เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 258 วัตถุดิบหลักอย่างสุดท้าย
ตอนที่ 258 วัตถุดิบหลักอย่างสุดท้าย
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่มุมร้านคือ เหลยจื่อ ลูกน้องของเสี่ยปา
ถ้าพูดถึงสถานะในวงการ ฉินซินเจี๋ยเรียกเหลยจื่อว่า ‘เสี่ย’ ก็ถือว่าไม่ผิด
เมื่อเห็นไอ้เวรนี่เข้ามาวางก้าม เหลยจื่อก็ทนไม่ไหวตะโกนออกไป
ทันทีที่พูดจบ เหล่าลูกน้องในร้านอาหารก็เข้าใจความหมาย ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาฉินซินเจี๋ย
ฉินซินเจี๋ยได้แต่นิ่งอึ้ง เขาไม่รู้เลยว่าพวกคนที่มาหาเรื่องพวกนี้เป็นลูกน้องของเหลยจื่อ และนี่คือสิ่งที่โจวเผิงตั้งใจปิดบังเขา
ซวยจริงๆ สู้ดีไหมนะ ถึงสู้ก็คงแพ้ยับเยินอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนักเลงเก่า ใช่ว่านักเลงกระจอกพวกลูกน้องของเขาจะเอาชนะได้เสียหน่อย
แต่ถึงจะเอาชนะได้ เขาก็เป็นคนของเสี่ยปา ถ้าโดนหมายหัวขึ้นมา…ฉินซินเจี๋ยคนนี้ก็ใช่ว่าจะรับผิดชอบไหว
สู้หรือไม่สู้ก็ปัญหาใหญ่พอๆ กัน…
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้เวลาฉินซินเจี๋ยคิด เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว
ลูกน้องของฉินซินเจี๋ยมีบางคนเป็นนักเลงละอ่อน ไม่เคยผ่านการต่อสู้จริง พวกเขาอาจจะกล้ารังแกคนอื่น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักเลงตัวจริง พวกเขาก็เริ่มหวั่นใจ
เหมือนกับตอนนี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเหลยจื่อ
พวกเขาแต่ละคนอายุสามสิบสี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ดูท่าทางน่ากลัว ใครมันจะไปกล้าสู้ด้วย
ผัวะ!
หมัดแรกถูกปล่อยเข้าที่ใบหน้าของฉินซินเจี๋ย เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งตัว ตามด้วยหมัดและเท้าที่กระแทกใส่รัวๆ
นี่คือวิธีการต่อสู้ของนักเลงตัวจริง หมาหมู่รุมมุ่งเป้าไปที่หัวหน้าของอีกฝ่ายแค่คนเดียว
เพื่อที่จะได้ควบคุมสถานการณ์ให้เร็วที่สุด
เป็นไปตามคาด ลูกน้องของฉินซินเจี๋ยไม่มีใครกล้าขยับ พวกเขาเห็นหัวหน้าโดนรุมกระทืบก็ได้แต่มองดู…
จะเข้าไปช่วยเหรอ พวกเขาไม่กล้าหรอก
ไม่นานเหลยจื่อและลูกน้องของเขาก็โยนฉินซินเจี๋ยออกไป
ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ให้ความร่วมมือ แหวกทางสองข้างให้พวกเขาเดินออกไปอย่างง่ายดาย…
จากนั้นเหลยจื่อและลูกน้องของเขาก็กลับไปนั่งจิบชาต่อ โดยมีเหล่าลูกน้องยืนอยู่หน้าประตูราวกับเป็นยามรักษาการณ์…
ติงเฉิงร้อนใจแทบคลั่ง ตอนนี้เขาติดต่อโจวเผิงไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
……………….
