เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 261 ผลลัพธ์
ตอนที่ 261 ผลลัพธ์
ความหนาแน่นของเหล็กเขียวต้องมากกว่ากระทะเหล็กทั่วไปอย่างชัดเจน แต่ตอนที่มาเจอเปลวไฟ กลับนำความร้อนได้ไวกว่าไม่รู้กี่เท่า
อ้างอิงตามตอนที่ตั้งกระทะเมื่อวาน ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นก้นกระทะแดงแล้วอย่างชัดเจน
เขาเผยรอยยิ้มบาง ในสายตาปรากฏความชอบออกมาช้าๆ
อย่างไรก็เป็นพ่อครัว สำหรับเขาแล้ว ได้รับเครื่องครัวดีๆ มาชุดหนึ่งมีความสุขมากกว่าได้นั่งรถดีๆ สักคันเสียอีก
เป็นตามที่คาดไว้ เนื่องจากวันนี้การผัดกระทะไม่ได้ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ดังนั้นจึงมีคนไม่มากที่สังเกตเห็นว่าซ่งจื่อเซวียนอยู่ทางนี้
แต่เจิ้งฮุยกลับสังเกตเห็นกระทะตรงหน้าซ่งจื่อเซวียนแดงไปหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงรีบเดินมา
“นายท่านรอง ช่วงนี้เหม่อบ่อยๆ หรือเปล่า กระทะแดงไปหมดแล้วนะ…”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เหอะๆ ไม่เป็นไร ผมแค่ทดสอบคุณภาพกระทะน่ะ”
เจิ้งฮุยชะงัก “หา? ทะ…ทดสอบขนาดนี้เชียวเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไรต่อ เจิ้งฮุยก็จากไปอย่างสนอกสนใจ แต่ด้วยความสนใจ จึงยังเมียงมองอยู่เป็นระยะ
จนก้นกระทะแดงฉาน ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตากว้างทันที
ตอนนี้แหละ!
เขาหยิบน้ำสะอาดถ้วยหนึ่งข้างๆ เทใส่กระทะตรงๆ แทบจะขณะเดียวกัน ก็ใส่ปลาหลี่ฮื้อที่จัดการเรียบร้อยแล้วลงไป
วิธีการแบบนี้ไม่เหมือนกับการต้มปลาแบบดั้งเดิมของตู้เหมิน มันก็เหมือนกับการต้มซุปปลา แต่เนื่องจากมีวัตถุดิบและส่วนผสมอื่นๆ ดังนั้นรสชาติจึงไม่ได้จืดขนาดซุปปลา แต่จะเข้มข้นกว่าเล็กน้อย
เคี่ยวด้วยไฟแรงประมาณสิบนาที ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มใส่เครื่องปรุงและสมุนไพรต่างๆ อย่างตังกุยและอึ่งคี้
ไม่นานนัก กลิ่นหอมก็ลอยออกไป อีกทั้งสีของซุปปลาก็เปลี่ยนจากสีใสเป็นสีเหลือง น้ำมันจากปลาลอยอยู่บนผิวน้ำซุป
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ช้อนไขที่ลอยขึ้นมาบนน้ำซุปออก แล้วใส่หอยเชลล์ ปลาเงินและปลาหมึกลงไปตามลำดับตามระดับความสดและนิ่มของวัตถุดิบที่จดจำไว้ในสมองทันที
เห็นปลาหมึกหดตัว ปลาเงินลอยขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ปิดไฟยกกระทะขึ้นทันที
“หอมจริงๆ เลยนายท่านรอง ทำอาหารอะไรดีๆ อีกแล้วเหรอครับ”
ตอนนี้พวกเชฟว่างพอดี พอได้กลิ่นก็ล้อมเข้ามา
เจิ้งฮุยพูด “นายท่านรอง ซุปปลานี่หอมจริงๆ ทำยังไงเนี่ย โคตรเจ๋ง”
เจิ้งฮุยเป็นพ่อครัวเก่าแก่จริงๆ ประสบการณ์หัวหน้าเชฟหลายปีมานี้ ทำให้เขาสามารถพรรณนาความอร่อยของซุปปลานี่ได้ว่าอร่อยจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่พูดไม่จา เห็นโต้วหลงเหมินข้างหน้า ใจก็อยู่ไม่สุข
สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะข้าวผัดจักรพรรดิหรือจะเป็นน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ก็เรียกได้ว่ารูปรสกลิ่นสมบูรณ์แบบ
แต่โต้วหลงเหมินนี่…เพียงแค่รูปแบบก็ไม่มีคุณค่าน่าเชื่อถือพอที่จะขาย หรือก็คือเป็นแค่ซุปปลาธรรมดาเท่านั้น
จะว่าหอม
ถูกต้อง เจิ้งฮุยกับพวกเชฟล้วนพูดกันว่าซุปปลานี้หอมฉุย แต่เทียบกับกลิ่นของน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายกับข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว เหมือนว่าโต้วหลงเหมินจะอ่อนกว่าส่วนหนึ่ง
