เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 257 จับมันโยนออกไปซิ
ตอนที่ 257 จับมันโยนออกไปซิ
แม้จะกังวล แต่โจวเผิงก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“ช่างหัวมันเถอะ เปิดร้านก่อน!”
โจวเผิงหมดหนทางแล้วจริงๆ เพราะเขาสัญญากับเฮ่อเหยียนข่ายไว้ว่าจะเปิดร้านวันนี้ อย่างไรก็ต้องเปิด
เฮ่อเหยียนข่ายคือผู้ลงทุน ถ้าทำให้เขาไม่พอใจ ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้!
“ครับ ประธานโจว แต่…ข้าวผัดจักรพรรดิยังจะขายต่อไหมครับ” ติงเฉิงถาม
โจวเผิงกลอกตา “ขายบ้าขายบออะไรอีก! จะบอกไว้นะ รีบอาศัยกระแสช่วงนี้ขายของให้ได้ จะขายหมูผัดเต้าเจี้ยวก็เรื่องของแก!”
“เข้าใจแล้วครับประธานโจว ผมจะไปที่ร้านสวนชุนสยาเดี๋ยวนี้ครับ วางใจได้เลย”
หลังจากวางสาย โจวเผิงก็บ่นพึมพำ “วางใจกับผีน่ะสิ น่ารำคาญจริงโว้ย ทำไมมันถึงวุ่นวายขนาดนี้นะ…”
ขณะที่กำลังบ่นอยู่นั้น ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยก็มาถึงร้านอาหารร่ำรวย โจวเผิงเปลี่ยนสีหน้าทันที
เขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อันยืดเยื้อกับร้านอาหารร่ำรวยแล้ว
ตราบใดที่เขายังทำงานที่ร้านอาหารร่ำรวย ก็แสดงว่าเขายังมีอาวุธอันทรงพลังอยู่ในมือ การรู้เขารู้เราไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้
“นายท่านรอง มาเร็วจังเลยนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “คุณก็มาเร็วเหมือนกันนี่ เปิดร้านได้แล้ว”
ถึงแม้โจวเผิงจะเป็นผู้จัดการร้าน แต่ไม่มีอำนาจอะไรมาก เพราะร้านอาหารร่ำรวยไม่มีลำดับชั้นอยู่แล้ว
แม้จะไม่มีอำนาจอะไร แต่เขาก็มีกุญแจร้าน เมื่อได้ยินดังนั้น โจวเผิงก็ตอบรับและเดินไปเปิดประตู
“รุ่ยจื่อ เอาของเข้าไป”
“ในครัวด้านหลังใช่ไหมครับ”
“ไม่ เอาไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ เดี๋ยวฉันให้เข่อเอ๋อร์ช่วยเก็บเอง”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ดีว่ามูลค่าน้ำมันกล่องนี้ไม่ใช่ถูกๆ ตกถุงหนึ่งราคาเกือบสองพันหยวน ทั้งหมดมีร้อยกว่าถุง รวมๆ แล้วก็ประมาณสองแสนกว่าหยวน
ถ้าเอาไปเก็บไว้ที่ครัวด้านหลัง แล้วพวกพนักงานรู้ว่าเป็นน้ำมันสำหรับข้าวผัดจักรพรรดิ จากนั้นเอาไปใช้ทำอาหารที่บ้านคนละถุงสองถุง เขาก็คงได้ร้องไห้จนน้ำตาแห้ง
เมื่อทุกคนเข้ามาในร้าน โจวเผิงก็ทำเป็นทำความสะอาด เช็ดถูโต๊ะเก้าอี้
“นายท่านรอง คราวนี้ร้านสวนชุนสยาคงจบเห่แล้วละมั้งครับ คงเล่นตุกติกไม่ได้แล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ท่าทางของโจวเผิงในสายตาของเขาช่างน่าขำ
เขารู้ดีว่าโจวเผิงแค่หาเรื่องคุยเพื่อล้วงข้อมูลจากเขา
“ฮ่าๆ ใครจะรู้ล่ะ ถ้าพวกมันกล้าเปิด เสี่ยปาคงจะหาคนไปถล่มล่ะมั้ง”
ประโยคนี้แทงทะลุหัวใจของโจวเผิง กลัวอะไรได้สิ่งนั้นจริงๆ สิน่า…
“เอ่อ…นายท่านรอง ไม่ดีมั้งครับ เรามันก็คนทำมาหากินสุจริตกันทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องขึ้นมา แจ้งตำรวจยุ่งยากจะตายชัก”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “คนหากินสุจริตงั้นเหรอ คุณเอาตาข้างไหนมองว่าเสี่ยปาเป็นคนหากินสุจริตล่ะ”
