เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 260 สมแล้วที่เป็นกระทะเหล็กเขียว
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 260 สมแล้วที่เป็นกระทะเหล็กเขียว
ตอนที่ 260 สมแล้วที่เป็นกระทะเหล็กเขียว
เมื่อกลับถึงบ้าน ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ทดลองทำอาหารอีก
แม้ว่าจะมีกระทะเหล็กเขียวที่บ้าน แต่การนำวัตถุดิบจากสวนสวินเฟิงกลับมาทำอาหารอีกรอบมันยุ่งยากเกินไป
อีกอย่างเตาที่บ้านก็ไม่แรงเท่าเตาในร้าน แม้จะใช้กำลังภายในกระตุ้น คงยากที่จะทำอาหารได้จนเสร็จ
ซ่งจื่อเซวียนจึงกลับมาอ่านสูตรอาหารต่อ เพื่อเรียนรู้วิธีทำโต้วหลงเหมินเพิ่มเติม
แทนที่จะลองทำอาหารครั้งแรกแบบวันนี้ จนเสียโอกาสไปเปล่าๆ หนึ่งครั้ง
สู้ทำความเข้าใจให้กระจ่างก่อนที่จะลองทำจริงๆ ดีกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อหาบางส่วนในสูตรอาหารราชวงศ์ชิงสามารถเรียนรู้จากข้อความได้ แต่บางส่วนต้องเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง
เช่นเดียวกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย แต่ละขั้นตอนนอกจากจะทำตามที่ตำราบอกแล้ว ก็ยังมีเทคนิค เคล็ดลับอีกมากมาย
โต้วหลงเหมินนั้นซับซ้อนและน่าจะยากกว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายอย่างแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนตื่นแต่เช้า กำลังจะออกจากบ้าน แต่ซ่งอีหนานทักเขาเสียก่อน “เจ้ารอง วันนี้ไปแต่เช้าเลยนะ”
“นั่นสิเจ้ารอง กินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไปเถอะ” หานหรงกล่าวเสริม
“อ้อ วันนี้ลูกจะลองทำเมนูใหม่ เลยอยากไปสวนสวินเฟิงเร็วๆ น่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“จะรีบอะไรนักหนา วันนี้ไปบริษัทกับพี่ก่อนเถอะ” ซ่งอีหนานพูด
“อ้าว พี่ ที่บริษัทมีอะไรหรือเปล่า พี่จัดการเองก็ได้นี่ ผมมีธุระจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนอยากลองทำโต้วหลงเหมินมากจนคันไม้คันอยากจะคว้าตะหลิวมาทำอาหารเสียเดี๋ยวนี้
“ก็ช่างนายสิ ฉันไม่สน วันนี้จะมีธุระยิ่งใหญ่แค่ไหนนายก็ต้องไปกับพี่!”
ซ่งจื่อเซวียนเอือมระอา แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับพี่สาวจึงต้องยอมตกลง
ทว่าซ่งจื่อเซวียนเอาแต่เร่งจนซ่งอีหนานทานข้าวเช้าไม่ทัน ทานโจ๊กแค่สองสามคำก็รีบแต่งตัวออกจากบ้าน
ในเวลาเดียวกัน เจิ้งอวี่ก็มารอรับถึงปากซอย ซ่งจื่อเซวียนเรียกฟางรุ่ยมาด้วย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปบริษัท
ซ่งอีหนานปรายมองเขาอย่างเฉยชาแล้วพูดกับเจิ้งอวี่ว่า “อาเจิ้ง เรื่องนั้นจัดการไปถึงไหนแล้วคะ”
“ฮ่าๆ วางใจเถอะครับผู้จัดการซ่ง ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนถามว่า “เรื่องเหรอ เรื่องอะไรกัน”
ซ่งอีหนานยิ้ม “อะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม!”
