เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 286 ผู้หญิงพูดแทรกทำไม!
ตอนที่ 286 ผู้หญิงพูดแทรกทำไม!
……….
จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นยืน ทำให้ผู้คนโดยรอบเริ่มตื่นตาตื่นใจ
แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่มีสถานะอะไร แต่ซ่งจื่อเซวียนลงมือในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของหยางต้าฉุยเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขาเห็นความสามารถบางอย่างของซ่งจื่อเซวียน
รวมถึงหลังจากมีการแข่งขันระหว่างซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อ หลายคนจึงรู้จักชื่อเสียงของซ่งจื่อเซวียน ทันใดนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มขึ้น
“ซ่งจื่อเซวียน? ให้ตายเถอะ เชฟที่เก่งที่สุดในเมืองตู้เหมินของเราปรากฏตัวแล้ว!”
“เก่งที่สุดงั้นเหรอ ซ่งจื่อเซวียนคนนี้คือใครน่ะ”
“นี่นายไม่รู้เหรอ ไม่นานมานี้มีการแข่งขันระหว่างซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อที่หน้าห้างจ้งอัน”
ชายคนนั้นส่ายหัว “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”
“โธ่เอ๊ย นายไม่รู้จักข้าวผัดจักรพรรดิของเมืองตู้เหมินเราเหรอ เขานี่แหละเป็นคนทำ”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันก็ต้องรู้จักสิ ใครจะไม่รู้จักข้าวผัดจักรพรรดิ ดังจะตาย!”
“ใช่แล้วๆ ครั้งนี้ควรค่าแก่การดูนะเนี่ย ยอดฝีมือจากเมืองตู้เหมินของเราปรากฏตัวแล้ว”
“แต่ก็ไม่แน่นะ ชาวต่างชาติคนนั้นรู้วิธีควบคุมไฟ ฝีมือเขาเก่งกาจเกินไปแล้ว!”
“เมื่อกี้นายไม่เห็นเหรอว่าซ่งจื่อเซวียนก็ควบคุมไฟได้เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เขา เถ้าแก่หยางคงถูกเผาไปแล้ว!”
ในกลุ่มคนมีการซุบซิบกันมากมาย แต่ถังหย่าฉีที่ยืนอยู่ในนั้นกลับรู้สึกกังวลขึ้นมา
เมื่อครู่ที่เห็นหยางต้าฉุยและเลคริเซียสเธอกังวลมากพอแล้ว คราวนี้จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็เสนอตัวจึงทำให้เธอรู้สึกใจคอไม่ดี
“ซ่งจื่อเซวียน นี่นายทำอะไรเนี่ย มาทำเป็นใหญ่อะไรตอนนี้ ไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย”
ถังหย่าฉีมุ่ยปากบ่น
ไต้ทงพูดจากด้านข้าง “หย่าฉี บางครั้งซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง คุณไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเมื่อกี้เหรอครับ พวกเขาต่างฝ่ายต่างตามหากันมาตลอด”
ไต้ทงเพียงแค่ส่ายหัวและไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างไรในความเห็นของเขานั้นชายและหญิงมีความคิดต่างกันในบางเรื่อง
อีกอย่างเรื่องเหล่านี้มีเพียงผู้ชายที่จะทำเท่านั้น
เลคริเซียสมองซ่งจื่อเซวียนจากบนลงล่างอย่างละเอียดและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เหอะๆ ซ่งจื่อเซวียน นายอยู่เหนือความคาดหมายของฉัน ดูแล้วนาย…ไม่เหมือนเชฟเลย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “นายก็เหมือนกัน ในสายตาฉันนายดูเหมือนโจรมากกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เลคริเซียสก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็เผยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าคนจีนอย่างพวกนายจะชอบพูดจาก้าวร้าวนะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “นายต่างหากที่ก้าวร้าวกับเรา”
“ฉันเหรอ เปล่านะ ฉันแค่อยากปรับปรุงอาหารจีนเลิศรสแล้วก็ทำให้มันดีขึ้นน่ะ” เลคริเซียสกล่าว
“ปรับปรุงอาหารจีนเลิศรส มีใครอนุญาตนายหรือยัง ถ้านายอยากจะทำ นายก็ค่อยๆ ปรับปรุงที่บ้านไปก็ได้ แต่ไม่ใช่มาทำให้คนบาดเจ็บมากมายที่นี่!” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างจริงจัง
ได้ยินประโยคนี้ หลายคนในที่แห่งนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
ใช่แล้ว พวกเขาล้วนคิดว่าการปรับปรุงอาหารจีนนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านี่จะกลายเป็นการบุกรุกไปโดยปริยาย
ให้ชาวต่างชาติอย่างคุณมาปรับปรุงอาหารจีนเหรอ ใครอนุญาต
ชั่วขณะหนึ่งมีหลายคนเห็นด้วยกับซ่งจื่อเซวียน
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากกลุ่มคน
“ถูกต้อง ใครอนุญาตให้พวกนายเข้ามา ไสหัวออกไปจากจีนซะ!”