“…”
“แต่ยังไงเขาก็อยู่ฝั่งร้านอาหารร่ำรวยอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวไปหรอก ต่อให้คนจะโดนต่อย ก็เป็นคนของร้านสวนชุนสยานั่นแหละ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมจ้องหน้าโจวเผิง
เมื่อเห็นโจวเผิงหน้าซีด ซ่งจื่อเซวียนก็พยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันนั้น หลี่เหยียนก็สะพายกระเป๋าเป้เดินเข้ามาในร้าน
เมื่อเห็นหลี่เหยียน โจวเผิงถึงกับเหวอ
ไหนติงเฉิงบอกว่าติดต่อไม่ได้ เจ้าตัวเดินมาเองโทงๆ เลยนี่หว่า…
ว่าแต่…ทำไมถึงมาที่ร้านอาหารร่ำรวยล่ะ โจวเผิงไม่คิดว่าหลี่เหยียนจะเมาขี้ตาจนเดินมาผิดร้าน เพราะมันเป็นไปไม่ได้
เนื่องจากเขาเป็นคนวางแผนเรื่องทั้งหมดนี้ โจวเผิงจึงรู้จักหลี่เหยียน แต่หลี่เหยียนไม่น่าจะเคยเจอเขามาก่อน
ประกอบกับนิสัยของหลี่เหยียน ที่เป็นพวกไม่ค่อยใส่ใจเรื่องอื่นๆ นอกจากการทำอาหาร จึงไม่น่าจะรู้จักโจวเผิง
หลี่เหยียนเดินเข้ามาทักทายซ่งจื่อเซวียน และเมื่อเห็นโจวเผิงอยู่ ก็พยักหน้าทักทายด้วย
ในหัวโจวเผิงเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็พยักหน้าเป็นการตอบกลับอยู่ดี
“คุณซ่ง ฉันเข้าครัวก่อนนะ”
“ฮ่าๆ เมื่อวานทำอาหารให้พนักงานหรือยัง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หลี่เหยียนอมยิ้มอย่างเคอะเขิน “อืม ทำแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ว่าถูกปากทุกคนรึเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ไม่เป็นไร ได้กินอาหารฝีมือนาย ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาแล้วล่ะ”
หลี่เหยียนไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ยิ้มบางๆ แล้วเดินเข้าครัวไป
โจวเผิงถาม “นายท่านรอง นั่นมัน…”
“ฮ่าๆ อ้อ ใช่แล้ว เมื่อวานคุณลางานนี่เนอะ เขาเป็นเด็กครัวที่ผมจ้างมาใหม่ รับผิดชอบงานล้างจาน เสิร์ฟอาหารอะไรทำนองนั้น”
คำพูดของซ่งจื่อเซวียนเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะโจวเผิง
เชฟหลักของร้านสวนชุนสยามาทำงานเป็นเด็กครัวที่ร้านอาหารร่ำรวยงั้นเหรอ
คิดยังไงเขาก็คิดไม่ตกว่ามันเป็นไปได้อย่างไร
แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่สามารถเค้นถามเอาความจากซ่งจื่อเซวียนได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่นานนัก พนักงานก็ทยอยเข้าร้าน
ซ่งจื่อเซวียนให้หลิงเข่อเอ๋อร์ทานอาหารเช้าอย่างสบายใจ ก่อนจะเรียกเธอมาที่เคาน์เตอร์
“อาจารย์ มีอะไรเหรอคะ”
“เข่อเอ๋อร์ เห็นกล่องใบนี้ไหม ข้างในเป็นถุงใส่น้ำมัน เธอช่วยดูแลน้ำมันพวกนี้ให้ฉันทีนะ”
หลิงเข่อเอ๋อร์ตกตะลึง “หา ให้ฉันดูแลน้ำมันเหรอคะ อาจารย์เป็นอะไรไปหรือเปล่า เก็บไว้ครัวไม่ได้เหรอคะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่ได้ ฟังฉันดีๆ นะ น้ำมันพวกนี้เอาออกมาใช้ได้ไม่เกินสิบถุงต่อวัน ให้หลี่เหยียนใช้แค่คนเดียวเท่านั้น”
“คน…ที่หน้าเป็นรอยบากนั่นน่ะเหรอคะ”