“อาเจิ้งครับ” ซ่งจื่อเซวียนหันไปหาเจิ้งอวี่
“ฮ่าๆ คุณซ่งครับ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับผู้จัดการซ่งแล้วล่ะครับ ถ้าเธอไม่ให้พูด ผมก็พูดไม่ได้”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว “อ๋อ ดูเหมือนว่าผมจะกลายเป็นคนนอกแล้วสินะ ทั้งสองคนนี่เหลือเกินกันจริงๆ ผมไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน ก็กลายเป็นคนนอกแล้วเหรอ”
เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนก็หัวเราะออกมา
ทันทีที่รถมาจอดในลาดจอดรถบริษัทชิงอวี่ ซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างๆ ลานจอด เขาไม่รู้ว่ารถรุ่นอะไร
แต่ฟางรุ่ยรีบพูดขึ้นว่า “โห เบนซ์มายบัคของใครเนี่ย”
“เบนซ์? รถดีใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องรถเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการศึกษาเรื่องรถ
“ใช่ครับนายท่านรอง คันนี้ราคาเป็นล้านเลยครับ โคตรหรู” ฟางรุ่ยมองรถตาเป็นประกาย
สำหรับผู้ชายทั่วไปอาจจะเป็นแบบนี้ ความชอบรถ ชอบนาฬิกาหรู กลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย
แต่…สำหรับนายท่านรองเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้ชายทั่วไป
ในตอนนี้ เจิ้งอวี่จอดรถและดับเครื่อง
“แพงจริงๆ ด้วยแฮะ พี่ บริษัทเรามีเศรษฐีมาหาแล้วเหรอ”
ซ่งอีหนานหัวเราะ เปิดประตูรถลงจากรถ เดินไปที่เบนซ์มายบัคคันนั้น
“เศรษฐีเหรอ นายก็เศรษฐีเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
“พี่อย่ามาล้อผมเล่นนะ ดูชุดผมซะก่อน แต่งตัวแบบนี้เหมือนเศรษฐีตรงไหน เหมือนขอทานมากกว่า”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเยาะตัวเอง
เขาพูดไม่ผิด วันนี้เขาแต่งตัวเหมือนเคย สวมชุดวอร์มราคาถูก แถมยังใส่อยู่ตัวเดียว จนเริ่มเป็นขุยแล้ว
ปกติซ่งจื่อเซวียนจะมีชุดวอร์มแค่สองชุด คือสีเทากับสีน้ำเงินเข้ม เขาซื้อมาจากตลาดนัดเพราะชุดตอนม.ต้นของเขาเริ่มคับแล้ว
ส่วนเสื้อผ้าสองชุดที่ถังหย่าฉีเลือกให้สองตัว เขาก็เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าเสมอ ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับการใส่เสื้อผ้าราคาแพง
ไม่ใช่เพราะเสียดาย แต่รู้สึกว่าร่างกายของเขาเหนักอึ้งแปลกๆ…
“ไม่เอาน่าท่านมหาเศรษฐี อย่าถ่อมตัวนักเลย นับจากวันนี้ไปรถคันนี้จะเป็นรถประจำตำแหน่งของนาย”
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง “ว่าไงนะ พี่ คือ…พี่ซื้อรถคันนี้ให้ผมเหรอ”
ซ่งอีหนานยิ้มแล้วพยักหน้า
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตากว้าง มองไปยังรถตรงหน้า สายตาของเขาไม่มีความชื่นชอบเหมือนที่ฟางรุ่ยมีต่อรถ
“จะบ้าไปแล้วเหรอพี่ คันละล้านกว่าเหรอ คันละล้านกว่าจริงๆ ดิ”
“ก็เออสิ ถึงบริษัทฝั่งนี้จะทำเงินได้ไม่เยอะ แต่ลำพังแค่ร้านอาหารสองร้านกับเมนูซิกเนเชอร์ของนาย ตอนนี้นายจะนั่งรถคันละล้านกว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วนี่” ซ่งอีหนานพูด
“ไม่แปลกเหรอ พี่ดูชุดผมก่อน แต่งตัวแบบนี้จะนั่งรถแบบนั้นได้ยังไง”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ ได้สิยะ นายใส่ชุดอะไรก็ได้ ถ้านั่งรถคันนี้แล้วใครมันจะกล้าดูถูกนาย รีบเข้าไปนั่งดูสิ เร็วๆ!”
พูดจบ ซ่งอีหนานก็เปิดประตูรถและดันซ่งจื่อเซวียนเข้าไปนั่ง
ทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งเบาะข้างคนขับ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกถึงความแตกต่างได้ทันที
ไม่ต้องบอกเลยว่ามันดีกว่ารถแท็กซี่กี่เท่า แม้แต่บีเอ็มดับบลิว 5-Series ของซางเทียนซั่วก็สู้ไม่ได้
เมื่อนั่งในรถแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความหรูหราอย่างชัดเจน ลืมรถทั่วไปได้เลย เบนซ์มายบัคคือรถราคาหนึ่งล้านกว่าหยวน นี่สินะความฟินหลักล้าน
“พี่ ไอ้สบายมันก็สบายอยู่หรอก แต่…มันไม่แพงไปหน่อยเหรอ”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูด ฟางรุ่ยก็รีบโดดเข้ามานั่งในที่นั่งคนขับ ลูบพวงมาลัย ลูบหน้าจอสัมผัส ไม่รู้ว่าชอบใจขนาดไหน
“เอาเถอะน่า คิดเล็กคิดน้อยจังเลยนะ ฉันปรึกษากับอาเจิ้งแล้ว รถคันนี้ถือว่าเป็นรถบริษัท นายเป็นเถ้าแก่ใหญ่เบื้องหลังบริษัทนี้ ใช้รถคันนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว” ซ่งอีหนานพูด
เจิ้งอวี่พยักหน้ายิ้มๆ “ใช่ครับคุณซ่ง ผู้จัดการซ่งพูดถูก คุณต้องค่อยๆ ปรับตัว”
“ใช่ครับนายท่านรอง รถคันนี้มันสุดจริงๆ ครับ! ต่อไปนี้ผมจะเป็นผู้ช่วยส่วนตัว บอดี้การ์ด และคนขับของคุณเอง!”