สวนสวินเฟิง
ซ่งจื่อเซวียนนั่งจิบชาอย่างสบายใจ พลิกดูสูตรอาหารราชวงศ์ชิงอยู่ในห้องทำงาน
สองสามวันที่ผ่านมา ถังหย่าฉีไม่มาหาเขาเพราะใกล้สอบแล้ว เธอไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดทุกวัน
แต่เธอก็ไม่ลืมโทรหาซ่งจื่อเซวียน เพื่อตรวจสอบดูว่าเขาทำงานอยู่หรือไม่
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น สวนสวินเฟิงไม่ใช่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เถ้าแก่ร้านจำเป็นต้องอยู่คอยดูแลสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ
หลังจากอ่านสูตรอาหารมาพักหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มเข้าใจวัตถุดิบหลักบางชนิดของโต้วหลงเหมินแล้ว
ปลาหมึก หอยเชลล์ และปลาเงิน ล้วนเป็นวัตถุดิบของโต้วหลงเหมิน แต่ยังมีประโยคหนึ่งที่คาใจซ่งจื่อเซวียน
“ลิ้มรสมิต้องแกล้มสุรา เงินทองมิสรรหา หลิวลู่วสันต์ชล เกล็ดเหมันต์ลอยเหนือวารี”
ตามหลักแล้ว ซ่งจื่อเซวียนคาดเดาว่าโต้วหลงเหมินน่าจะเป็นอาหารทะเล
โดยมีปลาหมึก หอยเชลล์ และปลาเงินเป็นวัตถุดิบหลัก
ปลาหมึกเป็นวัตถุดิบยอดนิยมของนักชิมมาช้านาน ทั้งรสชาติและความสดใหม่ จัดว่าเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ
หอยเชลล์ หมายถึงเนื้อหอยเชลล์ทั้งตัว ซึ่งจะต้องมีสีเหลืองและอวบอ้วน
ส่วนปลาเงินเป็นปลาที่นิยมอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะนำไปทอด ผัด ต้ม นึ่ง หรือตุ๋น ต่างก็มีรสชาติอร่อย
แต่ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ได้ลองทำมาก่อน เขาคิดว่าประโยคที่เขาเข้าไม่ถึงนี้มีความสำคัญมาก
ในการปรุงอาหาร วัตถุดิบทุกชนิดล้วนมีความสำคัญ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป รสชาติของอาหารก็จะไม่เป็นไปอย่างที่ควรเป็น
ซ่งจื่อเซวียนคิดถึงประโยคนี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ดูเหมือนว่า…เขาจะต้องไปถามปู่ฟางแล้ว
“ลิ้มรสมิต้องแกล้มสุรา เงินทองมิสรรหา…”
ซ่งจื่อเซวียนพึมพำกับตัวเอง “กินได้โดยไม่ต้องแกล้มเหล้า ไม่ต้องใช้วัตถุที่เป็นเงินกับทอง…มันหมายถึงอะไรกันแน่ เงาของต้นหลิวสะท้อนเหนือผิวน้ำในฤดูใบไม้ผลิ แต่เกล็ดหิมะกลับลอยขึ้นเหนือน้ำเนี่ยนะ
หลิวลู่วสันต์ชล ก็ต้องเป็นฤดูใบไม้ผลิสิ แล้วทำไมถึงมีหิมะล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า ถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจผิดไป
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อผู้โทรว่าเป็นเสี่ยปา
“ครับเสี่ยปา”
“น้องชาย คนของฉันไปจัดการตั้งแต่เช้า วันนี้ร้านสวนชุนสยาเปิดร้านไม่ได้แล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างพอใจ นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ เพียงแค่เสี่ยปาลงมือ ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามก็ไม่มีทางเปิดกิจการได้
“ฮ่าๆ ลำบากเสี่ยปาแย่เลยครับ สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ”
“พวกฝั่งตรงข้ามมันจ้างพวกอันธพาลมาคุ้มครองร้านเหมือนกัน แต่แกลองเดาดูสิว่าเป็นไง ฮ่าๆ พวกแม่งก็แค่เด็กเหลือขอ ไม่มีใครกล้าหือ หัวหน้ามันชื่อเจี๋ยๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ พวกเราจัดการมันไป พวกที่เหลือก็ไม่กล้าทำอะไร มีแต่ผู้จัดการร้านที่แจ้งความ”
