทน เอ่ยขึ้นว่า “แหะๆ ไม่ได้สืบข่าวสักหน่อย แค่รู้สึกว่าช่วงนี้นายท่านรองไม่ค่อยมา คิดถึงเขามากเลยน่ะ”
“แม่ง นายจะดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ซางเทียนซั่วพูดดูถูกเขา
โจวเผิงรีบยิ้มเดินไปข้างหน้า ยื่นบุหรี่ให้ซางเทียนซั่วอีกหนึ่งมวน แล้วจุดบุหรี่ให้เขา
“นายท่านซางอย่าโกรธสิ ผมก็แค่พูดเฉยๆ นายท่านรองจะไปไหนใครก็ควบคุมไม่ได้ แต่พวกเราแค่คิดถึงเขาเท่านั้นเอง”
ได้ยินประโยคนี้ บวกกับโจวเผิงเป็นฝ่ายจุดบุหรี่ด้วยตัวเอง สีหน้าของซางเทียนซั่วจึงคลายความบึ้งตึงไปบ้าง
“นายพูดอะไรน่ะ หมายความว่ายังไง”
“เหอะๆ นายท่านซาง คุณไม่รู้ว่านายท่านรองเปิดร้านอาหารอีกหนึ่งร้านใช่ไหม”
ซางเทียนซั่วส่ายหน้า “เปล่านี่ อาจารย์ของฉันจะไปมีเวลาคิดแบบนั้นได้ยังไง ช่วงนี้อยู่กับอาจารย์แม่ทุกวัน ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นหรอก”
ความจริงที่ซางเทียนซั่วพูดเช่นนี้ เป็นเพราะซ่งจื่อเซวียนได้เตรียมตัวให้เขาไว้ล่วงหน้าแล้ว
โดยเฉพาะหลังจากหลิงเข่อเอ๋อร์กลับไป ซ่งจื่อเซวียนจึงกำชับเรื่องเหล่านี้กับซางเทียนซั่ว แต่หลักๆ คือให้ระวังโจวเผิง ทว่าสาเหตุนั้น ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดออกมาโดยตรง
เพราะเรื่องบางเรื่อง ซ่งจื่อเซวียนยังไม่มีหลักฐานร้อยเปอร์เซ็นต์ และ…ถึงโจวเผิงอยู่ในร้านก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามสำหรับเขา
กลับกัน การได้ส่งข่าวปลอมให้อีกฝ่ายเป็นบางครั้ง อาจจะได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจยิ่งกว่า
ได้ยินซางเทียนซั่วตอบเช่นนี้ โจวเผิงจึงพยักหน้า “ก็ใช่ นายท่านรองเป็นหนุ่มวัยยี่สิบ จะมีแฟนก็เป็นเรื่องปกติ ฮ่าๆๆ”
“ใช่สิ นายมีอะไรอยากรู้อีกไหม”
“หา? นายท่านซาง พูดอะไรกันครับ ผมก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย โอเค ผมไปทำงานแล้วดีกว่า”
พูดจบ โจวเผิงจึงเดินไปอีกทาง
ซางเทียนซั่วมองโจวเผิงด้วยแววตาดูถูกเล็กน้อย เขาไม่ชอบโจวเผิง ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นคนในร้านแล้ว แต่เรื่องในอดีตพวกนั้นเขายังไม่ลืม
หากจะพูดถึงความเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ว่าใครก็สู้ซางเทียนซั่วไม่ได้
……………………….