“ใช่ ไสหัวออกไปจากจีน ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกนาย!”
เมื่อเห็นดังนั้น ฟางรุ่ยและไต้ทงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกลุ่มคนก็เริ่มคล้อยตามไปด้วย
ไม่นานก็มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้น
พวกเลคริเซียสที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนก็อับอายเล็กน้อย แต่ละคนกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะพูดอะไร
ในสหรัฐอเมริกานั้นสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพและประชาธิปไตย ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเชื่อว่าพวกเขามีเสรีภาพในการทำเรื่องทุกอย่าง รวมถึงการทำร้ายผู้อื่น
แต่ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีมารยาท ให้ความสำคัญกับประเพณี เช่น การไม่ปฏิบัติสิ่งที่ตนเองไม่ชอบกับผู้อื่น และปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เขาปฏิบัติต่อตนเอง แน่นอนว่าต้องทนไม่ได้กับการกระทำเช่นนี้
เลคริเซียสยกมือขึ้นให้ผู้คนโดยรอบเงียบลงแล้วกล่าว “ซ่งจื่อเซวียน นายเป็นคนที่ฮึกเหิมมาก ทำไมไม่ไปเป็นพิธีกรล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเยาะ “นายลนลานแล้วเหรอ”
“ฉันเหรอ ทำไมล่ะ ฉันยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ฉันชอบอาหารอร่อยและยิ่งชอบอาหารจีนที่อร่อย ฉันต้องปรับปรุงมันให้ได้!”
“ตามใจ แต่ฉันหวังว่านายจะรีบกลับบ้านไป นายจะปรับปรุงอะไรในครัวบ้านตัวเองก็ได้” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
เลคริเซียสส่ายหัวช้าๆ “ซ่ง ฉันไม่จำเป็นต้องต่อปากต่อคำกับนายที่นี่ ระหว่างเราต้องมีการแข่งขันอีกหนึ่งรอบ”
“ได้”
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก แม้ว่าเขาจะแต่งตัวธรรมดา แต่เขากลับก็มีรัศมีที่ทรงพลังมาก
มองไปยังซ่งจื่อเซวียน จู่ๆ เลคริเซียสก็มีความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ได้
เมื่อครู่เขารู้สึกว่าท่าทางบุคลิกของอีกฝ่ายดูไม่เหมือนเชฟชื่อดัง แต่ตอนนี้พลังที่แสดงออกมาจากกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ไม่กล้าสบประมาทอีกต่อไป
“ซ่งจื่อเซวียน วันนี้ฉันลงแข่งขันไปสี่ครั้งแล้ว ฉันคิดว่ามันไม่ยุติธรรมถ้าเราจะแข่งกันต่อ”
“แล้วนายคิดว่ามันควรจะเป็นยังไง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
อันที่จริงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกโล่งใจ
จากที่ฟังดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ได้วางแผนจะแข่งขันในวันนี้ หากการแข่งขันเกิดขึ้น ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ…
โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นความแข็งแกร่งของเลคริเซียส เขาไม่คิดว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้จริงๆ
เลคริเซียสใคร่ครวญ “ขอพักสักหน่อย อีกเจ็ดวันเราค่อยมาประลองกันดีไหม”
“แล้วแต่นาย” ซ่งจื่อเซวียนแสร้งทำเป็นใจเย็น
ซ่งจื่อเซวียนแสยะยิ้ม “ตามวัฒนธรรมของนายก็ไม่ต้องมาพูดอ้อมค้อมกับฉันแล้ว หลังเจ็ดวันนายกำหนดสถานที่ได้เลย”
“เลือกเป็นสถานที่ในร่ม ถึงตอนนั้นฉันจะลงคลิปแจ้งให้นายรู้ ทุกคนจะได้รู้การแข่งขันของนายกับฉัน เมื่อถึงตอนนั้น…เหอะๆ ระวังที่ยืนของนายในฐานะเชฟไว้ด้วยล่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนเมินคำพูดนั้นและหันไปทางหยางต้าฉุย
“เถ้าแก่ เรากลับกันก่อนเถอะ”
หยางต้าฉุยพยักหน้า พวกเขาเดินออกไปจากกลุ่มคน
จากนั้นคนที่มุงดูอยู่ก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป
เลคริเซียสยืนอยู่ที่เดิมและมองดูแผ่นหลังของซ่งจื่อเซวียนพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ
“เป็นคนที่แปลกจริงๆ”
แทแรนติโนเดินเข้ามาหาเขาแล้วเอ่ย “เลคริเซียส ทำไมนายไม่เอาชนะซ่งจื่อเซวียนวันนี้เลยล่ะ”
เลคริเซียสหันกลับมามองเขา “ทำไมน่ะเหรอ ยังจะถามได้ เพราะฉันไม่แน่ใจน่ะสิ ฉันคิดว่าไม่ชนะแน่ๆ”
“หืม นายไม่มั่นใจงั้นเหรอ”
“มั่นใจ? พอซ่งจื่อเซวียนปรากฏตัวมาก็ได้บั่นทอนมันไปแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ไม่ธรรมดาเหรอ เหอะๆ ฉันมองไม่ออกเลย”
“เพราะนายมันโง่ แทแรนติโน ฉันไม่อยากฟังนายพูดแล้ว ในหัวนายมีแต่หินหรือไง!”