ความรู้สึกแบบนี้เป็นนามธรรมมาก ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่สามารถอธิบายได้ แต่รู้สึกว่าโต้วหลงเหมินนี้ไม่ได้ถึงระดับอาหารที่อยู่ในหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิง
“เป็นไปได้ยังไง…หรือว่าฉันทำผิด”
เขาพูดพลางหยิบตะเกียบมาคีบใส่ปาก เนื้อปลานุ่มนวล ถึงจะไม่ได้มีรสชาติมาก แต่กลับไม่ได้เนื้อสัมผัสที่เขาต้องการ
ตามที่ว่าไว้ ด้วยการสลับใช้น้ำเย็นและร้อน เนื้อปลาน่าจะมีรสชาติละมุน แต่เนื้อปลานี้…มากสุดคือตุ๋นจนเปื่อยเท่านั้น
ชิมวัตถุดิบอย่างอื่น ปลาหมึกค่อนข้างเหนียว ปลาเงินค่อนข้างเละ เนื้อสัมผัสของหอยเชลล์ดีมาก แต่กลับไม่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกถึงคุณค่าได้
ในเมื่อไม่มีคุณค่า อย่างนั้นจะคู่ควรกับอาหารในหนังสือสูตรอาหารได้หรือ
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าเบาๆ ต้องผิดแน่ๆ แต่ว่า…ตรงไหนล่ะ
“เป็นอะไรไปนายท่านรอง” เจิ้งฮุยเห็นท่าทางจริงจังของซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนถึงได้สติกลับมา ส่ายหน้าพูด “อ้อ ไม่มีอะไร หัวหน้าเชฟเจิ้ง พวกคุณลองชิมดู ช่วยออกความเห็นหน่อยสิครับ”
ได้ยินดังนั้น พวกเชฟก็ดีใจ เพราะพวกเขารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนเคยทำข้าวผัดจักรพรรดิตอนอยู่ที่ต้าสือไต้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้อาหารจานหลักของสวนสวินเฟิงอย่างน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายก็เป็นอาหารของเขา
แต่กลับไม่มีโอกาสได้ชิมเลยสักคำ วันนี้ได้ชิมแล้วถือเป็นเรื่องหายาก
เจิ้งฮุยชิมคำหนึ่ง “ไม่เลวเลยนายท่านรอง ขายได้นะ เนื้อปลารสชาติดีมาก แต่ว่าคราวหน้าน่าจะต้องระวังเรื่องไฟหน่อย ปลาหมึกเหนียวกับปลาเงินเละไปหน่อย”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เงยหน้ามองเจิ้งฮุย พูดในใจว่าปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องไฟนี่สิ แม้แต่รสชาติก็แย่มากโขเลย
ซ่งจื่อเซวียนมีตราชั่งในใจ เขาอาศัยประสบการณ์ตัดสินรสชาติอาหารเมนูนี้ว่าถึงระดับหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงได้หรือไม่
ถึงมาตรฐานการประเมินจะดูเป็นนามธรรม แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับมั่นใจมาก
เห็นได้ชัดว่าโต้วหลงเหมินนี่ยังไม่ถึงขั้นนั้น เกิดปัญหาตรงไหนซ่งจื่อเซวียนก็รู้ดี แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรจริงๆ
“รสชาติล่ะครับ”
“รสชาติดีจริงๆ นะ แต่ว่า…ฉันพูดตามตรงนะนายท่านรอง เจ้านี่เทียบกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไม่ติดเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ ถึงอย่างไรเจิ้งฮุยก็มีประสบการณ์นานปี คำพูดที่พูดออกมาเมื่อชิมอาหารตรงประเด็นมาก
“น่าจะไม่อยู่ในชั้นแนวหน้าใช่ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เจิ้งฮุยพยักหน้า “ใช่ แตกต่างกันค่อนข้างมากเลย ตั้งแต่ตอนทำก็ต่างกันแล้ว ตอนที่ทำน้ำแกงห้าสายหอมคละคลุ้งไปทั้งครัวด้านหลังเชียว”
หลังจากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้รีบร้อนไปทำใหม่อีก แต่กลับไปใคร่ครวญที่ห้องทำงาน
ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ สาเหตุที่โต้วหลงเหมินล้มเหลวอาจจะมีมากมาย ซึ่งรวมไปถึงเรื่องวัตถุดิบ กำลังไฟและขั้นตอนการประกอบอาหาร
