เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 271 นายเป็นเจ้าของบ้านหรือไง
ตอนที่ 271 นายเป็นเจ้าของบ้านหรือไง
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของชาวต่างชาติพวกนี้คืออะไร
แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจคือ พวกเขาตั้งใจมุ่งเป้าไปที่เชฟชาวจีน และเป็นเชฟขั้นสูง
เรื่องที่ตนเองถูกพวกเขาจัดเข้าไปอยู่ลำดับเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกขอบคุณเช่นกัน
และคนพวกนี้น่าจะไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว ไม่อย่างนั้นในขณะที่เกิดเรื่องที่หนานไถ หวงฟาจะโทรหาตัวเองได้อย่างไร
อย่างน้อยก็สามารถอธิบายได้ว่าคนพวกนี้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่ที่ตู้เหมิน อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ที่ตงไห่
ส่วนสถานที่อื่นๆ มีหรือไม่ เขาไม่กล้ายืนยัน
………………
ตระกูลหลิง เมืองหนานไถ
หลิงเจิ้นนอนอยู่บนเตียง เพื่อรักษาความสงบ จึงมีแค่จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงคอยเฝ้าเท่านั้น
หลี่เฉิงหยิบผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้หลิงเจิ้น เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ พี่คิดว่า…อาจารย์เขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ถึงแม้ปกติหลี่เฉิงจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของหลิงเจิ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรลูกศิษย์กับอาจารย์ก็เหมือนพ่อลูกกัน เมื่อเห็นอาจารย์ป่วยหนักขนาดนี้ เขาจึงพูดจาสะอึกสะอื้นไปด้วย
จงเทียนอวี่มองเขา ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
“วางใจได้ อาจารย์ไม่เป็นอะไร”
ขณะพูด เขาก็เดินออกจากห้อง จุดบุหรี่หนึ่งมวนขึ้นสูบ
เขาสูบบุหรี่เต็มปอด แอบคิดอยู่ในใจ ปริมาณยาเยอะเกินไปหรือเปล่า คงไม่…ถึงกับคร่าชีวิตของไอ้แก่นี่ใช่ไหม
ขณะที่คิดอยู่ เขาพลางส่ายหน้า รู้สึกกระวนกระวายใจ
ต้องรู้ไว้ว่าหากหลิงเจิ้นยังมีชีวิตอยู่ จงเทียนอวี่จะมีโอกาสได้เข้าตระกูลหลิง แต่หากหลิงเจิ้นตาย ลูกชายของเขาต้องกลับมารับช่วงต่อในตระกูลหลิงแน่นอน
เท่าที่ทุกคนรู้คือลูกชายของหลิงเจิ้นไม่ได้ทำร้านอาหาร ดังนั้นเมื่อถึงตอนนั้นคนที่เรียนวิชาการทำอาหารเหล่านี้อาจจะต้องออกจากตระกูลหลิงไป
จงเทียนอวี่ก็เช่นกัน
ดังนั้น เขาต้องการให้สุขภาพของหลิงเจิ้นมีปัญหา แต่จะตายไม่ได้
เช่นนั้นแล้วตระกูลหลิงก็จำเป็นต้องมีคนคอยช่วยเหลือหลิงเจิ้น ตู้ปั๋วถึงแม้จะซื่อสัตย์ แต่ก็มีความสามารถที่จำกัด ถึงตอนนั้นควรเป็นเขาจงเทียนอวี่ที่ต้องออกโรง
ขณะที่กำลังคิดอยู่ จงเทียนอวี่ก็ได้ยินเสียงในห้อง เขารีบเขี่ยบุหรี่ทิ้งแล้วหันตัวเดินเข้าไปทันที
เมื่อเห็นหลิงเจิ้นกำลังคุยกับหลี่เฉิง ยังมีลมหายใจอยู่ จงเทียนอวี่จึงวางใจ
