เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 263 ซานหู่ซีฟู้ด
ตอนที่ 263 ซานหู่ซีฟู้ด
บริษัทชิงอวี่
ซ่งจื่อเซวียนนั่งพิงเก้าอี้พักสายตาอยู่ในห้องประชุม
ตอนนี้ซ่งอีหนานกำลังคุยธุระอยู่ เขาก็ไม่ได้ถือวิสาสะเข้าห้องทำงาน แต่มารอที่ห้องประชุมแทน
แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เสียเวลาเปล่า ใช้ช่วงเวลานี้ทำสมาธิเพิ่มพลังถู่น่าเหมือนเคย
สองสามวันนี้สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนทำมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ สถิติสูงสุดของเขา จากไม่นอนหนึ่งคืน ตอนนี้ไปถึงขั้นไม่หลับไม่นอนสองวันสองคืนได้
จนค่ำวันที่สามถึงรู้สึกง่วง
นี่ก็บ่งบอกว่า ร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงศักยภาพจากการฝึกตนแบบนี้แล้ว อีกทั้งวิธีอย่างพลังถู่น่าหรือการทำสมาธิก็เหมาะสมมากอย่างเห็นได้ชัด
รอครู่หนึ่งก็เห็นประตูห้องประชุมเปิด ซ่งอีหนานถือแฟ้มเอกสารเดินเข้ามา
“เอ๊ะ พี่ ต้องเป็นทางการขนาดนี้เลยเหรอ เจอน้องชายยังจะพกแฟ้ม…” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไสหัวไปเลย เดี๋ยวฉันต้องออกไปเนี่ย มีเรื่องอะไรก็พูดมา จริงสิ รถเป็นยังไงบ้าง ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” ซ่งอีหนานพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เห็นได้ชัดว่า เธอยังโกรธซ่งจื่อเซวียนอยู่
“แหะๆ พี่ ทำไมพี่ถึงขี้งอนอย่างนี้ล่ะ เรื่องนั้นยังไม่ผ่านไปอีกหรือไง”
“เพ้อเจ้อให้มันน้อยๆ หน่อย รีบพูดมาเร็วเข้า”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “พี่ พวกตลาดที่อยู่ใต้บริษัทเรามีปลาฉือขายไหม”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานก็ชะงัก มองเจิ้งอวี่แวบหนึ่ง
เจิ้งอวี่ครุ่นคิด พูดว่า “เหมือนจะไม่มีนะครับ ที่ตู้เหมินมีคนซื้อน้อยมาก ต่อให้เพาะเลี้ยงราคาก็แพงมาก พ่อค้าพวกนั้นเลยไม่ได้เอาเข้ามาครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “อาเจิ้งไปหาพวกพ่อค้ารายใหญ่แล้วลองถามราคานำเข้าปลาฉือจากพวกเขาให้หน่อยนะครับ”
“ได้ครับ”
จากนั้น เจิ้งอวี่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรถามราคาหลายคน
ซ่งอีหนานถามว่า “จื่อเซวียน นายถามเรื่องปลาฉือไปทำไมน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ทำเมนูใหม่น่ะสิ อยากซื้อสักหน่อย จริงสิพี่ ตอนนี้ทางบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์เป็นยังไงบ้าง แล้วก็หลงตูด้วย”
“ยังไม่นิ่งเลย แต่ฉันรู้สึกว่ากำไรของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ค่อนข้างดีนะ ที่จริงกำไรโดยรวมไม่ได้ดีไปกว่าตลาดเท่าไร”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “จริงสิ ถ้าบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ทำการใหญ่ อาจจะมีรายได้หลายร้อยล้านขึ้นไปก็ได้นี่ แต่เป็นระยะยาวนะ
จุดเด่นของบริษัทเราคือองค์กรที่มีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง ใช้เวลาน้อย มั่นคง และได้ผลมาก ที่จริงแนวคิดเรื่องกำไรของภาพยนตร์และโทรทัศน์กับบริษัทยังไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าไร”
ฟังซ่งจื่อเซวียนพูด ซ่งอีหนานก็ค่อนข้างเห็นด้วย “ถูกต้อง ฉันก็เคยคิดถึงปัญหานี้ แต่ว่าบริษัทเป็นรูปเป็นร่างแล้ว มีรายได้ก็ไม่จำเป็นต้องละทิ้ง”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “อืม มีเหตุผล พี่ ผมมีไอเดีย ผม…ร่วมมือกับบริษัทได้ไหม”
“หืม เจ้ารองตัวแสบ คิดจะทำอะไรอีกแล้วล่ะ”
“โธ่ ผมคิดว่าจะพิจารณาเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่สักร้านในอนาคต รายได้ของร้านอาหารเป็นแบบระยะสั้นแถมกำไรก็ดี สอดคล้องกับแนวคิดของบริษัทพอดีเลย”
ซ่งอีหนานพูด “ได้สิ แต่ว่านายอยากทำใหญ่แค่ไหนล่ะ ต้องการเงินทุนเท่าไร ในเมื่อจะร่วมมือกัน นายจะเอาอะไรมาขายล่ะ”
ฟังจุดสำคัญที่พูดมาแต่ละประโยค ซ่งจื่อเซวียนก็มีความสุขมาก
“สิ่งที่ผมเอาออกมาขายได้ก็คืออาหารนี่แหละ แถมอยู่ในระดับที่แน่นอน และอาจจะรวมถึงลูกค้าที่มีที่มาที่ไป ส่วนทางบริษัทนอกจากสนับสนุนเงินทุน ก็ช่วยเติมสต็อกวัตถุดิบบางอย่างด้วยแล้วกัน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“วัตถุดิบบางอย่างเหรอ”
“ใช่ เดิมบริษัทมีตลาดอาหารทะเลอยู่สามแห่ง ผมคิดว่าจะดำเนินการควบรวมน่ะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ควบรวม?”
