เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 280 ชามเมฆคราม
ตอนที่ 280 ชามเมฆคราม
……….
แม้จะเป็นยอดฝีมือ แต่ฟางรุ่ยก็มาจากหน่วยพิเศษระดับชาติ บวกกับการฝึกฝนกำลังภายในมาอย่างยาวนาน ในแง่ของพละกำลัง ข่งอวี้เซินยังเป็นรองอยู่มาก
ตอนนี้มือทั้งสองข้างของฟางรุ่ยพุ่งโจมตีข่งอวี้เซินทั้งซ้ายขวา ข่งอวี้เซินได้แต่เอี้ยวตัวหลบไปมาพลางก้าวถอยหลังไปด้วย
ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้เก่งกาจเหมือนตอนอยู่ในโถงร้าน แต่อยู่ในสภาพน่าอดสู
จนกระทั่งเขาถูกต้อนจนติดผนัง หลังของข่งอวี้เซินชนเข้ากับผนังอย่างแรง ฟางรุ่ยจึงหยุด
“ซ่งจื่อเซวียน นี่มันหมายความว่ายังไง” ข่งอวี้เซินพูด
ซ่งจื่อเซวียนจ้องตรงไปข้างหน้า “วันนี้ที่คุณมาถล่มร้านผม ไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างเหรอ”
“เหอะ นี่แกกำลังลองดีกับแก๊งขอทานงั้นเหรอ”
มุมปากของซ่งจื่อเซวียนกระตุกขึ้นเล็กน้อย “แก๊งขอทาน? แต่ไหนแต่ไรมาแก๊งขอทานแบ่งออกเป็นกลุ่มเสื้อผ้าสะอาดและกลุ่มเสื้อผ้าสกปรก แต่มีหัวหน้าแค่คนเดียว แล้วพวกคุณล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ข่งอวี้เซินก็ตกตะลึง ไม่คิดว่าซ่งจื่อเซวียนจะรู้เรื่องภายในของแก๊งขอทาน
ตอนนี้ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเขากับกู่เสี่ยวเป่าจะไม่ธรรมดาจริงๆ
“ซ่งจื่อเซวียน ฉันขอแนะนำให้แกบอกที่อยู่ของกู่เสี่ยวเป่ามา ไม่อย่างนั้น แก๊งขอทานจะตามจองล้างจองผลาญแกต่อไป!”
“งั้นเหรอ งั้นขอถามคุณหน่อยว่าหัวหน้าแก๊งขอทานของคุณเป็นใคร” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
ข่งอวี้เซินได้ยินดังนั้นก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ก็ต้องเป็นหัวหน้าเฉินล่างของเราไงล่ะ!”
“ฮ่าๆๆ งั้นขอถามอีกอย่าง แก๊งขอทานของพวกคุณจะขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งได้ยังไง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เอ่อ…”
เมื่อเห็นว่าข่งอวี้เซินพูดไม่ออก ซ่งจื่อเซวียนก็พูดต่อ “ต้องมีผู้อาวุโสทั้งแปดถึงเข้าร่วมประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าใช่ไหม แล้วเฉินล่างขึ้นเป็นหัวหน้าได้ยังไง”
“หึ ซ่งจื่อเซวียน แกไม่ได้เป็นสมาชิกของแก๊งขอทาน แกมีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องในแก๊งของเรา” ข่งอวี้เซินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นยืนและพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปมาในห้อง
“โอเค ในเมื่อคุณพูดแบบนี้…คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะให้ผมบอกที่อยู่ของกู่เสี่ยวเป่า”
“ฉันไม่ได้พูดในนามของตัวฉันเอง แต่ฉันพูดในนามของแก๊งขอทานของฉัน!” ข่งอวี้เซินกล่าว
“อ๋อเหรอ โอเค รุ่ยจื่อแจ้งตำรวจเลย ผมอยากรู้เหลือเกินว่าสังคมตอนนี้จะยอมให้แก๊งของคุณมีที่ยืนในสังคม และคอยรังแกคนหากินสุจริตแบบผมอยู่อีกหรือเปล่า!”
“ซ่งจื่อเซวียน อย่าเพิ่งได้ใจไป ถ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับแก๊งขอทาน แกจะรับมือไม่ไหว!” ข่งอวี้เซินพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “อย่างแรก ในสายตาของผม พวกคุณไม่ใช่แก๊งขอทาน แก๊งขอทานทำอะไร”
ข่งอวี้เซินไม่รู้จะตอบอย่างไร
“แก๊งขอทานก็คือกลุ่มขอทาน ดูจากชุดของพวกคุณ พวกคุณใช่ขอทานแน่เหรอ ถ้าไม่ใช่ขอทาน แล้วจะเรียกตัวเองว่าแก๊งขอทานได้ยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนไล่ต้อนจนข่งอวี้เซินพูดไม่ออก
“อย่างที่สอง จริงอยู่ที่กู่เสี่ยวเป่าเป็นเพื่อนของผม แต่การที่พวกคุณเริ่มต้นสืบข่าวจากร้านของผมมันงี่เง่าสิ้นดี ต่อไปอย่ามาก่อเรื่องในร้านผมอีกเป็นอันขาด ถ้ามาอีกผมจะไล่ให้ดู!”