เขารีบเดินไปข้างหน้า “อาจารย์ อ้อไม่สิ ท่านผู้เฒ่าหลิง เป็นยังไงบ้างครับ”
หลิงเจิ้นเหลือบตามองเขาหนึ่งที พูดเบาๆ ว่า “ตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่เรียกอาจารย์เหมือนเดิมก็ได้ ไม่ต้องเปลี่ยน…”
“ครับ ขอบคุณครับอาจารย์”
เขามองออก ในใจของหลิงเจิ้นยังเห็นจงเทียนอวี่เป็นลูกศิษย์อยู่
ไม่ว่าอย่างไรครั้งที่แล้วหากไม่ใช่เพราะจงเทียนอวี่โวยวายอยากจะท้าประลองกับซ่งจื่อเซวียน จนสุดท้ายเกิดเรื่องใหญ่โต หลิงเจิ้นก็ไม่คิดจะบีบบังคับให้เขาออกจากสำนัก
เมื่อเทียบกับลูกศิษย์คนอื่นอีกสองคน หลิงเจิ้นชอบพรสวรรค์ของจงเทียนอวี่มากกว่า
“ตู้ปั๋วเป็นยังไงบ้าง” หลิงเจิ้นถาม
“อาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่เขา…” หลี่เฉิงทำสีหน้าลำบากใจ เห็นได้ชัดว่าพูดต่อไม่ไหว
จงเทียนอวี่จึงเอ่ยว่า “อาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่ค่อนข้างบาดเจ็บหนัก รอยไหม้ที่แขนข้างหนึ่งค่อนข้างใหญ่ เกรงว่า…ไม่ค่อยสู้ดีนัก”
หลิงเจิ้นได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาว น้ำตาไหลสองข้าง
ตู้ปั๋วอยู่กับเขามานานที่สุด ไม่ต่างจากลูกของตัวเองเลย
ตอนนี้เขาประลองกับเลคริเซียสแทนตน แต่กลับบาดเจ็บจนเป็นแบบนี้ หลิงเจิ้นรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
“เฮ้อ…ตู้ปั๋วเจ้าเด็กคนนี้…”
หลิงเจิ้นสูดลมหายใจลึกๆ “ไอ้คริเซียสอะไรนั่นไปไหนแล้วล่ะ”
“อาจารย์ หลังจากพวกเขาชนะศิษย์พี่ใหญ่ อัดคลิปวิดีโอเรียบร้อยแล้วก็ออกไป บอกว่าจะไปป่าวประกาศให้ทั่ววงการอาหารจีน ว่าเขาเอาชนะยอดเชฟทางเหนืออย่างอาจารย์ได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้น หลิงเจิ้นก็ส่ายหน้าช้าๆ “ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้ และก็หวังว่าเรื่องมันจะหยุดแค่เพียงเท่านี้ ไม่แผ่ขยายออกไปในวงการอาหารจีนอีก…”
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ ประตูก็ถูกผลักออก แม้หลิงเข่อเอ๋อร์จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล แต่ก็พุ่งไปหาหลิงเจิ้นในทันที
“คุณปู่ๆ…คุณปู่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ…”
บนใบหน้าอมชมพูของหลิงเข่อเอ๋อร์มีคราบน้ำตาไหลสองข้างนานแล้ว เธอเพิ่งจะใจเย็นตอนที่อยู่ในรถ แต่ตอนนี้กลับร้องไห้น้ำตาอาบหน้าอีกครั้ง
เห็นหลานสาวสุดที่รักของตัวเองกลับมา หลิงเจิ้นจึงยิ้มบางๆ “เด็กโง่ เธอมาทำอะไร ปู่ไม่เป็นไร เธอดูสิ ก็ยังสบายดีอยู่ไม่ใช่เหรอ”
จงเทียนอวี่ยิ้มเล็กน้อย “อาจารย์ ผมเรียกเข่อเอ๋อร์กลับมาเองครับ ตอนนั้นอาจารย์อาการไม่ค่อยดี ผมกลัวมาก เพราะงั้น…”
จงเทียนอวี่พูดพลางคุกเข่าลง “อาจารย์ลงโทษผมเถอะครับ”
หลิงเจิ้นถอนหายใจหนึ่งที “ช่างเถอะ ฉันก็คิดถึงเด็กคนนี้เหมือนกัน เธอมาแล้วฉันรู้สึกดีขึ้นมาก เด็กน้อย เธอคือยาดีของฉันเลยนะ”