ฟางรุ่ยพูดด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ ถ้ารุ่ยจื่อขับรถให้นาย ฉันก็หายห่วง ส่วนนายก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปแล้วกัน” ซ่งอีหนานพูด
ซ่งจื่อเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเสียดายอยู่ดี เงินหนึ่งล้านกว่า…เปิดสวนสวินเฟิงอีกร้านได้เลย
แต่อย่างไรก็ซื้อมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้อีก ซ่งจื่อเซวียนทำได้แค่ยอมรับ
เขาพยักหน้า “โอเค…รถคันละล้านกว่า ถ้ารู้แต่แรกคงไม่ปล่อยให้พี่ซื้อ”
ซ่งอีหนานปิดปากหัวเราะ “โถพ่อคุณ ถ้าให้นายซื้อ นายคงไปซื้อรถมือสองราคาไม่กี่หมื่นหยวนล่ะสิ ขี้เหนียวเป็นบ้า!”
เจิ้งอวี่หัวเราะ “นี่แหละนิสัยของคุณซ่งตัวจริง ฮ่าๆ คุณซ่งทั้งสองคนใช้เงินประหยัดจริงๆ นะครับ”
อันที่จริง เมื่อเทียบกับซ่งอวิ๋นฮั่นแล้ว ซ่งจื่อเซวียนประหยัดกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อย่างน้อยเวลาบริหารบริษัท ซ่งอวิ๋นฮั่นก็รู้จักให้ลูกน้องเอาผลประโยชน์บางส่วนมาเอาใจหัวหน้า
แต่พอมาถึงซ่งจื่อเซวียน เอาของของฉันไปเท่าไรก็เอาคืนมาให้หมด ใครจะมาเอาเปรียบตระกูลซ่ง ฝันไปเถอะ!
“เอาล่ะ เสร็จธุระแล้ว จะไปไหนก็ไป!” ซ่งอีหนานพูด
“แค่นี้…เหรอ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใช่ แล้วไง”
“เฮ้อ…รถน่ะขับเอาไปให้เมื่อไรก็ได้ไหม ผมนึกว่ามีเรื่องใหญ่ซะอีก รู้งี้ไปสวนสวินเฟิงดีกว่า”
เมื่อได้ยินดังนั้นซ่งอีหนานก็โมโห ตะโกนเสียงดังว่า “ซ่งจื่อเซวียน ใจคอไม่คิดจะดีใจหน่อยเหรอ! พี่ซื้อมายบัคให้ ไม่ขอบคุณไม่ว่า นี่ยังมาโทษว่าฉันทำให้เสียเวลาอีกเหรอ”
“พี่ ผมไม่ได้…”
“ไป๊! จะไปไหนก็ไป!”
ซ่งอีหนานพูดจบก็หันหลังเดินเข้าบริษัท ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่ เขารู้ดีว่าพี่สาวไม่ได้โกรธเขาจริงๆ
“รุ่ยจื่อ ปะ กลับบ้านกันเถอะ!”
“โอเคครับ ไปกันเลย!”