เมื่อเห็นว่าเลคริเซียสหงุดหงิดเล็กน้อย แทแรนติโนจึงถอยออกไปและไม่พูดอะไรอีก
……………..
ซ่งจื่อเซวียนให้ฟางรุ่ยขับรถ ไปที่ร้านอาหารชุนเซียงกับพวกหยางต้าฉุย
หลังจากชงชา ซ่งจื่อเซวียน หยางต้าฉุย หวังเฉิงยงและถังหย่าฉีก็นั่งที่โต๊ะทั้งสี่ด้าน
หยางต้าฉุยถอนหายใจ “เฮ้อ ฉันแก่แล้วจริงๆ ยังจะไปเสนอหน้า แถมเกือบจะโดนชาวต่างชาติคนนั้นทำร้ายอีก”
หวังเฉิงยงได้ยินก็ยักไหล่และยิ้ม “ไม่ใช่แก่ แต่นายโง่เกิน ไม่มีคุณสมบัติการเป็นเชฟเลย!”
“พอเถอะเสี่ยหวัง อย่าขัดจังหวะเลย ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันนี้เถ้าแก่หยางจะลุกออกมา” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หยางต้าฉุยยิ้มอย่างจริงใจและกล่าว “เสี่ยหวังพูดถูก ผมมันโง่เขลา ถ้าวันนี้ไม่ได้คำชี้แนะจากคุณ เกรงว่าผมคงโดนสอยร่วงตั้งนานแล้ว”
“เอ่อ…นายไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย!”
ได้ยินหวังเฉิงยงพูดแบบนั้น ถังหย่าฉีก็เอ่ย “เสี่ยอย่างคุณนี่มันอะไรกันน่ะ เขาเกือบได้รับบาดเจ็บเลยนะ อีกอย่างนั่นก็เพื่อชื่อเสียงเชฟจีนของเรา ทำไมคุณถึงพูดประชดประชันอยู่เรื่อย!”
“หย่าฉี!” ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่ถังหย่าฉี
เพราะเขารู้ดีว่าสถานะของหวังเฉิงยงนั้นไม่ธรรมดา เมื่อก่อนเคยเป็นหัวหน้าเชฟร้านอาหาร และหลายปีที่ผ่านมาก็ได้สะสมเครื่องครัวจำนวนนับไม่ถ้วน
บางครั้งซ่งจื่อเซวียนก็หยอกล้อกับเสี่ยหวังได้ นั่นก็เป็นเพราะหวังเฉิงยงให้ความสำคัญกับเขา…
“ไม่เป็นไร สาวน้อยคนหนึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ!”