หลิงเข่อเอ๋อร์เปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้มแย้มแทน “ดูคุณปู่สิ ยังจะพูดล้อเล่นอีก…ตอนที่จงเทียนอวี่บอกหนู หนูตกใจแทบตาย…”
จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงนานๆ จะมีรอยยิ้มกับเขาบ้าง
ตอนนี้ ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยก็เดินเข้ามาเหมือนกัน
เห็นสองคนนี้ จงเทียนอวี่จงใจมองด้วยแววตาเป็นศัตรูทันที ดวงตาคู่นั้นเหมือนใบมีดแหลมคมสองเล่ม พุ่งไปหาซ่งจื่อเซวียน
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเขา สภาพที่ดูไม่ได้ทุกวันนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือของซ่งจื่อเซวียน
“ท่านผู้เฒ่าหลิง คุณสบายดีไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปใกล้
หลิงเจิ้นพยักหน้าช้าๆ “ดีๆ ไม่เป็นอะไรมาก พวกนายมาแล้ว ดีจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเหมือนกัน แต่เมื่อมองใบหน้าของหลิงเจิ้นแล้ว เขากลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็ขยับเข้าไปใกล้แล้วใช้สามนิ้ววางบนเส้นชีพจรของหลิงเจิ้นทันที
“ซ่งจื่อเซวียนนายทำอะไรน่ะ!”
จงเทียนอวี่ตะโกนใส่ทันที
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจ ตรวจชีพจรให้หลิงเจิ้นต่อไป
หลิงเขอเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “จงเทียนอวี่นายจะตะโกนทำไมเนี่ย อาจารย์ของฉันก็ตรวจชีพจรให้คุณปู่ของฉันอยู่ไง นายมองไม่ออกเหรอ อาจารย์ของฉันเข้าใจวิชาแพทย์นะ”
“เขาเข้าใจวิชาแพทย์งั้นเหรอ พ่อครัวกับวิชาแพทย์เกี่ยวอะไรกัน รอให้อาจารย์ดีขึ้นหน่อยแล้วค่อยไปโรงพยาบาลเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินจึงหันหน้าไปมองจงเทียนอวี่ที่อยู่ด้านข้าง “รออาจารย์ของนายดีหน่อยแล้วค่อยไปก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว”
“นาย…นายหมายความว่ายังไง”
ซ่งจื่อเซวียนมองหลิงเข่อเอ๋อร์ “เข่อเอ๋อร์ ตอนนี้สั่งทุกคนให้ออกไปก่อน เธอคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา!”
หลิงเข่อเอ๋อร์พยักหน้าโดยไม่ถามเหตุผล “ค่ะ อาจารย์!”
พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นไล่จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงออกไป ส่วนฟางรุ่ยเดินออกไปเองเมื่อรู้ตัว
“เธอจะทำอะไร เข่อเอ๋อร์ เธอวางใจปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่กับอาจารย์ตามลำพังได้ยังไง”
“รีบออกไป เร็วสิ!”
หลิงเข่อเอ๋อร์ไม่สนใจ พูดพลางผลักสองคนนี้ออกไปด้วย
หรือจะพูดให้ถูกคือผลักจงเทียนอวี่ เพราะหลี่เฉิงค่อนข้างรู้ความมากกว่า แค่เห็นหลิงเข่อเอ๋อร์ไล่ เขาก็หันตัวเดินออกไปแล้ว
“เข่อเอ๋อร์ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเธอถึงเชื่อฟังเขาทุกอย่างเนี่ย”
“ไร้สาระ เขาเป็นอาจารย์ของฉัน รีบออกไปเร็ว!”
ปึ้ง!