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง “หือ แจ้งความเลยเหรอครับ เหลยจื่อไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“ไม่ต้องห่วงน่าน้องชาย แค่ทะเลาะวิวาทธรรมดา ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการยกพวกตีกัน เหลยจื่อรับผิดชอบคนเดียว ฉันเพิ่งสั่งให้คนไปพาเขากลับมา อีกฝ่ายไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายอะไร”
“ไม่เรียกร้องค่าเสียหายเหรอครับ”
“ไร้สาระน่ะ มันจะกล้าเรอะ ถ้ามันกล้าเรียกร้องเอาตังค์ เดี๋ยวพ่อส่งคนไปอัดแม่ง!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆ แค่มีเสี่ยปาอยู่ ผมก็สบายใจแล้วครับ”
“ผู้จัดการร้านพวกมันไปที่สถานีตำรวจด้วย เพราะงั้นพวกมันก็เลยเปิดร้านไม่ได้ ถ้ามีหัวคิดสักหน่อย พรุ่งนี้ก็อย่าเปิดร้าน ถ้ากล้าเปิดอีก พวกฉันก็จะไปหาเรื่องอีก!” เสี่ยปาพูด
“ฮ่าๆ แล้วแต่เสี่ยปาจะตัดสินใจเลยครับ แต่ก็เอาแต่พอเหมาะพอควรนะครับ เดี๋ยวพวกมันแจ้งความบ่อยๆ เข้า ตำรวจอาจจะโมโหแล้วทำอะไรเสี่ยปาได้”
“เรื่องนี้ฉันเข้าใจดี ไม่ต้องห่วงหรอกไอ้น้อง เรื่องนี้พี่เอาอยู่ ฮ่าๆๆ”
ซ่งจื่อเซวียนวางสาย ระบายยิ้มบาง พลางจุดบุหรี่แล้วเอนหลังบนเก้าอี้
ร้านสวนชุนสยาเปิดกิจการไปก็เป็นภัยกับตัวเอง แถมยังขาดฝีมือการทำอาหารของหลี่เหยียนไป อีกไม่นานก็คงต้องปิดตัวลง
ซ่งจื่อเซวียนไม่สงสัยในตัวหลี่เหยียน
ไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าหลี่เหยียนนั้นซื่อสัตย์เพียงใด แต่เพราะคนคนนี้เรียบง่าย ตั้งมั่น เขาไม่มีวันผิดสัญญาที่ให้ไว้กับตนได้
บวกกับความตั้งใจที่จะท้าทายตัวเอง การปล่อยให้เขาจมจ่อมอยู่ในร้านอาหารร่ำรวยจนกว่าร้านสวนชุนสยาจะปิดตัวลง น่าจะไม่มีปัญหา
ส่วนโจวเผิง ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้รีบร้อน ในเมื่อโจวเผิงคิดว่าตนสามารถสอดแนมข่าวสารจากร้านอาหารร่ำรวยได้ เขาก็จะใช้โอกาสนี้ปล่อยข่าวปลอมออกไป
แค่นี้โจวเผิงก็กลายเป็นหมากของเขาแล้ว
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนหยิบสูตรอาหารขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
แต่ก็เหมือนเดิม เขาสามารถระบุวัตถุดิบหลักได้เพียงสามอย่างคือ ปลาหมึก หอยเชลล์ และปลาเงิน วิธีการปรุงอาหารคลุมเครือ แถมประโยคที่เข้าใจยากยิ่งก็ทำให้เขาสับสน
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้สึกว่าประโยคนี้อาจจะสำคัญมาก มันอาจจะบอกวิธีการปรุงอาหาร หรืออาจจะเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญยิ่งขึ้น
ไม่ต้องรอให้เลิกงาน ซ่งจื่อเซวียนก็ออกเดินทางจากสวนสวินเฟิงพร้อมกับขวดเหมาไถ ไปยังบ้านของฟางจิ่งจือ
ในเวลานี้ ฟางจิ่งจือกำลังนั่งจิบชาอยู่ในลานบ้าน พร้อมกับฟังเพลงเพลินๆ
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกประหลาดใจ ปกติชายชราจะฟังงิ้ว แต่ทำไมวันนี้ถึงฟังเพลงป๊อปล่ะ
เขาหัวเราะแล้วเดินเข้าไปหา “ปู่ สบายดีไหมครับ ทำไมถึงมาฟังเพลงป๊อปล่ะครับ”
ฟางจิ่งจือได้ยินก็ไม่ได้ลืมตา เพียงแต่ยักไหล่ขึ้น “โอ้ มาเร็วจังนะวันนี้ งานการไม่ต้องทำหรือไง!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เดินไปนั่งข้างๆ “ปู่ ดูสินี่อะไร”
ฟางจิ่งจือลืมตาขึ้นมอง เปลือกตาที่เกียจคร้านนั้นเบิกโพลงทันทีที่ได้เห็น
“เหล้านี่…ราคาไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ ไอ้หลานชาย แกรวยแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะยกใหญ่ ตาเฒ่าคนนี้เริ่มจะหลงๆ ลืมๆ แล้ว ช่วงนี้เขาซื้อเหมาไถมาให้ปู่บ่อยๆ นะ…
“เหอะๆ ปู่ครับ เย็นนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวหลานจะซื้อมาให้เอง หรือว่า…น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายดีไหม”