ด้านวัตถุดิบ โต้วหลงเหมินต้องใช้ปลาฉือทำ แต่ปลาฉือไม่ใช่แค่แพง แต่ยังหามาตอนนี้ไม่ได้ด้วย
ส่วนกำลังไฟ…ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าควรเปลี่ยนแปลงอย่างไร ตั้งกระทะจนร้อนสุดๆ จากนั้นใส่น้ำเย็นลงไปต้มปลา กระบวนการนี้กับที่เขียนไว้บนหนังสือสูตรอาหารไม่ได้มีอะไรแตกต่าง
สุดท้ายด้านการประกอบอาหาร ซ่งจื่อเซวียนคิดว่าลำดับที่ตนเองเลือกไม่ได้ผิดพลาด ถ้าบอกว่าวิธีทำไม่ถูกต้อง อย่างนั้นก็หมายความว่าเดิมปลาหมึก หอยเชลล์และปลาเงินไม่ควรตุ๋นพร้อมกับปลาฉือ
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า “ท่าทางจุดนี้น่าจะแตกต่างกับน้ำแกงห้าสาย ถ้าทำให้วัตถุดิบสามอย่างนี้สุกก่อน จากนั้นค่อยใส่ลงไป ก็จะรักษาเนื้อสัมผัสเอาไว้ได้”
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ ต้องแก้ความผิดพลาดในลำดับการประกอบอาหาร เกรงว่าสองสามจุดนี้ต้องแก้ไขทั้งหมด แต่ว่าเรื่องปลาฉือต้องใช้เวลาสักหน่อย
อ้างอิงจากที่ตาเฒ่าพูด ปลาหลีฮื้อก็สามารถทำออกมาอร่อยได้ ดังนั้นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องวัตุดิบอย่างแน่นอน
แต่วิธีการประกอบอาหารนี่สิ!
แต่ถึงครั้งนี้จะทำไม่สำเร็จ ซ่งจื่อเซวียนกลับได้รับประสบการณ์ที่ไม่คาดคิด นั่นก็คือการใช้กระทะเหล็กเขียวครั้งแรก
กระทะเหล็กเขียวจะหนักกว่ากระทะเหล็กธรรมดาเล็กน้อย แต่ด้วยกำลังแขนของผู้ชายทั่วไปยังสามารถควบคุมได้
อีกทั้งตอนที่ทำซุปปลาเมื่อครู่ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าร้อนเร็วกว่ากระทะทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมั่นคงด้วย
“นี่เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง จากนี้เวลาทำอาหารใช่กระทะเหล็กเขียวชั่วคราวแล้วกัน!”
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนอยากลองสัมผัสกับกระทะเมฆม่วงสักครั้งจริงๆ เพียงแต่…ไม่รู้ว่าเฉียนปู้หลายคนนั้นจะเอายังไง
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เรียกฟางรุ่ยให้ขับรถพาไปที่ร้านอาหารร่ำรวย
ถึงหน้าร้าน ซ่งจื่อเซวียนมองร้านสวนชุนสยาแวบหนึ่ง ตอนนี้เปิดร้านอยู่ แต่เนื่องจากไม่มีหลี่เหยียนแล้ว กิจการของอีกฝ่ายก็ไม่ไปถึงไหน
ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาขายดีช่วงเที่ยง คนด้านในก็ยังมีไม่มากเท่าร้านอาหารร่ำรวย
จุดนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนค่อนข้างชื่นใจ อธิบายได้ว่าปล่อยเรื่องข้าวผัดจักรพรรดิไปได้แล้ว ร้านอาหารร่ำรวยคิดจะจัดการสวนชุนสยาก็ไม่มีปัญหา
เดินเข้าร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็ปรี่ขึ้นไปชั้นสอง
ห้องส่วนตัวชั้นสองมีหนึ่งห้องที่ยกให้เฉียนปู้หลายอยู่ อีกทั้งซ่งจื่อเซวียนยังซื้อเตียงให้เขาโดยเฉพาะอีกด้วย
เดินไปเคาะประตู ด้านในไม่มีคนอยู่ ซ่งจื่อเซวียนก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ
เป็นคนไร้ความสามารถจริงๆ กำลังหลับอยู่อีกแล้วแน่ๆ
ซ่งจื่อเซวียนดันประตูเปิดเข้าไป พบว่าประตูไม่ได้ล็อก แต่เห็นเฉียนปู้หลายที่อยู่ในห้องส่วนตัว เขาก็ค่อนข้างตกใจจริงๆ
เห็นแค่เฉียนปู้หลายในสภาพผมเผ้ารุงรัง สองตาจดจ้องอยู่กับการวาดภาพบนกระดาษสีขาวมั่วๆ ส่วนบนโต๊ะและพื้นก็รกไปด้วยกระดาษวาดภาพแบบนี้
เฉียนปู้หลายคาบดินสอ ยกมือขึ้นไปเกาศีรษะสองสามที ไม่รู้ว่ารังแคบนหนังศีรษะร่วงลงมาเท่าไรแล้ว
“ได้แล้ว!”