นอกประตู หลิงเข่อเอ๋อร์ปิดประตูอย่างแรง
“จื่อเซวียน มีอะไร ทำไมต้องให้พวกเขาออกไปด้วยล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนทำสีหน้าหนักใจ เอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่าหลิง เข่อเอ๋อร์บอกผมว่าครั้งนี้คุณมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจถึงได้เป็นลม”
“อาจจะใช่ ไอ้สารเลวพวกนั้นทำร้ายคนในตระกูลหลิงของฉัน แถมยังทำร้ายตู้ปั๋วด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ครับ สิ่งที่ผมอยากจะพูดคือ อาการเป็นลมของคุณไม่ใช่เพราะเรื่องพวกนี้”
“หืม จื่อเซวียน นายหมายความว่ายังไง”
“ท่านผู้เฒ่าหลิง สุขภาพของคุณไม่ค่อยดีมาระยะหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใช่ น่าจะหนึ่งสัปดาห์แล้ว เข่อเอ๋อร์บอกนายเหรอ” หลิงเจิ้นพูด
“เปล่าครับ เส้นชีพจรของคุณบ่งบอกชัดเจนว่าช่วงนี้คุณน่าจะโดนพิษมาระยะหนึ่งแล้วครับ!” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“อะไรนะ โดนพิษเหรอ”
หลิงเจิ้นแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ท่านผู้เฒ่าหลิง บางทีเวลาอาจจะผ่านมานานจนคุณลืมไปแล้ว แต่ผมหวังว่าคุณจะลองนึกย้อนดูก่อน ว่าเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ทุกมื้อคุณกินอะไรบ้าง”
ได้ยินดังนั้น หลิงเจิ้นจึงพูดว่า “ไม่ต้องคิดเลย ฉันไม่ค่อยอยากอาหารน่ะ แทบจะกินข้าวต้มกับผักดองทุกมื้อ พ่อครัวก็เป็นคนทำ”
ขณะพูด หลิงเจิ้นพลันขมวดคิ้ว “จื่อเซวียน นายคิดว่าเป็นคนในห้องครัว…”
“ผมไม่กล้ารับรองหรอก ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ คุณมีอาการอะไรบ้างครับ”
หลิงเจิ้นครุ่นคิด แล้วพ่นลมหายใจหนึ่งที “รู้สึก…เวียนหัวเป็นบางครั้งน่ะ”
“รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนบ้างไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หลิงเจิ้นพยักหน้าทันที “มีสองสามครั้ง แล้วก็ครั้งหนึ่งที่อยากอาเจียนอย่างบอกไม่ถูก กลั้นจนถึงห้องน้ำไม่ไหวก็อาเจียนออกมาแล้ว”
“การมองเห็นล่ะครับ”
“การมองเห็น…บางครั้งก็รู้สึกตามัวๆ นะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า จากนั้นจึงเปิดคอเสื้อของหลิงเจิ้นออกเล็กน้อย เห็นผิวหนังค่อนข้างแดง สีหน้าก็เช่นกัน แต่ไม่ได้แดงระเรื่อเหมือนช่วงปกติของหลิงเจิ้น
“ท่านผู้เฒ่าหลิง ผมกล้ารับประกันว่าคุณโดนพิษครับ และเป็นพิษร้ายแรงมาก แต่เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยมาก ถึงได้ทำให้เกิดพิษเรื้อรัง”
หลิงเจิ้นไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองได้ยิน ถูกวางยาพิษในบ้านของตัวเองงั้นเหรอ
“จื่อเซวียน นายคิดว่ามีใครทำหรือว่าฉันกินอะไรผิดไป”
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยแววตาที่มั่นใจ “มีคนทำครับ!”
หลิงเจิ้นมีสีหน้าตื่นตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนทำร้ายเขา อย่างน้อย…เขาก็ทำดีกับทุกคนในตระกูลหลิง
หลายสิบปีมานี้ ทุกคนในบ้านตระกูลหลิงแทบจะไม่เคยโดนทำโทษเลย มีสองสามคนที่ลาออกไป แต่ไม่ได้โดนไล่ออก
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ท่านผู้เฒ่าหลิง ตอนนี้เรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องอื่น ผมหวังว่าคุณจะช่วยผมหน่อยครับ อีกสองสามชั่วโมงต่อไปนี้ ผมสามารถเข้าออกทุกพื้นที่ในบ้านตระกูลหลิงได้ เพราะผมอยากจะดูว่ายามาจากตรงไหนครับ!”