“ทั้งสามตลาดมีพวกร้านและแผงที่ว่างอยู่ ถ้าพวกเราใช้อย่างเหมาะสม ก็เปิดประตูในตลาดเพิ่ม แบบนี้ตรงที่ว่างๆ พวกนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นที่ทำเลทอง”
ซ่งอีหนานพยักหน้า “ถูก ที่ว่างๆ พวกนั้นแทบจะเป็นเพราะทำเลไม่ดี เลยไม่มีคนเช่า ถ้าเปิดอีกประตู…อาจจะดีขึ้นก็ได้”
“จากนั้นเราค่อยไปจัดการพวกพ่อค้าที่ทำผลงานได้ไม่ดี แบบนี้ทั้งสามตลาดก็สามารถปรับให้กลายเป็นตลาดอาหารทะเลที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองแห่งได้”
“ที่นายว่าก็มีเหตุผล แบบนี้ตลาดเราก็จะว่างไปแห่งหนึ่ง แต่ฉันต้องถามนายว่าพวกพ่อค้าที่ถูกจัดการเขาจะยอมเหรอ เราคงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยบ่อยๆ ใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่หรอก รวมพ่อค้าพวกนี้ไปไว้ที่ตลาดที่ว่างอยู่ เดิมกิจการของพวกเขาก็ธรรมดามากอยู่แล้ว ไม่สนหรอกว่าทำเลดีหรือเปล่าน่ะ”
ซ่งอีหนานคิด “ก็ได้ แต่เป้าหมายของนายคืออะไรล่ะ ทำตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งให้ว่างทำไม”
“ทำตลาดสดครบวงจรไง ขายส่งผักผลไม้ผลิตภัณฑ์การเกษตร ขายส่งผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ บวกกับพวกพ่อค้าที่ขายอาหารทะเลพวกนั้น ก็จะกลายเป็นตลาดสดครบวงจร จากนั้นทำโฆษณาเผยแพร่ออกไป ก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างใจเย็น
ซ่งอีหนานได้ยินก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “ก็ได้อยู่ จากนั้นล่ะ”
“จากนั้น ช่องทางเติมสต็อกร้านอาหารของเราทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นซื้อจากตลาดตัวเองในราคาต้นทุนที่ต่ำที่สุดได้ แถมมีความต้องการอะไรก็สามารถเสนอได้ทันทีด้วย”
“ฉันคิดว่าได้ แต่ว่านะเจ้ารอง ฉันคิดว่านายควรจะคิดวางแผนการทั้งหมดให้เรียบร้อย กำไรสุทธิและกำไรที่ตั้งไว้ที่แน่นอน และสุดท้ายร้านอาหารของนายคาดว่าจะได้กำไรเท่าไร”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “แหะๆ กำไร…ประมาณไม่ได้หรอก น่าจะต้องเทียบกับต้าสือไต้ในยุครุ่งเรือง เป็นเท่าตัว!”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งอีหนานก็อดอึ้งไม่ได้
เนื่องจากการขับเคลื่อนของข้าวผัดจักรพรรดิในตอนนั้น ต้าสือไต้จึงโด่งดังในตู้เหมินชั่วข้ามคืน กำไรกลายเป็นตัวเลขที่เพื่อนร่วมวงการอาหารทั้งหมดเงยหน้ามอง
ถ้าทำพื้นฐานนี้ได้ในชั่วข้ามคืน…
ซ่งอีหนานอาศัยประการณ์ตอนนี้ ก็มั่นใจว่ารายได้นี้จะเหนือกว่ารายได้รวมทั้งสามตลาดด้วยซ้ำ!
