เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 274 วอนโดนเตะ
ตอนที่ 274 วอนโดนเตะ
ในไม่ช้า หลิงเข่อเอ๋อร์ก็ซื้อยาต่างๆ ตามที่ซ่งจื่อเซวียนสั่งกลับมา
ซ่งจื่อเซวียนสอนหลิงเข่อเอ๋อร์ว่าต้มยาอย่างไร รวมทั้งเวลา กำลังไฟที่ได้ที่ เพราะหลิงเข่อเอ๋อร์ไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้
แต่สิ่งนี้ทำให้หลิงเข่อเอ๋อร์นับถือและเลื่อมใสอาจารย์ของตัวเองอย่างแท้จริง
ไม่ใช่แค่หลิงเข่อเอ๋อร์เท่านั้น แม้แต่หลิงเจิ้นและคนอื่นๆ ก็รู้แค่ว่าซ่งจื่อเซวียนทำอาหารเป็น แต่ไม่รู้ว่าเขายังเข้าใจการแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง
มีเพียงซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยเท่านั้นที่ยิ้มเล็กน้อย เหมือนกำลังพูดว่า นายท่านรองของพวกเราเก่งจะตาย ค่อยๆ ดูไปก็แล้วกัน
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงสั่งซางเทียนซั่วมาเป็นลูกมือ บดสมุนไพรให้ละเอียด แล้วใช้น้ำยาสมุนไพรเริ่มทาแผลให้ตู้ปั๋ว
แผลของตู้ปั๋วค่อนข้างหนัก นอกจากหมอจะให้ยากินแล้ว ยังให้ยาสำหรับใช้ภายนอกด้วย
แต่หลังจากซ่งจื่อเซวียนดูแล้ว ฤทธิ์ยาพวกนี้ได้ผลน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด ฟื้นฟูได้ช้ามาก และยังทิ้งรอยแผลเป็นในวงกว้าง
อย่างไรยาที่ผลิตเป็นจำนวนมากผ่านโรงงานต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งรวมถึงฤทธิ์ยา ต้องควบคุมให้อยู่ในขอบเขตหนึ่ง
แต่ซ่งจื่อเซวียนใช้ยาจากสีเขียวตามธรรมชาติเป็นพื้นฐาน ไม่ได้เพิ่มอะไรลงไป สามารถใช้เป็นยาภายนอกได้อย่างสบายใจ
ใช้น้ำยาสมุนไพรจากใบสะระแหน่เป็นหลักทาที่ผิวแขนของตู้ปั๋ว เขาก็เผยสีหน้าสบายใจออกมา
“คุณซ่ง ขอบคุณมากๆ นะครับ” ตู้ปั๋วหันหน้ามาพูดกับซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “ตู้ปั๋ว คุณไม่ต้องเกรงใจผม ความสัมพันธ์ของผมกับตระกูลหลิง…พวกเราถือว่าเป็นคนกันเองครับ”
เมื่อได้ยินคำว่าคนกันเองสามคำนี้ ตู้ปั๋วก็รู้สึกขอบคุณซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
อย่างแรก ในสายตาของเขา ซ่งจื่อเซวียนคือเพื่อนของหลิงเจิ้น นั่นก็คือผู้อาวุโสของเขา
และซ่งจื่อเซวียนยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงมากในวงการการทำอาหารของจีน ไม่ว่าจะอยู่มุมไหน เขาก็รู้สึกเหมือนได้รับความรักความเมตตาอย่างไม่คาดคิด
โดยเฉพาะคำว่าคนกันเองสามคำนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าได้กลายเป็นคนกันเองกับซ่งจื่อเซวียน ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