หลิงเจิ้นพูดทันที “ฉันให้สิทธิ์นี้กับนายเลยจื่อเซวียน!”
ขณะพูด หลิงเจิ้นจับมือของซ่งจื่อเซวียนไว้ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ช่วยสืบทีว่าใครทำร้ายฉัน”
“ผมช่วยแน่นอนครับ คุณพักผ่อนเยอะๆ นะครับ ผมจะทำอาหารเย็นวันนี้ให้เอง”
หลิงเจิ้นยิ้มอย่างชื่นใจ พลางพยักหน้า
ออกจากห้องของหลิงเจิ้นแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็สั่งให้หลิงเข่อเอ๋อร์เข้าไป และในช่วงนี้ห้ามทุกคนเข้าใกล้หลิงเจิ้น
หลิงเข่อเอ๋อร์ตระหนักได้ทันทีว่าเกิดเรื่องแล้ว เธอจึงขานรับในทันใด
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็พาฟางรุ่ยเดินตรงไปที่ห้องครัวของตระกูลหลิง
หลังจากถามพ่อครัวสองสามคนแล้ว จึงได้รับการยืนยันว่าคนที่ทำอาหารประจำวันให้ท่านผู้เฒ่าหลิงก็คือพ่อครัวที่ชื่อจางเฉิงกุ้ย และถือว่าเป็นพ่อครัวหลักของครัวตระกูลหลิง
จางเฉิงกุ้ยมองซ่งจื่อเซวียนเดินตรวจอุปกรณ์ทำครัวของตนรวมถึงวัตถุดิบอาหารที่ใช้ปกติทุกวันด้วยใบหน้างุนงง
จากเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว ทุกคนในบ้านตระกูลหลิงรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลหลิง จางเฉิงกุ้ยจึงไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ปล่อยให้ซ่งจื่อเซวียนตรวจไปเรื่อยๆ
“หัวหน้าเชฟจาง คุณทำข้าวต้มอะไรให้ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ”
“อ้อ ปกติท่านผู้เฒ่าหลิงจะกินโจ๊กข้าวฟ่าง โจ๊กโป๊ยเซียนกับโจ๊กผักครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า เอ่ยถามต่อว่า “ใช้หม้ออะไรครับ”
“ใช้หม้อดินหมดเลย คุณดูได้เลยครับ อยู่บนโต๊ะวางจานชามตรงนั้นครับ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไป มองหม้อดินที่ค่อนข้างใหญ่ทั้งสามใบ แล้วหยิบมาดมทีละใบ
“อันนี้ไว้ทำโจ๊กผักใช่ไหมครับ”
จางเฉิงกุ้ยอึ้งไป “ใช่ครับ คุณรู้ได้ยังไงครับ”
จางเฉิงกุ้ยทำสัญลักษณ์บนหม้อของตัวเอง ตามหลักแล้วมีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ เขาไม่รู้ว่าซ่งจื่อเซวียนมองออกได้อย่างไร
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะหนึ่งที ไม่พูดอะไรอีก
เวลานี้ จงเทียนอวี่พาหลี่เฉิงเดินเข้ามาที่ครัว พอเห็นซ่งจื่อเซวียนก็เดินปรี่เข้ามาทันที
“ซ่งจื่อเซวียน ใครสั่งให้นายเข้ามา ที่นี่เป็นครัวของตระกูลหลิง ครัวเป็นสถานที่สำคัญ ประโยคนี้นายน่าจะเข้าใจใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้ามองจงเทียนอวี่ “ขอโทษด้วย เกรงว่าตอนนี้ฉันต้องดูทุกพื้นที่ในบ้านตระกูลหลิง รวมถึงห้องครัวที่นายใช้โดยเฉพาะด้วย”
พอได้ยินประโยคนี้ จงเทียนอวี่ก็ขึงตาทั้งสองข้าง “ถือสิทธิ์อะไร ใครมอบสิทธิ์นี้ให้กับนาย นายคิดว่านายเป็นเจ้าของบ้านหรือไง”
…………………………………………..