เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 267 ตั้งข้อสงสัยเหรอ ใช่แล้ว
ตอนที่ 267 ตั้งข้อสงสัยเหรอ ใช่แล้ว
พนักงานในร้านสวนชุนสยาออกมาทีละคน หน้าร้านอาหารก็มีแถบป้ายสั่งปิดติดไว้อีกแล้ว ดึงดูดผู้คนให้เข้ามามุงดูไม่น้อย
เนื่องจากในจีนแผ่นดินใหญ่ หากมีคนถูกกฎหมายบีบบังคับก็ยังคุ้มค่าที่จะให้ความสนใจ
นี่เป็นการโจมตีร้านสวนชุนสยาอย่างหนักอีกครั้งโดยไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่ถูกสั่งปิดชะลอธุรกิจเท่านั้น แต่ยังถูกคนโดยรอบมองเห็นเป็นจำนวนมากอีกด้วย
เรื่องแบบนี้คงจะลือกันไปปากต่อปาก และคาดว่าอีกไม่นานจะมีคนรู้เรื่องนี้มากขึ้น
“โอ๊ะ เหอะๆ ปิดร้านอีกแล้ว ช่วงนี้คนพวกนี้แอบขี้เกียจบ่อยจัง” หยางกังพูดด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินเช่นนี้ หลายคนจากร้านอาหารร่ำรวยก็วิ่งไปที่ประตูและมองไปฝั่งตรงข้าม
ศัตรูตัวฉกาจที่สุดเห็นเขาพลาดท่า โจวเผิงรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ
‘นี่แม่งเรื่องอะไรกันวะ ความซวยยังไม่หมดอีกเหรอ!’
และในร้านสวนสวินเฟิง ซ่งจื่อเซวียนก็ได้รับสายจากหลิงเข่อเอ๋อร์เช่นกัน
“อาจารย์ โดนสั่งปิดอีกแล้วค่ะ พวกเขาก็ทำงานไม่ได้อีกแล้วน่ะสิ!”
“เหอะๆ ผลลัพธ์เยี่ยมจริงๆ เข่อเอ๋อร์ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เวลาที่เหลือในวันนี้เธอช่วยสังเกตท่าทีของโจวเผิงหน่อยนะ”
“หืม โจวเผิงเหรอ อาจารย์ เมื่อกี้เขาบอกว่าไม่สบายเลยขอลาป่วยไปแล้วค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เผยยิ้ม ไม่ผิดแล้ว ไอ้หมอนี่เกี่ยวข้องกับสวนชุนสยาแน่นอน!
“โอเคเข่อเอ๋อร์ เธอบอกทุกคนให้ทำงานตามปกติเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของอีกฝั่ง” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“เข้าใจแล้วค่ะอาจารย์”
“แล้วก็…คือว่าเข่อเอ๋อร์ ตอนนี้เธอไปทำเรื่องรับสมัครพนักงานในครัวผ่านเว็บไซต์จัดหางานให้หน่อยนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หลิงเข่อเอ๋อร์ชะงัก “หืม อาจารย์คะ ห้องครัวเราเต็มแล้วนะ ปกติก็มีหนึ่งทีมอยู่แล้ว ตอนนี้เพิ่มหลี่เหยียนกับซาง…กับศิษย์พี่ของฉันมาอีก ไม่มีที่ว่างแล้วมั้งคะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เธอไม่ต้องคิดมากแค่รับสมัครให้หน่อยก็พอ รับสมัครคนอื่นๆ ในทีมตามปกติ ยกเว้นแค่เชฟหลัก ถ้าเธอไม่เข้าใจก็ให้หูเจิ้นมาช่วยนะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะทำตามที่อาจารย์บอก”
หลังจากวางสายแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็จุดบุหรี่หนึ่งมวน
เขาคิดว่าเรื่องในครั้งนี้เป็นผลงานของเริ่นต้าหมินแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้
ดูเหมือนว่าเมื่อมีไพ่ที่ชื่อว่าอธิบดีลู่อยู่ข้างกายนั้นจะมีประโยชน์จริงๆ
จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดของซ่งอวิ๋นฮั่นขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นลางบอกเหตุในวันนี้
เส้นสายกับทางรัฐสำคัญมากจริงๆ นอกจากเป็นทั้งแรงผลักดันที่แข็งแกร่งแล้วก็ยังเป็นไพ่ตายที่ช่วยชีวิตได้
ในตอนนั้น เขายังค่อนข้างต่อต้านวิธีแบบนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพ่อจะพูดถูก
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปตรงหน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและดวงตาก็เปียกชุ่มโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเขาก็สูดบุหรี่เข้าปอดลึกๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
เวลานี้โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสายจากเสี่ยเฉิงปา
เสี่ยเฉิงปาบอกว่าคลับเฮาส์ตกแต่งภายในเสร็จแล้วและพร้อมเปิดกิจการ เขาจึงถามซ่งจื่อเซวียนว่าวางแผนจะเริ่มตอนไหน
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญแล้วถามไปว่า “เสี่ยปา ช่วงนี้กิจการคลับเฮาส์เป็นยังไงบ้างครับ”
ระยะนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่เพียงแต่ให้เสี่ยปาดูแลโรงอาบน้ำบนชั้นสองของหลงตูเท่านั้น แต่ยังให้มีส่วนร่วมในการบริหารคลับเฮาส์เล็กน้อยอีกด้วย
จุดประสงค์นั้นง่ายมาก นั่นคือเพื่อลดทอนอำนาจของเจ้าเฮยจื่อในคลับ เมื่อมีการแทรกแซงจากเสี่ยเฉิงปา อีกฝ่ายก็ไม่กล้าพูดเรื่องเพ้อเจ้อไปโดยสิ้นเชิง
“ก็ธรรมดาทั่วไปนะ น้องชาย ฉันคิดว่าถ้าทำคลับเรียบง่ายขนาดนี้คงทำเงินไม่ได้แน่ๆ”
“เอ๊ะ เหอะๆ เสี่ยปาอธิบายผมมาหน่อยสิครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“ไม่ให้ลูบไล้สาวน้อยที่มาร้องเพลงด้วย แล้วก็ทิปแพงๆ นั่นอีก ใครจะมาเที่ยวอย่างสบายใจกันได้ล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “เสี่ยปา คุณจะบอกว่า…ปกติแล้วคนที่มาคลับก็เพื่อสัมผัสอะไรพวกนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ประเด็นคือจ่ายเงินไปแล้ว ไม่ได้ลูบไล้ก็ถือว่าขาดทุนไง นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่ แน่นอนว่ายังมีพวกคนรวยด้วย ที่พอมาก็ทำตัวเสแสร้ง ไม่ได้ลูบไล้อะไรก็จ่ายบิลแล้วกลับบ้านไป”
“ก็ถูกต้องแล้วนะครับ เราต้องมีจุดยืนให้ลูกค้า คนพวกนี้แหละคือลูกค้าของเรา”
“แต่…” เสี่ยเฉิงปาลังเลเล็กน้อยและพูดว่า “เราจะดึงดูดกลุ่มคนพวกนั้นได้ไหมนะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ขึ้นอยู่กับว่าโรงอาบน้ำดูดีมีระดับพอหรือเปล่า เสี่ยปา เลื่อนวันเปิดกิจการออกไปหนึ่งสัปดาห์หน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะส่งทีมเชฟไปที่นั่น”
“ยังต้องเลื่อนไปหนึ่งสัปดาห์อีกเหรอ น้องชาย อันที่จริงมันไม่จำเป็นเลยนะ เรารับสมัครเชฟเลยก็ได้”
น้ำเสียงของเสี่ยเฉิงปาร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะซ่งจื่อเซวียนสัญญาว่าให้เงินปันผลหลงตูกับเขาห้าเปอร์เซ็นต์