“คุณซ่ง ครั้งนี้ทุกคนในบ้านตระกูลหลิงสร้างความยุ่งยากให้คุณจริงๆ ครับ อาจารย์ของผมเขา…สบายดีไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “วางใจได้ ท่านผู้เฒ่าหลิงมีเข่อเอ๋อร์คอยดูแล ตอนนี้อาการบาดเจ็บของคุณค่อนข้างหนัก ต้องนอนรักษาตัวให้ดีก่อน ถึงจะดูแลปรนนิบัติท่านผู้เฒ่าหลิงต่อได้นะครับ”
“ครับ ผมเข้าใจ ผมจะรักษาแผลให้หายดี จุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม…ก็คือได้ดูแลอาจารย์ครับ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ใจสั่น จากนั้นเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“โอเคครับ ตู้ปั๋ว คุณนอนพักรักษาตัวให้ดี ช่วงสองสามวันนี้จะมีคนมาเปลี่ยนยาให้คุณ หากไม่มีอะไรผิดคาดอีก ประมาณหนึ่งสัปดาห์คุณก็ขยับตัวได้แล้ว แต่ต้องระวังแผลให้ดี อย่าให้ติดเชื้อนะครับ”
“เข้าใจครับ ขอบคุณคุณซ่งครับ คุณจะกลับตู้เหมินแล้วใช่ไหมครับ”
“ครับ ยังมีธุระทางโน้นต้องจัดการอีก แต่เข่อเอ๋อร์กับซางเทียนซั่วลูกศิษย์ของผมจะอยู่ที่นี่ มีเรื่องอะไรคุณสามารถสั่งพวกเขาทำได้ตลอดเลยครับ”
ตู้ปั๋วพยักหน้า “ผมจะจำไว้ครับ คุณซ่ง คุณระวังตัวด้วยนะครับ คนต่างชาติพวกนี้…มีเจตนาร้าย”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มแล้วหมุนตัวเดินออกไป
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงสั่งหลิงเข่อเอ๋อร์กับซางเทียนซั่วให้อยู่ที่นี่ชั่วคราว ส่วนตัวเองกับฟางรุ่ยก็กลับเมืองตู้เหมินก่อน
บนรถ ฟางรุ่ยเอ่ยว่า “นายท่านรอง ทำไมพวกเราไม่รอทางตำรวจจับตัวจงเทียนอวี่ก่อนแล้วค่อยออกจากหนานไถล่ะครับ”
“เหอะๆ เป็นฉากที่มีสีสันมาก แต่พวกเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น ร้านสวนสวินเฟิงยังรอพวกเราอยู่นะ และ…ฉันก็อยากเจอหน้าหวงฟาสักครั้ง”
“อยากจะเจอจริงๆ เหรอครับ นายท่านรอง อาจจะ…อันตรายนิดหน่อยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “มีอันตรายไงถึงต้องเจอ จุดประสงค์ของคนต่างชาติพวกนี้คือเล็งเป้ามาที่พ่อครัวของจีนชัดๆ หนีไม่พ้น…อย่างนั้นก็สู้ซึ่งหน้าไปเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางรุ่ยจึงเอ่ยยิ้มๆ “นายท่านรอง คุณพูดจาฉะฉานมาก ผมรุ่ยจื่อไม่เสียใจเลยที่ทำงานกับคุณ!”
“เหอะๆ แต่นายอย่าลืม ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องใช้สมองก่อน จากนั้นค่อยพูดเรื่องความกล้า ไม่อย่างนั้นจะทำผิดเอาได้!”
“ผมจะจำไว้ครับนายท่านรอง!”
……………………..