ระหว่างที่ซ่งจื่อเซวียนพูด เขาก็ขึงตาจ้องมองข่งอวี้เซินไปด้วย
ความน่าเกรงขามที่แผ่ซ่านออกมา ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว
พูดถึงการต่อสู้ ซ่งจื่อเซวียนไม่ใช่ยอดฝีมือ แต่บรรยากาศในขณะนี้ ทำให้ข่งอวี้เซินถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ผ่านไปสักพัก ข่งอวี้เซินจึงเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ ซ่งจื่อเซวียน ฉันหวังว่าแกจะจำคำพูดวันนี้เอาไว้!”
“ผมก็หวังว่าคุณจะจำไว้ ว่าผมเป็นนักธุรกิจตามกฎหมาย ถ้ากล้ามาหาเรื่องอีก…ผมจะแจ้งตำรวจ!”
ข่งอวี้เซินจ้องมองซ่งจื่อเซวียน ในใจลุกโชนด้วยความโกรธแค้น แต่เนื่องจากฟางรุ่ยเป็นยอดฝีมือ เขาจึงไม่กล้าลงมืออีก
“กลับ!”
พูดจบ ข่งอวี้เซินก็หันหลังเดินออกจากห้องส่วนตัวไป ลูกน้องสองคนก็เดินตามออกไปด้วย!
เมื่อข่งอวี้เซินจากไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงหันไปหาหลี่เหยียน “เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม”
หลี่เหยียนส่ายหัว ไม่พูดอะไร
ทว่าซ่งจื่อเซวียนกลับหัวเราะออกมา “ทำไมวันนี้ถึงไม่ถามว่าเมื่อไรฉันจะแข่งกับนายล่ะ”
หลี่เหยียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน ต้องบอกไว้ก่อนว่ารอยยิ้มนั้นยากที่จะปรากฏบนใบหน้าแสนเย็นชาของเขา
“เมื่อกี้นายช่วยฉันไว้ ฉันไม่รู้จะพูดยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ก่อนที่นายจะลาออกจากร้านอาหารร่ำรวยนายก็ถือเป็นคนของฉัน ฉันไม่ปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายนายหรอก!”
“หมอนั่นฝีมือไม่ธรรมดา ถือว่าเป็นยอดฝีมือ”
ซ่งจื่อเซวียนมองไปทางฟางรุ่ย“แล้วเขาล่ะ”
หลี่เหยียนเหลือบมองฟางรุ่ย “เก่งกว่าหมอนั่นเยอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “รุ่ยจื่อลงไปช่วยที่ข้างล่างหน่อย”
“ครับนายท่านรอง!”
หลัฟางรุ่ยจากไป ซ่งจื่อเซวียนก็พูดขึ้น “หลี่เหยียน ตอนนี้ในวงการของตู้เหมิน มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พอจะได้ยินมาบ้างไหม”
หลี่เหยียนส่ายหน้า ผมยาวๆ ของเขาปลิวไปตามแรง
“ไม่เล่นโทรศัพท์เหรอ”
“ฉันเล่นโทรศัพท์ไม่ค่อยบ่อยน่ะ นอกจากตอนทำอาหารแล้ว เวลาอื่นก็คิดถึงแต่เรื่องอาหาร”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม หมอนี่มันคลั่งอาหารจริงๆ
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้หลี่เหยียนฟัง
ใบหน้าที่ดูเหมือนจะไร้ความรู้สึกของหลี่เหยียน ตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธ
“อาหารไม่มีพรมแดน การแข่งขันควรจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ใช้ความรุนแรงบีบบังคับ…ไอ้คนต่างชาติพวกนี้น่ารังเกียจจริงๆ!”