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม “เสี่ยปา คุณมองว่านี่เป็นร้านอาหารเล็กๆ ของคุณเหรอ ที่รับสมัครเชฟแค่สามคนก็จบเรื่องแล้วน่ะ”
“หา? เอ่อ…”
เสี่ยเฉิงปาอับอายเล็กน้อย อย่างไรร้านอาหารของเขานั้นถึงจะบอกว่าเป็นธุรกิจ แต่ความจริงแล้วเป็นร้านที่ได้เพียงต้นทุนคืนมาทุกเดือนเท่านั้น
มีเพียงหนึ่งถึงสองร้านที่ยังทำกำไรได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากนัก
แต่เขาสัญญากับซ่งจื่อเซวียนไว้ว่าขอเพียงหลงตูเปิดกิจการเรียบร้อย เขาได้เงินมาแล้วก็จะจัดการขายธุรกิจทั้งหมดทิ้ง
เมื่อถึงเวลานั้น แหล่งรายได้ของเขาจะเป็นเงินปันผลจากหลงตูห้าเปอร์เซ็นต์ และเงินปันผลสามสิบเปอร์เซ็นต์จากร้านอาหารร่ำรวย
แค่เพียงสองอย่างนี้ก็พอที่จะทำให้เงินรายปีของเขาเกินสองล้านหยวนแล้ว ซึ่งทำให้เสี่ยเฉิงปาพอใจมาก
“เสี่ยปา โรงอาบน้ำมีขนาดใหญ่มาก เราจะต้องหาทีมงานครัวมืออาชีพ ผมจะดูแลห้องครัวเอง ส่วนคุณก็รับผิดชอบการรับสมัครหาพนักงานเสิร์ฟไปนะครับ”
“โอเคน้องชาย ฉันเชื่อฟังแก”
“จริงสิ…เสี่ยปา เวลามีเรื่องที่ต้องทำก็พยายามบอกเจ้าเฮยจื่อสักหน่อยนะ ถึงยังไงเขาก็ยังอยู่ที่นี่”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เหอะๆ โอเคน้องชาย ต่อไปฉันจะจำไว้”
หลังจากวางสายแล้ว เสี่ยเฉิงปาก็เริ่มลงมือทำเรื่องเหล่านี้
อันที่จริงตอนแรกเขาหวังว่าจะใช้อำนาจของซ่งจื่อเซวียนเพื่อให้มีที่ยืนในตู้เหมิน และหวังว่าจะเอาชนะหวงฟาได้
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อทำไปเรื่อยๆ นึกไม่ถึงว่าเจ้าพ่ออย่างเขากลับกลายเป็นลูกน้องของซ่งจื่อเซวียนไปเสียอย่างนั้น
หากเป็นเมื่อก่อนเสี่ยเฉิงปาคงไม่มีวันทำเด็ดขาด แต่ตอนนี้…
ข้อแรกคือเขายอมรับซ่งจื่อเซวียน ข้อสองคือซ่งจื่อเซวียนให้ผลประโยชน์กับเขามากพอจนถึงขั้นพึงพอใจ
ถึงจะเป็นลูกน้องก็ทำไปเถอะ อย่างน้อยซ่งจื่อเซวียนก็ยังเรียกเขาว่าเสี่ยปา
……………….
ณ ตึกจวี้เฟิง
“เสี่ยหวง คุณต้องลงมือแล้วนะครับ ไม่งั้นสวนชุนสยาจบเห่แน่” โจวเผิงมีสีหน้าอ้อนวอน
หวงฟามองเถียนเหวินคุ่ย “คุณเถียน นายจัดการเรื่องนี้ให้ที”
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า “โจวเผิง ร้านของนายโดนปิดแล้ว นายจะให้เสี่ยหวงทำยังไง”
“มาร่วมมือกันเปิดกิจการก่อนเถอะครับ ไม่งั้นต้องขาดทุนย่อยยับแน่ จากนั้นเราค่อยคิดหาทางทำลายร้านอาหารของซ่งจื่อเซวียนกัน”
เสี่ยหวงยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
เถียนเหวินคุ่ยเอ่ย “เหอะๆ ร่วมมือกันตอนนี้…เกรงว่าคงไม่ง่าย พูดตามตรงตอนแรกฉันให้รองประธานจากสมาคมอาหารจัดการกับซ่งจื่อเซวียน ผลก็คือตอนนี้รองประธานยังกินข้าวแดงอยู่ในคุกอยู่เลย”
ได้ยินประโยคนี้ โจวเผิงก็ตกตะลึง
เขาไม่ได้สนใจว่ารองประธานจะกินข้าวอะไร แต่ฟังความนัยของเถียนเหวินคุ่ย…แปลว่าเขาไม่อยากสนใจเหรอ
“คุณเถียน คุณพูดแบบนี้หมายว่าไง เดือนที่แล้วพวกคุณยังกินเงินปันผลจากสวนชุนสยาของเราอยู่เลยนะครับ!”