ฟางรุ่ยตื่นเต้นมาก ขามาได้นั่งเบนซ์ที่เจิ้งอวี่ขับ ขากลับฟางรุ่ยได้ขับมายบัคเอง ฟินตัวจะแตก
จากนั้น ฟางรุ่ยก็ขับรถกลับมาที่ปากซอยบ้านซ่งจื่อเซวียน
ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่า เป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านในละแวกนั้นออกมาเดินเล่นและซื้ออาหารเช้า
เมื่อเห็นเมซิเดส-เบนซ์ มายบัค S400 สีดำใหม่เอี่ยมจอดอยู่หน้าปากซอย ทุกคนก็ต่างหยุดมองด้วยความสงสัย
เนื่องจากเป็นย่านชานเมือง ปกติจึงไม่ค่อยมีรถดีๆ จอดอยู่แถวนี้
ปกติแล้วในย่านนี้แค่มีรถมาโกตัน[1]ขับสักคันก็ถือว่ารวยสุดๆ แล้ว
เมื่อซ่งจื่อเซวียนลงจากรถ ผู้คนก็เริ่มส่งเสียงซุบซิบ
“ว้าว นั่นมันเจ้ารองนี่นา นั่งรถหรูๆ แบบนี้กลับบ้านเลยเหรอ”
“นั่นสิ เจ้ารองนี่มีอนาคตแล้วนะ”
“มีอนาคตอะไรล่ะ อาจจะเรียกรถผ่านแอปก็ได้ ใช้ตังค์นิดหน่อยก็อวดรวยได้แล้ว”
ที่จริงแล้ว ซ่งจื่อเซวียนเคยกลับบ้านด้วยรถบีเอ็มดับบลิวของซางเทียนซั่วมาก่อน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงดึกหรือเช้าตรู่ตอนออกไปทำงาน
แต่วันนี้เป็นช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านที่สุด
ประกอบกับรถรุ่นใหม่สีดำสนิทยังให้ความหรูหรา น่าเกรงขาม มากกว่าบีเอ็มดับบลิวสีแชมเปญที่ดูเรียบง่าย
“เจ้ารอง!”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะเดินเข้าซอย แต่มีเสียงหนึ่งเรียกไว้ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นหยางต้าฉุยเถ้าแก่ร้านอาหารชุนเซียงยืนรออยู่
“เถ้าแก่ ฮ่าๆ บังเอิญจังเลยนะครับ”
“ไอ้หนุ่ม ยังเรียกฉันว่าเถ้าแก่อยู่อีกเหรอ ฉันว่าแกต่างหากที่น่าเรียกว่าเถ้าแก่มากกว่า ฮ่าๆ ช่วงนี้ไปทำมาหากินที่ไหนล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างเคอะเขิน “ไม่ดีกว่าครับ เรียกเถ้าแก่เหมือนเดิมดีกว่า ฮ่าๆ ผมก็ยังทำงานเดิมนั่นแหละครับ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยพูดถึงงานร้านอาหารให้คนละแวกบ้านฟังจริงๆ จังๆ ความจริงแล้วนอกจากรถคันนี้ที่ซ่งอีหนานซื้อให้ เขาก็ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมาเสมอ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องแต่งตัวด้วย
แม้ว่าซางเทียนซั่วจะขับรถมารับเขาตอนเช้า แต่บางครั้งเขาก็ขอให้ซางเทียนซั่วจอดรถไกลๆ
“อืม ทำอาหารไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เจ้ารอง แกประสบความสำเร็จแล้วนะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับเถ้าแก่ ผมก็แค่ทำงานหาเงินเลี้ยงแม่ผมเท่านั้นเอง!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หยางต้าฉุยพยักหน้า ยิ้ม “รู้จักกตัญญู ว่าแต่เจ้ารอง มีเวลาแวะมาคุยที่ร้านบ้างสิ ยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกันนี่นา”
“แน่นอนครับ เถ้าแก่พูดถูก ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย ไว้ผมมีเวลาว่างจะไปนั่งที่ร้านของเถ้าแก่แน่นอนครับ”
“ดีมาก นี่แกจะกลับบ้านแล้วใช่ไหม”
“อ๋อ ผมแวะมาเอาของแป๊บหนึ่งน่ะครับเถ้าแก่ เดี๋ยวผมจะรีบไปทำงานแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
หยางต้าฉุยรีบพยักหน้า “ไปเถอะๆ ไม่รบกวนเวลาทำงานแกดีกว่า”
หยางต้าฉุยมองดูซ่งจื่อเซวียนเดินจากไปด้วยสีหน้ารู้สึกชื่นชมอย่างมาก แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…เสี่ยวเสวี่ย… แกมันไม่มีวาสนา เจ้ารองมันอนาคตไกลจริงๆ”
แม้ว่าหยางต้าฉุยจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับร้านอาหารร่ำรวยและสวนสวินเฟิง แต่เขาก็เห็นได้ชัดว่าซ่งจื่อเซวียนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังคงสวมชุดวอร์มชุดเดิม แต่ท่าทางของเขาก็ดูเข้มแข็งขึ้นมาก
ซ่งจื่อเซวียนหยิบกระทะเหล็กเขียวขึ้นมาแล้วขึ้นรถไปยังสวนสวินเฟิง
ระหว่างทาง สูตรอาหารโต้วหลงเหมินก็วนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เมื่อเข้าประตูร้านอาหาร ซ่งจื่อเซวียนก็ตรงไปที่ครัวด้านหลังทันที
เตาไฟลุกโชน ไม่นานก็มีควันขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากกระทะ แต่ไม่มีกลิ่นฉุนเหมือนเมื่อวาน
ซ่งจื่อเซวียนมองดูกระทะเหล็กเขียวตรงหน้าด้วยความชื่นชม ราวกับฟางรุ่ยมองรถเบนซ์
“สมแล้วที่เป็นกระทะเหล็กเขียว…”
……………………………………………….
[1] มาโกตัน (Volkswagen Magotan) ชื่อรุ่นรถโฟล์คสวาเกนที่ผลิตในจีน ปัจจุบันไม่มีวางขายในท้องตลาดแล้ว