“นี่ จากนี้ไปเขาจะมาทำงานที่ร้านเราแล้ว ระวังคำพูดหน่อย เดี๋ยวนี้ชักจะพูดจาเหมือนเทียนซั่วเข้าไปทุกวันแล้วนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“โธ่ อาจารย์คะ ฉันผิดไปแล้วค่ะ…”
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นก็เบ้ปาก “ทำไมเรื่องชั่วๆ เอามาลงที่ผมหมดล่ะ…”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ช่างเถอะ พักเสร็จแล้วรีบไปที่ครัวล่ะ ข้างหลังมีของรอหั่นอยู่”
ซางเทียนซั่วยังมึน ตั้งแต่ซ่งจื่อเซวียนเข้ามาจัดการ เขาก็กลายเป็นลูกจ้างต๊อกต๋อยไปโดยปริยาย
วันๆ ในครัวมีแต่คนตามให้เขาไปช่วยหั่น ซอย สไลด์ เขาคนเดียวแทบจะจัดการงานในครัวไม่ทัน
ซ่งจื่อเซวียนหันมาหาหลิงเข่อเอ๋อร์ “ยัยหนู จำไว้ดีๆ ล่ะ ห้ามให้น้ำมันหายไปแม้แต่ถุงเดียว เข้าใจไหม”
แม้ว่าหลิงเข่อเอ๋อร์จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่เธอก็รู้ว่าเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริงจังใช่ย่อย
เธอทำมือโอเค “ไม่ต้องห่วงค่ะอาจารย์ เดี๋ยวฉันแกะกล่องแล้วจะเอามาเก็บไว้ในตู้ให้เองค่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มด้วยความพอใจพร้อมกับพยักหน้า
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ออกมาจากร้านอาหารร่ำรวย
เขาคิดว่าหลังจากนี้คงไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่อีกบ่อยๆ
เขาตั้งใจจะให้หูเจิ้นดูแลร้านชั่วคราวไปก่อน รอจนหลี่เหยียนเป็นงานแล้ว ค่อยให้เขารับผิดชอบงานครัวทั้งหมดของร้านอาหารร่ำรวย
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะย้ายหูเจิ้นไปเป็นหัวหน้าเชฟที่คลับเฮาส์หลงตู สองที่นี้ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป
ถึงตอนนั้นเขาจะได้เก็บตัวคิดค้นเมนูใหม่อยู่ในสวนสวินเฟิง นี่สิที่เขาเรียกว่าอิสระ
บรรยากาศของสวนสวินเฟิงดูหรูหรามากกว่า ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ที่นั่นมากกว่า
อีกอย่าง ลูกค้าส่วนใหญ่ของสวนสวินเฟิงมักจะมาตอนเย็น กลางวันอาจจะขายอาหารรัสเซียบ้าง ชั้นสองก็เงียบสงบ เหมาะแก่การนั่งอยู่ในห้องทำงาน คิดค้นสูตรอาหาร
ในขณะเดียวกัน ร้านสวนชุนสยาก็เปิดร้านอย่างเหงาหงอย
ครั้งนี้พวกเขาไม่เล่นใหญ่เหมือนครั้งก่อน เพราะถูกปิดร้านไปหลายวัน แถมเชฟหลักก็ไม่อยู่ จึงไม่มีอะไรให้โอ้อวดอีกต่อไป
พวกเขาปรับเปลี่ยนเมนูใหม่ และเปลี่ยนชื่อจากข้าวผัดจักรพรรดิเป็นข้าวผัดทองคำว่านเหลี่ยง
ทว่าตอนนี้ติดต่อหลี่เหยียนไม่ได้ พวกเขาจึงต้องใช้เทปปิดเมนูนี้ไปก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าลูกค้าสั่งก็ไม่มีอาหารเสิร์ฟให้
ติงเฉิงสั่งให้พนักงานเตรียมตัวให้พร้อม กำลังจะเปิดร้าน โทรศัพท์จากโจวเผิงก็ดังขึ้น
“ประธานโจว พวกเราเตรียมพร้อมแล้ว ไม่ต้องห่วงครับ”
“ให้ฉันวางใจได้ไง ติดต่อหลี่เหยียนได้หรือยัง” โจวเผิงถาม
“หา? ยังไม่ได้ครับ เดี๋ยวผมจะโทรหาเขาอีกที” ติงเฉิงตอบ
“โทรหาพระแสงอะไรของแก ฉันจะบอกให้นะ ไอ้หลี่เหยียนนั่นมันโง่เหมือนกับแกไม่มีผิด ตอนนี้มันกำลังเด็ดผักอยู่ในครัวที่ร้านอาหารร่ำรวยอยู่เนี่ย!”