ตึง!
หวงฟาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ “ไอ้สวะ ที่ข้ากินเงินปันผลของแกก็ถือว่าไว้หน้าแกแล้ว แกพูดแบบนี้…คิดจะให้ฉันคายออกมางั้นเหรอ”
“ผม…เสี่ยหวง ผมจะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง แต่ถ้าคุณไม่สนใจก็ไม่มีใครสนใจพวกเราแล้วนะครับ…”
โจวเผิงขอร้องเฮ่อเหยียนข่ายอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะยอมลงทุนร้านอาหารแห่งนี้
การเช่าร้าน ตกแต่งร้านและรับสมัครพนักงานต้องใช้เงินเยอะมาก ถ้าต้องจ่ายค่าปรับอีกคงหาคำอธิบายไม่ได้จริงๆ
เขากินเงินที่นั่นไปมากมายก็จริง แต่ก็ไม่พอที่จ่ายคืนหรอกนะ…
หวงฟาเหลือบมองโจวเผิง “ให้ฉันสนใจเรื่องพวกนี้เหรอ ตอนนี้แม้แต่กิจการข้าก็ยังร่อแร่เลย”
“แต่…”
“แต่อะไรของแก ไสหัวไปซะ!” หวงฟาเบื่อที่จะฟังจึงชี้หน้าโจวเผิงแล้วตะคอกใส่
“ผม…”
แม้ว่าโจวเผิงจะไม่พอใจ แต่เพราะความน่าเกรงขามของหวงฟา เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงหันหลังเดินออกไปจากห้องทำงาน
ออกมาจากตึกจวี้เฟิงแล้ว โจวเผิงก็มองดูท้องฟ้าและเห็นฝนตกปรอยๆ
ฝนไม่ได้ตกหนัก แต่ก็ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่ม ลมหนาวพัดผ่านมาโจวเผิงก็ตัวสั่นเทา
ผมที่เปียกปอนของเขาตกลงมา ใบหน้าของโจวเผิงดูหมดหวังและโดดเดี่ยว
ในเวลานี้เขาเห็นรถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง
ฝั่งที่นั่งข้างคนขับเปิดประตูออกมา คนที่ก้าวลงมาคือชายผิวดำร่างกำยำ เขารีบกางร่มและเปิดประตูด้านหลังทันที
ชายชาวตะวันตกสวมชุดสูทสีกากีก้าวออกมาจากประตูด้านหลัง เมื่อเปรียบเทียบรูปร่างแล้ว เขาไม่ได้ตัวเล็กไปกว่าชายผิวดำเลยสักนิด
ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาตรงหน้าแล้วพัดไปมาราวกับว่าเขาเกลียดกลิ่นที่ปะปนมาในอากาศ
เขาเงยหน้ามองตึกจวี้เฟิง เผยสายตาดูถูกเหยียดหยามและเดินเข้าไปทันที
ชายที่ถือร่มก็ถือร่มให้จนกระทั่งเขาเข้าไปในตึก
เห็นฉากนี้โจวเผิงก็ส่ายศีรษะ “คนที่เสี่ยหวงติดต่อด้วยก็คือคนพวกนี้ แล้วจะไปสนใจฉันทำไม เหอะๆ ต้องโทษที่ตอนแรกฉันมั่นหน้าเกินไปและเชื่อว่าจะได้ร่วมมือกับเขา…”
……………………
ภายในสำนักงาน
หวงฟาจิบชา “เหวินคุ่ย นายคิดว่าซ่งจื่อเซวียนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่กล้าฟันธง แต่เสี่ยครับ ถ้าปะติดปะต่อเรื่องพวกนี้ดูเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหมครับ”