ฟางจิ่งจือส่ายหน้าช้าๆ “น่าเบื่อ…”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกปวดหัว ฟางจิ่งจือเป็นคนเดียวที่บอกว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายน่าเบื่อ
“แล้วปู่จะกินอะไรล่ะครับ”
ฟางจิ่งจือคิดอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยตอบ “ปลา ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว แกไปจับมาให้ฉันหน่อยสิ”
“ได้ครับ ผมจะไปซื้อมาให้เดี๋ยวนี้ เอาปลาอะไรดีครับ ปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็ม มีเกล็ดหรือไม่มีเกล็ด”
ฟางจิ่งจือมองมาที่เขา “ทำไมถึงพูดมากเหมือนผู้หญิงแบบนี้นะ บอกว่ากินปลาไง แกก็ไปทำมาสิ”
“ให้ผมทำเหรอครับ”
ฟางจิ่งจือพยักหน้า หลับตาลงอีกครั้ง ไม่คิดจะอธิบายอะไรต่อ
ซ่งจื่อเซวียนรีบโทรหาฟางรุ่ย บอกให้เขาไปซื้อปลาหลีฮื้อเป็นๆ สองตัวจากตลาดมาส่งที่นี่
ไม่นานนัก ฟางรุ่ยก็ซื้อมาให้ ซ่งจื่อเซวียนจัดการทำความสะอาดปลา ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็เริ่มปรุงอาหาร
ฟางจิ่งจือเป็นคนแบบนี้ ไม่ชอบพูดอะไรมาก ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ถามวิธีทำ และตัดสินใจทำปลาหลีฮื้อน้ำแดง
“นายท่านรอง วันนี้จะทานปลากันเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ทำไม อยากลองชิมด้วยเหรอ”
“ฮ่าๆ ไม่ได้ทานนานแล้วน่ะครับ แต่ทำให้ท่านผู้เฒ่าทานดีกว่าครับ…”
ฟางรุ่ยหัวเราะขำขัน
พูดตามตรง ฟางรุ่ยไม่ค่อยสนใจเรื่องอาหารสักเท่าไร แต่หลังจากมาอยู่กับซ่งจื่อเซวียน เขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทุกวันมีแต่อาหารอร่อยๆ รอบตัว แม้จะไม่ได้ทานทั้งหมด แต่แค่ได้กลิ่นก็พอใจแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขา “ปู่กินไม่เยอะหรอก กินแค่สองสามคำก็อิ่มแล้ว เดี๋ยวเหลือนายก็เอาไปกินต่อละกัน”
“ครับ นายท่านรอง ผมช่วยนะครับ”
ในไม่ช้า ซ่งจื่อเซวียนก็วางปลาหลีฮื้อน้ำแดงบนโต๊ะอาหาร
“ปู่ จะกินบนเตียงหรือมากินตรงนี้ดี”
ฟางจิ่งจือลุกขึ้นช้าๆ “นั่งที่โต๊ะดีกว่า คนเยอะๆ ได้บรรยากาศดี เรียกหลานแกตรงนั้นมากินด้วยกันสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยต่างงุนงงไปตามๆ กัน ตาเฒ่าคนนี้พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ…
“ปู่ เขาไม่ใช่หลานผมซะหน่อย นี่เพื่อนผมชื่อรุ่ยจื่อ คราวก่อนเคยซื้อเหล้ามาให้ปู่ด้วยไง”
ฟางจิ่งจือคิดอยู่พักหนึ่ง “อ้อ…พอจะจำได้แล้ว รุ่ยจื่อ ใช่เจ้าเด็กอาภัพ ที่โดนเจ้าของที่รังแกมาใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยยิ้มให้กันโดยไม่พูดอะไร ใครจะไปรู้ว่าปู่คิดอะไรอยู่…
“เอาล่ะครับปู่ รีบชิมเร็วสิ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
ฟางจิ่งจือพยักหน้า จิบเหล้าหนึ่งอึก แล้วคีบปลาหลีฮื้อน้ำแดงเข้าปากหนึ่งคำ
ทันทีที่ปลาเข้าปาก ฟางจิ่งจือก็หลับตาลงแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ทำปลา…ต้องไม่ใช่รสชาตินี้สิ…”
“หือ ไม่อร่อยเหรอปู่” ซ่งจื่อเซวียนถามพร้อมกับส่งสายตาให้ฟางรุ่ยลองชิม
ฟางรุ่ยลองชิมหนึ่งคำ “อร่อยมากเลยครับนายท่านรอง ท่านผู้เฒ่ามาตรฐานสูงเกินไปหรือเปล่าครับ”
ฟางจิ่งจือหัวเราะเยาะ “ฮ่าๆ ไอ้หนู แกไม่เข้าใจหรอก เทียบกับโต้วหลงเหมินแล้ว ปลาจานนี้…ควรเอาไปเททิ้ง!”
“อะไรนะปู่ ปู่บอกว่า…โต้วหลงเหมินมีปลาด้วยงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ ถ้าเป็นอย่างนั้น ประโยคในสูตรอาหาร…น่าจะเป็นวัตถุดิบหลักชนิดสุดท้ายของโต้วหลงเหมิน นั่นก็คือ ปลา!
………………………………………..