ถึงอย่างไรก็เป็นตลาดขายส่ง และร้านอาหารก็เป็นแรงระเบิด ต่อให้ในด้านปริมาณจะน้อยกว่ามาก แต่กำไรกลับน่าตกตะลึง
ตอนนี้เอง เจิ้งอวี่ก็วางสาย พูดว่า “คุณซ่งครับ ผมเพิ่งสอบถามไป ตอนนี้ในตลาดปลาฉือที่สต็อกจะไม่ค่อยสดครับ ถ้าเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงคุณภาพสูงในประเทศราคาจะอยู่ที่ประมาณสองสามพันหยวนต่อห้าร้อยกรัม ถ้าปลาฉือนำเข้า ราคาจะอยู่ที่ไม่เกินสี่ร้อยหยวนต่อห้าร้อยกรัมครับ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ครุ่นคิด พูดว่า “ไม่ต้องคิดถึงสองสามพันหยวนต่อห้าร้อยกรัมนั่นเลย ไม่มีทางเป็นแบบที่ประชากรส่วนใหญ่กินกันแน่นอน ที่ถูกกว่านี้สักหน่อยราคาเท่าไร”
“คุณซ่ง พ่อค้าพวกนี้บอกเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าเนื้อสัมผัสของปลาฉือที่ราคาถูกลงกว่านี้แย่กว่าเล็กน้อย แน่นอนว่าดีกว่าปลาอื่นๆ ปกตินิดหน่อย เมื่อครู่เฉินซานหู่จากตลาดเขตหงเหอเสนอราคาต่ำสุดครับ บอกว่าถ้าซื้อปริมาณมากจากเขา สามารถขายราคาส่งให้ได้หนึ่งร้อยเก้าสิบหยวนต่อห้าร้อยกรัม ปลาฉือหนึ่งตัวก็อยู่ที่ประมาณสองสามร้อยหยวนครับ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “โอ้ เขามีช่องทางเหรอ ตกลงกับเขาได้นะ แต่ว่า…ผมอยากเจอเขาสักหน่อย”
“ได้ครับ คุณซ่ง เดี๋ยวผมจัดการให้”
“จื่อเซวียน นายแน่ใจเหรอว่าจะเลือกปลาที่แพงขนาดนี้น่ะ ต้นทุนที่สูงเกินไปจะส่งผลกระทบกับกำไรเอานะ” ซ่งอีหนานพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “พี่ กำไรข้าวผัดจักรพรรดิเป็นยังไงบ้างล่ะ ที่ละแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนยังมีคนกิน นี่ก็คือตลาดอาหาร ตอนนี้บางคนยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อกินของดีจริงๆ มากกว่าพวกสินค้าธรรมดาที่ราคาดูเหมือนจะเอื้อมถึง”
ซ่งอีหนานได้ยินประโยคนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง แต่ว่า…ฉันยังหวังว่านายจะมั่นใจก่อนจะพูดนะ”
“วางใจเถอะ ไม่มั่นใจผมไม่ทำหรอก กิจการตระกูลตัวเองผมทำลายไม่ลงหรอก”
เจิ้งอวี่พูด “คุณซ่งครับ ให้ผมบอกให้เขามาที่บริษัทหรือว่าเราจะไปตลาดเองดีครับ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ไปตลาดเถอะครับ ที่นี่ไม่ใช่ที่ไว้คุยธุระ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานกับเจิ้งอวี่ก็มองตากันเหมือนกำลังคุยกันว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่คุยธุระเหรอ
“ครับคุณซ่ง งั้นเราไปตอนนี้เลยไหมครับ”
“ไปกันเลยครับ”
ซ่งอีหนานพูด “งั้นฉันไม่ไปแล้วกัน ตอนบ่ายฉันต้องไปประชุมที่สำนักงานจัดการผังเมือง ฉันคิดว่าจะได้เสนอเรื่องที่ตลาดเราจะเปิดเพิ่มอีกประตูสักหน่อยพอดี”
ซ่งจื่อเซวียนรีบพยักหน้า “ใช่ ต้องเสนอนะ เปิดได้หลายประตูยิ่งดี”