จงเทียนอวี่ยืนตรงหน้าต่าง เห็นซ่งจื่อเซวียนขับรถออกจากบ้านตระกูลหลิงไป เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“กลับแล้วเหรอ”
หลี่เฉิงที่อยู่ข้างหลังพูดขึ้นว่า “อะไรกลับแล้ว”
“คนน่ารำคาญคนนั้นไง”
จงเทียนอวี่พูดพลางจุดบุหรี่หนึ่งมวน รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง แต่…กลับไม่เข้าใจว่าทำไมซ่งจื่อเซวียนถึงกลับไปเวลานี้
หลี่เฉิงเอ่ยว่า “ใครจะไปรู้ กิจการที่ตู้เหมินน่าจะยุ่งมากมั้ง ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนตระกูลหลิง อยู่กับอาจารย์ตลอดไม่ได้หรอก”
จางเทียนอวี่ฟังแล้วจึงพยักหน้า “ที่นายพูดอาจจะถูก”
ไม่แน่อาจจะเป็นดั่งที่หลี่เฉิงพูด
นึกถึงตรงนี้ เขาจึงหันตัวไปเขี่ยบุหรี่ทิ้ง “ไปเถอะ พวกเราไปหาอาจารย์กัน”
“หา? ไหนเข่อเอ๋อร์บอกแล้วว่าไม่ให้ใครเข้าไปไม่ใช่เหรอ”
จงเทียนอวี่ได้ยินก็ชะงักไป แล้วพูดทันที “ไม่เป็นไร ลองไปดูก่อน”
จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินออกจากตึก ตรงไปที่ห้องของหลิงเจิ้น
นี่คือการออกไปข้างนอกครั้งแรกของจงเทียนอวี่หลังจากเมื่อวานตอนเย็น เมื่อซ่งจื่อเซวียนตรวจห้องครัวแล้ว เขารู้สึกเครียดจึงหลบอยู่ในห้องตลอด
ถึงขนาดขอความช่วยเหลือจากแทแรนติโน หวังว่าพวกเขาจะสามารถช่วยตนให้ออกจากบ้านตระกูลหลิงได้
แต่ซ่งจื่อเซวียนออกไปแล้วทำให้เขาโล่งใจ ดูท่าอีกฝ่ายอาจจะจับช่องโหว่อะไรไม่ได้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเท่าเดิมแล้ว
อย่างไรในสายตาของเขา ตัวเองทำอะไรไม่เคยพลาด ถึงแม้จะเป็นอุปกรณ์ทำครัวที่เคยใช้แล้ว ก็ต้องล้างสะอาดหลายรอบ
ต่อให้ซ่งจื่อเซวียนฉลาดแค่ไหน ก็ไม่น่าจะตรวจเจออะไร
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องหลิงเจิ้น ก็เห็นหลิงเข่อเอ๋อร์เดินออกมา
“พวกนายมีอะไร ใครสั่งให้พวกนายเข้ามา”
จงเทียนอวี่พูดว่า “เข่อเอ๋อร์ พวกเราอยากมาเยี่ยมอาจารย์”
“เยี่ยมอะไร ออกไปๆ!”
หลิงเข่อเอ๋อร์พูดพลางผลักพวกเขาออกไปข้างนอก
แต่หลิงเจิ้นพูดว่า “เข่อเอ๋อร์ ปล่อยพวกเขาเข้ามาเถอะ ไม่เป็นไร”
เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนได้แจ้งให้ทราบแล้ว หลิงเจิ้นจึงรู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้ปล่อยให้จงเทียนอวี่เข้ามา ความจริงเพราะอยากจะลดความหวาดระแวงของเขาลง
ได้ยินดังนั้น จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงจึงเดินไปข้างหน้า
“อาจารย์รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยังครับ”
หลิงเจิ้นหัวเราะเยาะใส่ “ดีขึ้นนิดหน่อย ช่วงนี้ฉันไม่สบาย ทำให้พวกนายต้องเป็นห่วง
ได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนจึงสบตากัน เหมือนไม่เข้าใจความหมายของหลิงเจิ้น
“อาจารย์พูดอะไรกันครับ พวกเราก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว” จงเทียนอวี่พูด
หากเป็นเมื่อวันก่อน หลิงเจิ้นได้ยินคำพูดนี้อาจจะรู้สึกซาบซึ้ง