หวังเฉิงยงโบกมือ จุดบุหรี่หนึ่งมวนและเริ่มสูบ
“คุณ…”
ถังหย่าฉีอยากพูดอะไรอีกครั้ง แต่ซ่งจื่อเซวียนรั้งเธอไว้ เธอก็ได้แต่ต้องกลืนคำพูดนั้นกลับไป
ทว่าดูเหมือนสาวน้อยคนนี้จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เธอจึงพูดต่อ “ได้ เถ้าแก่หยางไม่มีคุณสมบัติมากพอ แล้วคุณคิดว่าใครที่ทำได้บ้างล่ะคะ”
หวังเฉิงยงเหลือบมองถังหย่าฉีแล้วมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “เขาไง”
ในขณะนั้นทุกคนล้วนมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
“ไอ้เด็กคนนี้มันฉลาดเหมือนกับลิง บวกกับที่เขายื่นมือช่วยเถ้าแก่หยางเมื่อกี้นี้ ไอ้หนู ฉันยังดูไม่ออกจริงๆ เรื่องที่นายทำได้มีไม่น้อยเลยนะ”
“ใช่แล้ว เมื่อกี้เจ้ารองช่วยฉันได้เยอะเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเขา วันนี้ฉันคงเสร็จมันตรงนั้นแน่!”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจ “แต่ถ้าพวกคุณพูดแบบนี้ ผมคงต้องบอกความจริง ผมไม่ได้มีความสามารถที่แสดงออกมาวันนี้เลย ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้แค่ช่วยเถ้าแก่หยางเท่านั้นเองครับ”
หวังเฉิงยงคลี่ยิ้ม “ของแบบนี้ไม่จำเป็นต้องตั้งใจเสมอไป บางครั้งก็ทำโดยไม่รู้ตัว มันเป็นพลังที่แฝงอยู่อย่างแท้จริง ไอ้หนู ยังมีเวลาอีกเจ็ดวันพอที่จะให้นายฝึกฝน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ยกับหวังเฉิงยง “เสี่ยหวัง ช่วยผมด้วยนะ”
หวังเฉิงยงหันหน้าไปแต่ไม่พูดอะไรและยังคงสูบบุหรี่ต่อไป
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจและหันไปตรงหน้าหวังเฉิงยง “นะๆ ผมขอคารวะเลย”
หวังเฉิงยงยังคงเมินเขาและหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ
หยางต้าฉุยจึงเอ่ยต่อ “เสี่ยหวัง คุณช่วยเจ้ารองมันหน่อยเถอะ นี่เป็นเรื่องเกียรติยศของตู้เหมินเรา”
ถังหย่าฉีที่อยู่ด้านข้างยังพูดอีกว่า “ถูกต้องค่ะ พูดตามตรงก็คือเพื่อรักษาเกียรติของจีน คุณนี่ก็เหลือเกิน ยังจะมีลับลมคมในไม่รู้จักเวล่ำเวลาอีก”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วและมองถังหย่าฉี “พอแล้วๆ พูดอะไรของเธอ”
“นาย…นี่ฉันพูดเพื่อนายนะ”
หวังเฉิงยงเหลือบมองถังหย่าฉี จากนั้นหันกลับมาพูด “ซ่งจื่อเซวียน ฉันสอนนายก็ได้แต่นายต้องดูแลผู้หญิงของนายให้ดีก่อน ไม่งั้นนายจะไม่ใช่แม้แต่ลูกผู้ชายด้วยซ้ำ แล้วจะเรียนกับผีอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนอึ้งไป ส่วนถังหย่าฉีก็ยิ่งโกรธจนหน้าแดง
“คุณ…ตาแก่นี่ คุณพูดถึงใครน่ะ”
หวังเฉิงยงเงียบและกระดิกหัวอย่างอิ่มเอมใจ
“เสี่ยหวัง เธอไม่ใช่ผู้หญิงของผม คุณพูดแบบนี้กับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานมันไม่เหมาะสมนะครับ”
“ไม่ใช่ผู้หญิงของนายเหรอ ถ้างั้นก็ยิ่งพูดถึงฉันไม่ได้แล้ว” หวังเฉิงยงพูดพร้อมกับโบกมือด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “เอาน่าๆ ฉันไม่ยุ่งวุ่นวายมากขนาดนั้นหรอก ถ้านายควบคุมเธอได้ ฉันก็จะสอนนาย ถ้าทำไม่ได้ก็ช่างเถอะ”
ถังหย่าฉีไม่พอใจ แต่เมื่อฟังจากคำพูดนี้แล้ว ตาเฒ่าคนนี้คงมีความสามารถบางอย่างจริงๆ และเธอก็กลัวว่าหวังเฉิงยงจะไม่สอนซ่งจื่อเซวียนจริงๆ
ดังนั้นจึงไม่แย้งเขาอีก
สีหน้าซ่งจื่อเซวียนดูกระอักกระอ่วนและมองไปที่ถังหย่าฉีทันที “ลูกผู้ชายกำลังคุยกันอยู่ เธอเป็นผู้หญิงมาพูดแทรกทำไม”
“ซ่งจื่อเซวียน นาย…”
“นายอะไรกัน ไปนั่งข้างๆ เลย!” ซ่งจื่อเซวียนตะโกนใส่!
……………………………………………….
……….