ซ่งอีหนานกลอกตาใส่เขา “บ้านนายเป็นคนตั้งสำนักงานจัดการผังเมืองหรือไง ยังจะเปิดหลายๆ ประตูอีก เปิดประตูเดียวขายส่งได้ก็ไม่แย่แล้ว จริงสิเจ้ารอง นายว่า…พวกเราปล่อยว่างตลาดไหนดีล่ะ”
“อืม…แหะๆ พี่คิดว่าไง”
“เขตเฉิงหนานแล้วกัน ที่นั่นติดถนนหลัก ชาวสวนชาวไร่เข้ามาขายสะดวกกว่า”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “พี่นี่เก่งจริงๆ วิเคราะห์เรื่องพวกนี้ได้ด้วย ไม่เลว ปล่อยให้ว่างได้เลย แต่พ่อค้าแม่ค้ารายไหนที่จำเป็นต้องขยับขยาย ทางที่ดีใช้กระดาษแผนผังอธิบายประกอบด้วยแล้วกัน จะได้ลดข้อผิดพลาด”
“เอาน่า นายไม่ต้องกังวลหรอก เรื่องพวกนี้ฉันทำได้”
“เหอะๆ งั้นก็ตามนี้ อาเจิ้งไปส่งพี่ผมเถอะครับ เดี๋ยวผมไปกับรุ่ยจื่อก็ได้”
“ครับ เดี๋ยวผมบอกเฉินซานหู่ให้ว่าคุณจะไปหาเขานะครับ” เจิ้งอวี่พูด
จากนั้น พวกเขาก็ออกจากบริษัท แยกย้ายกันไป
ฟางรุ่ยขับรถมาถึงตลาดอาหารทะเลเขตหงเหอ พูดว่า “นายท่านรอง เราขับเข้าไปเลยไหมครับ”
“ไม่ต้องขับเข้าไปหรอก จอดหน้าประตู เดี๋ยวเราเดินเข้าไปแทน”
จอดรถเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินเข้าไปในตลาด เดินไปไม่ไกล ก็เห็นร้านใหญ่มากร้านหนึ่ง ด้านบนติดป้ายยาวๆ ไว้
ซานหู่ซีฟู้ด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เอ้อ หาง่ายดีจริงๆ น่าจะเป็นร้านของเฉินซานหู่นั่นแหละ”
พวกเขาเดินเข้าไปในร้าน กิจการไม่เลวเลยจริงๆ คนไม่น้อยในร้านต่างกำลังเลือกอาหารทะเลกันอยู่
พนักงานเจ็ดแปดคนยุ่งมาก บ้างกำลังแพ็กปลา บ้างกำลังช้อนหอย ยังมีคนที่กำลังชั่งน้ำหนักด้วย แค่แถวรอคิวจ่ายเงินก็มีลูกค้าอยู่เจ็ดแปดคนแล้ว
หลังเคาน์เตอร์มีผู้ชายร่างกำยำสวมเสื้อกั๊กสีขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ผิวรอบๆ เสื้อกั๊กเป็นสีแทน ผมดำขลับ หยักศกตามธรรมชาติ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเดินไป “คุณคือ…เฉินซานหู่หรือเปล่าครับ”
ชายคนนั้นเงยหน้า ถลึงตาใส่เขาทันที “ซื้อของข้างใน”
“ผมมาหาคน!”
“แม่งเอ๊ย ไม่เห็นหรือไงว่าฉันยุ่งอยู่น่ะ”
เฉินซานหู่พูดพลางกดเครื่องคิดเลข
ต้องพูดเลยว่า กิจการของเขานับว่าดี แม้ราคาไม่ถูกเท่าร้านอื่น แต่คุณภาพสูง อีกทั้งหลากหลาย
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนหยาบคาย ทุกครั้งที่คิดบัญชีจะเป็นตอนที่เขาปวดหัวที่สุด แม้จะรำคาญ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน…
“ก็ได้ครับ คุณยุ่ง งั้นผมรอคุณแล้วกัน!”
ฟางรุ่ยได้ยินก็อึ้ง “นายท่านรอง ไอ้หมอนี่หน้าใหญ่ใจโตจริงๆ ให้ตายเถอะ ผมจะคุยกับเขาเอง!”
ซ่งจื่อเซวียนรั้งเขาไว้ “เอาน่า รอแป๊บนึงเถอะ”
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉินซานหู่ก็หงุดหงิดขึ้นมา “เชี่ยเอ๊ย แม่งคิดผิดอีกละ พวกแกแม่งหาที่ตายหรือไง สร้างปัญหาทำเชี่ยไรวะ!”
……………………………………..