ทว่าความจริงเป็นเช่นนั้น เมื่อวานตอนที่จงเทียนอวี่มาเยี่ยมหลิงเจิ้น หลิงเจิ้นยังอนุญาตให้อีกฝ่ายเรียกตนว่าอาจารย์
จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นเพราะหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับมาเป็นลูกศิษย์อีกครั้ง
แต่ตอนนี้ หลิงเจิ้นเศร้าใจมาก เพราะลูกศิษย์ที่ตนคาดหวังมากที่สุดคนนี้ กลับวางยาพิษหมายเอาชีวิตของตน
วินาทีที่เขารู้เรื่อง ความรู้สึกของลูกศิษย์และอาจารย์…ก็แตกหักไปอย่างสิ้นเชิง
หลิงเจิ้นพยักหน้าเล็กน้อย “อย่างนั้นก็เป็นห่วงต่อไปเถอะ หลี่เฉิง ช่วงนี้ได้ฝึกทำอาหารบ้างหรือเปล่า”
“เอ่อ…”
หลี่เฉิงไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ และคำตอบนั้นชัดเจนมาก คือไม่ได้ฝึก…
อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจการทำอาหารขนาดนั้น หลังจากฝากตัวเป็นศิษย์ก็รู้สึกทรมานเหมือนกัน
ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่ยินดีทำมากที่สุดก็คือเดินตามตูดจงเทียนอวี่
“ครับ อาจารย์ ผมจะรีบฝึกฝนแน่นอนครับ”
ขณะที่พูด ประตูก็ถูกผลักออก ซางเทียนซั่วเดินเข้ามา
ทันทีที่เห็นจงเทียนอวี่กับหลี่เฉิง ซางเทียนซั่วจึงขมวดคิ้วทันที
“แม่ง ใครสั่งพวกแกให้เข้ามา” เขาชี้ไปที่จงเทียนอวี่ “โดยเฉพาะแก ไสหัวออกไปเลย!”
จงเทียนอวี่ตกตะลึง ไอ้หมอนี่เพิ่งมาถึงตระกูลหลิง ก็ด่าเขาหนึ่งยกแล้ว ตอนนี้ยังจะด่าอีก
และยังพูดต่อหน้าหลิงเข่อเอ๋อร์ เขาจึงอดทนไม่ไหวแล้ว
“หึ แกเป็นใคร กล้าตะโกนใส่ฉันในบ้านตระกูลหลิง แกเป็นคนของตระกูลหลิงเหรอ ไสหัวกลับไปที่ของแกเลย!”
“อ้าวไอ้เชี่ย แกอยากโดนต่อยใช่ไหม”
ขณะพูด ซางเทียนซั่วก็พุ่งเข้าไป ยื่นมือจะจับจงเทียนอวี่
แต่ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยไม่อยู่ จงเทียนอวี่จึงไม่สนใจเหมือนกัน หลบไปอีกด้านหนึ่ง ง้างมือแล้วผลักมือของซางเทียนซั่วออกไป
“จะทำอะไร อยากจะลงไม้ลงมือใช่ไหม ฉันจะบอกแกนะ นี่คือห้องของอาจารย์ของฉัน ทางที่ดีที่สุดแกออกไปเดี๋ยวนี้!”
หลี่เฉิงช่วยพูดเสริมอยู่ข้างๆ “ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเราสองต่อหนึ่ง แกทำอะไรไม่ได้หรอก!”
ซางเทียนซั่วยักไหล่หัวเราะ “แค่ไอ้งั่งสองคนอย่างพวกแก หึ ไม่ยอมก็ลองดู”
ได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนก็ตกตะลึง สบตากันหนึ่งที
หากจะพูดถึงฝีมือการทำอาหาร จงเทียนอวี่เก่งก็จริง และยังสามารถควบคุมไฟในมือได้
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเตะต่อย พวกเขาไม่เก่งจริงๆ
ถึงแม้ซางเทียนซั่วจะเป็นลูกคนรวย แต่เคยพาลูกน้องต่อยตีมาไม่รู้กี่ครั้ง และหลังจากอยู่กับซ่งจื่อเซวียน เขายิ่งเจอสงครามความเป็นความตายอยู่หลายครั้ง
เมื่อเจอสองคนนี้ เขาจึงไม่รู้สึกอะไร
พอเห็นอีกฝ่ายไม่พูด ซางเทียนซั่วจึงพูดต่อ “แกไอ้ชาติหมา แกยังรู้ว่านี่คือห้องของอาจารย์ของแก แล้วยังรู้ว่าท่านผู้เฒ่าหลิงเป็นอาจารย์ของแกด้วยสินะ”
“ไร้สาระ ทำไมฉันจะไม่รู้!” จงเทียนอวี่พูด
“แกรู้เชี่ยอะไรละ!”