“นั่นสิ ท่านผู้เฒ่าหลิงอายุอานามขนาดนี้ ยังต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ พวกต่างชาติพวกนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว”
หลี่เหยียนขบริมฝีปากเบาๆ “นายท่านรอง ถ้าพวกนั้นมาที่ร้านอาหารร่ำรวยฉันจะจัดการพวกมันเอง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างมีเลศนัย “หือ? แต่เป้าหมายของนายไม่ใช่ท้าแข่งกับฉันหรอกเหรอ”
“พวกมันทำแบบนี้กับเชฟจีน ฉันทนไม่ได้หรอก ถึงจะแข่งกับนายท่านรอง แต่ก็ต้องจัดการพวกหมาขี้เรื้อนนี่ซะก่อน!” หลี่เหยียนพูดด้วยความโกรธ
ซ่งจื่อเซวียนมองหลี่เหยียนด้วยสายตาที่ชื่นชมยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าหลี่เหยียนเป็นแค่ท่อนไม้ ในหัวมีแต่เรื่องทำอาหารและการท้าประลอง
แต่ตอนนี้เขาพบว่าท่อนไม้ท่อนนี้ก็มีเลือดเนื้อ
บางทีอาจจะมาจากนิสัยของเขา หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตที่ร้านอาหารร่ำรวยในช่วงนี้
“คำพูดของนายแสดงให้ฉันเห็นแล้วว่าฉันไม่ได้เลือกคนผิด หลี่เหยียน ถ้าไอ้ฝรั่งพวกนั้นมาจริงๆ จำไว้ว่าให้ส่งหูเจิ้นไป ส่วนนายก็คอยดูไว้!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“หา? นายท่านรอง ทำไมล่ะ ถ้าตามที่นายบอก เชฟต่างชาติพวกนั้นไม่ใช่แค่เก่งเรื่องทำอาหาร แต่ยังควบคุมไฟได้ดี ยังไงหูเจิ้นก็แพ้สิ”
“นายควบคุมไฟได้เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามด้วยความประหลาดใจ
หลี่เหยียนพยักหน้า “ใช่!”
ซ่งจื่อเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าช้าๆ “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้”
“หา?” สายตาของหลี่เหยียนเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ “นายกลัวเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่!”
“ฮ่าๆ ฉันคิดว่าฉันเจอหัวหน้าที่เป็นลูกผู้ชาย แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิด”
ได้ยินดังนั้นซ่งจื่อเซวียนไม่ได้โกรธ แต่กลับหัวเราะออกมา
“ฉันกลัวว่าประเทศจะสูญเสียเชฟมือดีไปอีกคน ฉันไล่เชฟต่างชาติพวกนั้นได้แน่นอน แต่…เชฟชาวจีนจะต้องไม่ถูกกลั่นแกล้งโดยไม่มีเหตุผลอีกต่อไป
ตามที่เถ้าแก่ร้านหงติ่งฟางบอกไว้ เมื่อไรที่รับคำท้า ถ้าพ่ายแพ้ก็ต้องปิดร้าน ฉันปิดร้านอาหารร่ำรวยของฉันได้ แต่จะเสียเชฟไม่ได้ เข้าใจไหม”
ได้ยินคำตอบนี้ หลี่เหยียนรู้สึกเหมือนไฟลุกโชน หัวใจที่เย็นชาของเขาอบอุ่นขึ้นทันใด
จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ฉันเข้าใจแล้ว”
“ดี ที่จริงแล้ว วันนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาร้านอาหารร่ำรวย แต่ดันเกิดเรื่องก็ถือว่าโชคดีไป ก็เลยจะถือโอกาสอธิบายเรื่องนี้กับนาย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“นายท่านรอง แต่พวกแก๊งขอทาน…”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้มเยาะ “เรื่องแก๊งขอทาน…แน่นอนว่าต้องส่งให้แก๊งขอทานเป็นคนจัดการ นายไม่ต้องห่วง ฉันจัดการเอง”
หลี่เหยียนพยักหน้า
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยก็ออกจากร้านอาหารร่ำรวยไป และร้านก็กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ
“นายท่านรอง กลับไปที่สวนสวินเฟิงเถอะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องรีบ ยังไงก็คงกลับไปไม่ทันมื้อกลางวันอยู่แล้ว รุ่ยจื่อ ยังจำตึกเฉิงไฉได้ไหม”
“จำได้ครับ ที่ที่แก๊งขอทานใช้ พวกเราจะไปหาเสี่ยวเป่าเหรอครับ” ฟางรุ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เสี่ยวเป่าชอบทำตัวผลุบๆ โผล่ๆ หาตัวไปก็คงไม่เจอ ไปหาอวี่เหวินเซี่ยวดีกว่า เขาคงมีทางติดต่อเสี่ยวเป่า”
“เข้าใจแล้วครับ!”