เนื่องจากหยุดขายน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายชั่วคราว เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนนั่งอยู่บนโซฟา ถังหย่าฉีจึงคิดว่าเขานอนหลับอยู่
เพราะรู้ว่าเมื่อวานเขาฝึกทำอาหารตลอดทั้งคืนแน่นอน จึงไม่ได้ปลุกเขา
แต่ถังหย่าฉีได้สั่งฟางรุ่ยไปบอกครัวให้ทำอาหารมาเผื่อ กลัวว่าถ้าซ่งจื่อเซวียนตื่นแล้วจะหิว
ถังหย่าฉีก็อายุประมาณยี่สิบปี อยู่ในบ้านถือว่าเป็นองค์หญิง เป็นคุณหนูคนหนึ่ง เธอใส่ใจคนอื่นขนาดนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรก
จนกระทั่งเวลาสี่โมงเย็นกว่าๆ ซ่งจื่อเซวียนจึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
หลังจากนั่งสมาธิมาครึ่งวัน ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง
และตอนนี้เขาพบว่า ในขั้นตอนนี้ จะดูเหมือนตนกำลังนอนหลับอยู่
ถึงแม้ความคิดขณะทำสมาธิจะยังดำเนินต่อไป แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีการพักผ่อนอย่างหนึ่ง ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าเล็กน้อย ก็ราวกับกำลังนอนหลับ ทว่าความรู้สึกแบบนี้สามารถปลุกสมองของเขาให้ตื่นได้ตลอดเวลา
เขาบิดขี้เกียจ แล้วจึงเห็นถังหย่าฉีที่กำลังคิดบัญชีอยู่ฝั่งตรงข้าม
ท่าทีจริงจังของถังหย่าฉีช่างงดงามจริงๆ และยังคงมีมาดของสาวน้อยน่ารักเหมือนเดิม
ถังหย่าฉีได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงหันมามอง “นายตื่นแล้วเหรอ ฉันจะสั่งให้พวกเขาเอาของกินมาให้นายนะ”
“เหอะๆ ไม่ต้องหรอก ฉันไม่หิว”
“ไม่หิวงั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน นายนอนหลับมาทั้งวันแล้ว จะไม่หิวได้ยังไง”
ถังหย่าฉีพูดพลางโทรไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างชื่นใจ ผู้หญิงคนนี้มีความเอาใจใส่จริงๆ
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็กินอาหารง่ายๆ แล้วเอ่ยถามว่า หย่าฉี กิจการวันนี้เป็นยังไงบ้าง“
“พอใช้ได้นะ ถึงจะไม่มีน้ำแกงห้าสาย แต่ลูกค้าประจำก็ยังมา ยังไงพวกเขาก็ชอบบรรยากาศของร้านสวนสวินเฟิง แค่รู้สึกเสียดายเท่านั้น”
“ถ้างั้นก็…กลับมาทำเหมือนเดิมเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“อย่าเลย นายกับเลคริเซียสตกลงว่าจะแข่งกันแล้ว ยังไงก็ควรเร่งฝึกให้หนักขึ้น อย่าทำให้เรื่องใหญ่ต้องล่าช้าเลย”
“เหอะๆ หย่าฉี เธอเป็นคนมีเหตุผลจริงๆ”
“เชอะ นายพักผ่อนต่อเถอะ อีกสักพักคนน่าจะมาแล้ว ฉันจะออกไปทักทายหน่อย”
พูดจบ ถังหย่าฉีก็เดินออกไป
ซ่งจื่อเซวียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นหนึ่งข้อความวีแชตของซางเทียนซั่ว
‘อาจารย์ วันนี้โจวเผิงมาถามว่าอาจารย์มีร้านอยู่อีกหรือเปล่า ผมไม่สนใจเขา ตอบไปแค่ว่าอาจารย์อยู่กับอาจารย์แม่ทุกวัน’
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ แล้วตอบเขาหนึ่งข้อความ
‘ตอบได้ดีมาก คอยสังเกตโจวเผิงต่อไป มีปัญหาอะไรค่อยติดต่อกัน’
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงจุดบุหรี่หนึ่งมวนเดินไปตรงหน้าต่าง มองทิวทัศน์ยามราตรีข้างนอก
จู่ๆ โจวเผิงมาถามแบบนี้…มีจุดประสงค์อะไร
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่มีความคิดอย่างอื่น ประเด็นหลักคือกลัวว่าจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ จากฝั่งเลคริเซียส
เพราะหากไอ้หมอนั่นอยากจัดการ จะต้องมีเชฟจีนบางคนต้องรับเคราะห์แน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือ ต้องหัดทำโต้วหลงเหมินให้บรรลุขั้นสุดยอดก่อน
จากนั้นค่อยศึกษาวิธีควบคุมไฟในหนังสือสูตรอาหารอีกที
ถึงตอนนั้นหากประสบความสำเร็จอยู่บ้าง รวมกับวิธีคิดของหวังเฉิงยง โอกาสที่จะเอาชนะเลคริเซียสได้ก็ถือว่าสูงมาก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงหยิบหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงขึ้นมาอ่านอีกที
ตอนนี้ครัวด้านหลังกำลังยุ่ง เขาจึงไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย จึงใช้เวลานี้อ่านหนังสือสูตรอาหาร พอตกเย็นเขาก็จะลองทำโต้วหลงเหมินต่อ
……………………………………………….
……….