หวงฟาพยักหน้า “ใช่แล้ว เริ่มต้นที่ร้านอาหารร่ำรวยเปิดกิจการ ต่อมานายก็ถูกจับ เฉิงเทียนเย่าถูกสอบสวน มาตอนนี้ ร้านสวนชุนสยาก็โดนเจ้าหน้าที่ของรัฐตรวจสอบจนต้องปิดร้าน…”
“เสี่ยครับ ซ่งจื่อเซวียนแข็งแกร่งกว่าที่เราจินตนาการไว้เยอะเลยนะครับ”
หวงฟาได้ยินเช่นนี้ก็เอนหลังและถอนหายใจ “แม่งเอ๊ย ตอนนั้นฉันประเมินศัตรูต่ำไป”
“หรือบางที…เราไม่ควรจะสร้างศัตรูกันนะครับ”
หวงฟาชะงักเมื่อได้ยินประโยคนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่กลับพยักหน้าช้าๆ
หลังจากตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง หวงฟาก็พูดกับตัวเองว่า “อำนาจ…คงไม่น่าจะเกี่ยวกับอายุมั้ง…”
“หืม” เถียนเหวินคุ่ยชะงักไป
ตอนนี้เองก็มีเสียงเคาะประตูสองสามครั้งดังขึ้น มีชายชุดสูทสีดำคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา “เสี่ยครับ มีชาวต่างชาติสองคนอยากจะพบกับเสี่ยครับ”
หวงฟาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและมองเถียนเหวินคุ่ย ดูเหมือนในดวงตาของอีกฝ่ายก็มีความสงสัยเช่นกัน
ก่อนที่หวงฟาจะเอ่ยปาก ชายชาวตะวันตกในชุดสีกากีก็เดินเข้ามาในห้องทำงาน “คุณหวงฟาใช่ไหม ผมชื่อแทแรนติโน เป็นเกียรติมากที่ได้พบคุณ”
ชายคนนั้นพูดพร้อมกับเดินไปหาหวงฟาและยื่นมือออกไป
หวงฟาไม่ค่อยได้ติดต่อกับชาวต่างชาติมากนัก โชคดีที่อีกฝ่ายพูดภาษาจีนได้ แม้จะเข้าใจยากแต่เขาก็ยังฟังออก
จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและยื่นมือออกมา “พวกคุณคือ …”
“เหอะๆ พวกเรามาที่นี่เพื่อคุยเรื่องการร่วมงานกับเสี่ยหวงโดยเฉพาะน่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ หวงฟาก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องออกไป
“เจ้านายของผมหวังว่าจะเปิดร้านอาหารมิชลินในจีนแผ่นดินใหญ่ได้ แต่ก่อนหน้านั้นเขาอยากเอาชนะเชฟชื่อดังทุกคนในจีนให้ได้เสียก่อน เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการโปรโมตร้านอาหารมากทีเดียว”
หวงฟาคลี่ยิ้ม “พวกคุณเหรอ เปิดร้านอาหารมิอะไรนะ”
“ร้านอาหารมิชลิน”
“เอาล่ะ ไม่ว่าจะเป็นร้านอะไรแต่พวกคุณต้องการมากไปหรือเปล่า จะเอาชนะเชฟชื่อดังในจีนทุกคนเลยเหรอ”
ฟังจากน้ำเสียงของหวงฟา แทแรนติโนก็ยิ้มออกมา “ทำไมเหรอ ดูเหมือนว่า…คุณหวงกำลังสงสัยในศักยภาพของเจ้านายผมอยู่นะ”
หวงฟาพยักหน้า “ก็เป็นอย่างนั้นแหละ”
น้ำเสียงของแทแรนติโนทำให้หวงฟาไม่พอใจอย่างชัดเจน หวงฟาพูดจบแล้วก็นั่งลง กระทั่งวางท่าทีคร้านจะพูดต่ออีก
………………………………………………..