ฟางรุ่ยขับรถตรงไปยังตึกเฉิงไฉ
เมื่อจอดรถเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินเข้าไป ตรงขึ้นไปยังชั้นสิบสาม
ปกติยามรักษาความปลอดภัยควรจะมองชุดของซ่งจื่อเซวียนแล้วถามอะไรสักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าเขาลงมาจากรถหรู จึงเกิดเปลี่ยนใจ
มาถึงชั้นสิบสาม ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าบริษัทการจัดการการลงทุนหวนอวี่ที่แก๊งขอทานบริหารนั้นดูดีขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ดูไฮโซขึ้นมาก แถมยังมีสาวสวยสองคนอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยเดินเข้ามา พนักงานต้อนรับก็รีบเดินเข้ามาหา “คุณผู้ชาย นัดหมายไว้หรือเปล่าคะ”
“ไม่มีครับ ผมมาหาอวี่เหวินเซี่ยว”
“เอ่อ…ถ้าไม่ได้นัดล่วงหน้า เข้าไปไม่ได้นะคะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ คุณช่วยแจ้งอวี่เหวินเซี่ยวให้ที บอกว่าผมมาพบเขา แซ่ซ่งครับ”
ได้ยินเช่นนั้น พนักงานต้อนรับสาวก็ยิ้มอย่างสุภาพ “ขออภัยค่ะคุณผู้ชาย ตอนนี้คุณอวี่ติดประชุม ไม่สะดวกพบแขกค่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเริ่มจะเบื่อหน่าย รอยยิ้มของพนักงานต้อนรับแม้จะดูสุภาพ แต่เขาก็ยังเห็นความดูแคลนที่แฝงในแววตา
“เอาล่ะ รุ่ยจื่อโทรหาอวี่เหวินเซี่ยวที”
“ครับ นายท่านรอง”
พนักงานต้อนรับที่ฟังทั้งสองคนคุยกันเริ่มคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนโรคจิต…
ดูจากชุดของพวกเขา ไม่น่าจะรู้จักกับผู้บริหารบริษัท แถมตอนนี้ยังโทรหา ไหนจะเรียกว่านายท่านรองอีก…
ที่สำคัญ คนที่ถูกเรียกว่านายท่านรอง ดูเหมือนว่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นเอง
แต่เมื่อหญิงสาวเห็นอวี่เหวินเซี่ยววิ่งออกมาจากห้อง เธอก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
นี่คือหัวหน้าใหญ่ของบริษัทเชียวนะ นอกจากตอนที่เธอเคยเห็นหัวหน้าใหญ่เคารพเด็กหนุ่มคนหนึ่งมากๆ ก็ไม่เคยเห็นอีก…
“นายท่านรอง มาไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนล่ะครับ ผมจะได้ลงไปรับเอง”
หญิงสาวมึนงงอีกครั้ง แม้แต่คุณอวี่ยังเรียกเด็กหนุ่มคนนี้ว่านายท่านรองงั้นเหรอ
เธอมองซ่งจื่อเซวียนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แววตาดูถูกเหยียดหยามเมื่อครู่หายวับไปทันที
“ไม่มีเวลาน่ะ มีเรื่องด่วน สะดวกคุยไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูด
อย่างไรเสียตอนนี้อวี่เหวินเซี่ยวก็กำลังประชุมอยู่ ซ่งจื่อเซวียนควรจะไถ่ถามสักหน่อย
อวี่เหวินเซี่ยวพูดโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว “สะดวกสิครับ ไปที่ออฟฟิศผมกันเถอะ”
เมื่อเห็นพวกเขาเดินผ่านไป พนักงานต้อนรับสาวก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “โลกนี้มันเป็นอะไรไปนะ หัวหน้าใหญ่เกรงกลัวเด็กกระจอก กับไอ้ยาจกนี่น่ะเหรอ”
พนักงานต้อนรับอีกคนพูดว่า “ฮ่าๆ ระวังหน่อย ทุกคนเป็นแขก อย่าแบ่งแยกชนชั้นสิ”
“เฮ้อ ก็จริง”
เมื่อเดินเข้าไปในออฟฟิศของอวี่เหวินเซี่ยว เขาก็รีบเทชาให้ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ย
“ไม่ต้องรีบหรอกอวี่เหวินเซี่ยว จะพูดสั้นๆ คราวนี้มาหาเสี่ยวเป่าน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เสี่ยวเป่า? เขาไม่ได้อยู่ที่ตู้เหมิน แต่เขาน่าจะกลับมาเร็วๆ นี้ครับ นายท่านรอง มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” อวี่เหวินเซี่ยวเอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ช่วงนี้กลุ่มเสื้อผ้าสะอาดกำลังตามหาเขา แถมไปที่ร้านของฉันแล้วด้วย”
อวี่เหวินเซี่ยวได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เร็วขนาดนี้เลยเหรอ หึ คงจะไปตามหาชามเมฆครามแน่ๆ”
……………………………………….
……….