ประโยคนี้ ฟังแล้วงงมาก…
อย่าว่าแต่สองคนนี้เลย หลิงเข่อเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ยังอึ้ง พูดอย่างหน้าแดงว่า “เทียนซั่ว นายพูดอะไร ทำไมไม่น่าฟังขนาดนี้…”
หลิงเจิ้นกลับหัวเราะเยาะหนึ่งที ในสายตาของเขา จงเทียนอวี่สมควรโดนต่อยจริงๆ
เสียดายเขาอายุมากแล้ว หากย้อนกลับไปยี่สิบสามสิบปี เขาจะตบหน้าลูกศิษย์คนนี้แน่นอน
“ไม่น่าฟังงั้นเหรอ แบบนี้ถือว่าน่าฟังแล้ว!”
ขณะพูด ซางเทียนซั่วเดินไปหาจงเทียนอวี่ “แม่งเอ๊ย แกมีจิตสำนึกบ้างไหม ท่านผู้เฒ่าหลิงเป็นแบบนี้ได้ยังไงแกไม่รู้เหรอ แกจะเสแสร้งทำห่าอะไร!”
ซางเทียนซั่วชี้ไปที่จงเทียนอวี่พลางพูด จงเทียนอวี่ไม่เคยเจอแบบนี้ ได้แต่ถอยหลังรัว
จากนั้น ซางเทียนซั่วจึงมองหลี่เฉิง “แกมันก็คนโง่! เชื่อฟังแต่มัน แม่งเอ๊ย ไม่ช้าก็เร็วจะซวยไปด้วย
ถ้าแกมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ อย่าคิดจะหนีไปได้ ถ้าแกไม่มีธุระอะไร ก็รีบถอยไปทางโน้น อย่ามาเสแสร้งเป็นคนดีอยู่ตรงนี้!”
หลี่เฉิงโดนด่าจนงง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ…
จงเทียนอวี่เห็นดังนั้นก็ดูเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวแล้ว หรือว่าไอ้หมอนี่จะรู้เรื่องอะไร
“แกคิดว่าแกเป็นใคร แกมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันตรงนี้ ตอนนี้แกไสหัวออกไปจากบ้านตระกูลหลิงซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความ!”
หลิงเข่อเอ๋อร์รีบพูดทันที “จงเทียนอวี่ นายไม่มีสิทธิ์ไล่เขา เขาคือศิษย์พี่ของฉัน และเป็นแขกของบ้านตระกูลหลิง”
ซางเทียนซั่วส่ายหน้าหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆๆๆ แจ้งความงั้นเหรอ แกยังพูดออกมาได้ แต่คงทำให้แกต้องผิดหวัง ก่อนหน้านี้ ฉันแจ้งความเรียบร้อยแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ การตอบสนองอย่างแรกของจงเทียนอวี่คือเกิดเรื่องแล้ว เขาแทบไม่ต้องคิดเลย แล้วรีบวิ่งออกไปนอกประตู
ซางเทียนซั่วทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา “ไอ้สัต* ฉันอยู่ตรงนี้จะปล่อยให้แกหนีไปได้เหรอ แกมันวอนโดนเตะ!”
ซางเทียนซั่วพูดพลางวิ่งพุ่งออกไป เตะจงเทียนอวี่กระเด็นจนล้มกลิ้ง
…………………………………………….