เฉียนปู้หลายพึมพำ เริ่มร่างภาพบางอย่างบนกระดาษทันที
ซ่งจื่อเซวียนอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่เห็นท่าทางจดจ่อของเขาก็เกรงใจ จึงยืนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง
ตอนนี้เอง เฉียนปู้หลายก็พรวดพราดขึ้นมาฉับพลันราวกับเป็นบ้า ขยำกระดาษเป็นก้อน จากนั้นก็เกาศีรษะตัวเองอีก “แม่งเอ๊ย ไม่ใช่ ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ เกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย”
ก่อนที่ซ่งจื่อเซวียนจะเดินเข้าไปใกล้ ก็หยิบก้อนกระดาษบนพื้นขึ้นมา เปิดออกดู
พอเห็นภาพด้านในชัดๆ ซ่งจื่อเซวียนก็อดอึ้งไม่ได้
นี่มันภาพกระทะกับตะหลิวชัดๆ!
เพียงแต่ที่เฉียนปู้หลายวาดค่อนข้างยุ่งเหยิง กระทะสองสามใบในภาพแผ่นหนึ่งค่อนข้างซ้อนกัน มองไกลๆ คือมองไม่ออก
สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนคิดไม่ถึงก็คือภาพวาดนี้ของเฉียนปู้หลายเจ๋งจริงๆ ดูแล้วสมจริงมาก ราวกับเชี่ยวชาญด้านการวาดภาพแสงและเงา
ขณะที่กำลังดูอยู่ ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“คุณซ่งมาแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็หันหลังไป เห็นว่าคนที่พูดเป็นหลี่เหยียน
“หืม หลี่เหยียน ตอนนี้เป็นเวลาเสิร์ฟอาหารนะ นายไม่อยู่ที่ครัวด้านหลังแล้วขึ้นมาที่นี่ทำไม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ฉันได้ยินมาว่านายมาแล้วเลยมาถาม ตกลงว่านายคิดจะให้ฉันทำงานอยู่ที่นี่นานแค่ไหนถึงจะมาแข่งกับฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักไป “หา? เอ่อ…”
ความจริงช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจหลี่เหยียนเลย ตอนนี้หมอนี่มุ่งมั่นจะท้าตนท่าเดียว ถ้าตนชนะเขา เขาก็จะไม่ยอมรับความจริง การแข่งขันครั้งนี้ก็ถือว่าแข่งไปเสียเปล่า
อีกทั้งตอนนี้สวนชุนสยาก็ยังเปิดอยู่ ขอแค่หลี่เหยียนอยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวยก็จะตรึงกำลังอีกฝ่ายไว้ได้ พวกเขาไม่มีข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว มีแต่ต้องรอวันปิดกิจการเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “ฉันยังคิดจะลองพิจารณานายดูสักหน่อย เหอะๆ ฉันต้องมั่นใจว่านายจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้!”
“ทำไมฉันถึงทำให้นายไม่เชื่อได้ขนาดนั้นเนี่ย เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะเอาบัตรประชาชนไว้กับนายโอเคไหม”
เห็นได้ชัดว่าหลี่เหยียนร้อนใจมาก อย่างไรจุดประสงค์ที่เขามาที่ตู้เหมินก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือท้าประลองกับซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “เหอะๆ ถ้าถึงเวลาที่นายต้องไปจริงๆ เอกสารใบหนึ่งจะยังรั้งนายไว้ได้อีกเหรอ”
“นาย…”
หลี่เหยียนกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็ได้ยินเฉียนปู้หลายในห้องตะโกนแหกปาก “หุบปาก หุบปากให้หมด!”
สองตาของเขาเบิกกว้างขณะพูดพลางจ้องมองกระดาษเบื้องหน้า ดินสอตวัดวาดบนกระดาษอย่างบ้าคลั่ง คนที่มองไม่เข้าใจคงนึกว่าเขาเหมือนเด็กคนหนึ่งที่หยิบกระดาษปากกามาระบายสี…
ตอนนี้ พวกเขาเหมือนกับถูกเฉียนปู้หลายทำให้ตกใจจนตัวโยน ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรอีก
และความเงียบนี้ก็ยืดยาวไปหลายนาที เห็นเพียงเฉียนปู้หลายหัวเราะลั่นขึ้นมาฉับพลัน
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว นี่แหละผลลัพธ์ที่ฉันอยากได้ สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบจริงๆ!”
…………………………………………….