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ติงเฉิงถึงกับอึ้ง “ฮะ? วะ ว่าไงนะ ไม่น่าใช่นะครับประธานโจว…”
“มันจะไม่ใช่ได้ยังไง ฉันเห็นกับตาตัวเอง แกคิดว่าฉันโกหกเหรอ”
“คือว่า…” ติงเฉิงสับสนไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมเชฟหลักของเขาถึงไปทำงานกิ๊กก๊อกที่ร้านตรงข้าม “ประธานโจว ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะไปตามเขากลับมาเอง!”
“แกจะบ้าเหรอ มาตอนนี้ก็รนหาที่ตายน่ะสิ คนที่นี่ไม่ต่อยแกจนตาเขียวก็บุญแล้ว”
ติงเฉิงเงียบไป เขารุ้สึกขุ่นเคืองใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา
โจวเผิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ วันนี้หลังเลิกงาน แกรออยู่ที่ร้าน มันออกมาจากร้านร่ำรวยนั่นเมื่อไร แกก็ไปดึงตัวมันมาเลย จำไว้นะ มันอยากได้เงินเดือนเท่าไร จ่ายให้ไม่อั้น เข้าใจไหม”
“ครับ ประธานโจว!”
วางสายได้ไม่ทันไร ติงเฉิงที่หันกลับมาก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
ระหว่างที่คุยโทรศัพท์ จู่ๆ ลูกค้าก็นั่งกันจนเต็มร้าน
ทว่าเขาไม่รู้สึกยินดีเลย เพราะคนเหล่านี้มีท่าทีคุกคามอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีทางมาดีแน่ๆ
พวกเขาแต่ละคนนั่งแยกกันคนละโต๊ะ ไม่พูดไม่จา ไม่สั่งอาหาร พนักงานเห็นการแต่งกายพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้
ติงเฉิงเดินไปหาโต๊ะหนึ่งแล้วถามว่า “พี่ชาย จะสั่งอะไรดีครับ”
ชายคนนั้นเงยหน้ามองติงเฉิง “สั่งอาหารเหรอ ยังไม่รีบหรอก น้ำชาร้านนายฟรีใช่ไหม”
“ครับ ใช่ครับ น้ำชาของเราฟรีครับ”
ชายคนนั้นพยักหน้า “อืม งั้นเอาชามา!”
“เฮ้ย ฉันด้วย เอาชามาด้วยกาหนึ่ง!”
“ฉันด้วย…”
…
ทันใดนั้น ทุกโต๊ะก็พร้อมใจกันสั่งชาฟรี ติงเฉิงมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าพวกเขาต้องมาหาเรื่องแน่ๆ
แต่เขาไม่มีทางเลือก โจวเผิงบอกเขาไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องรอให้โจวเผิงติดต่อมาหาเท่านั้น เขาไม่สามารถติดต่อโจวเผิงก่อนได้
ตอนนี้เขาต้องพึ่งตัวเองแล้ว
แต่พี่ชายพวกนี้ดูทรงแล้วไม่ใช่คนใจดี เขาจึงจัดการเอาน้ำชาไปเสิร์ฟให้ทุกโต๊ะ
ทันใดนั้น ประตูร้านก็เปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา นำโดยฉินซินเจี๋ย หรือพี่เจี๋ย!
ฉินซินเจี๋ยรับเงินจากโจวเผิงมาแล้ว ก็ต้องมาทำตามที่ตกลงกัน โจวเผิงบอกเขาไว้เมื่อสองสามวันก่อนว่าให้มาที่นี่ตอนเปิดร้าน
ถ้าไม่มีอะไรก็หาที่นั่งพัก ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ให้จัดการ
บังเอิญมีคนมาหาเรื่องพอดี
ฉินซินเจี๋ยมองไปรอบๆ แล้วตะโกนว่า “พวกแกมาทำอะไรกัน นั่งกันเต็มร้านแบบนี้…มาหาเรื่องหรือไง พวกแกมันก็แค่พวกกระจอกรู้หรือเปล่า!”
แต่ไม่มีใครสนใจคำพูดของเขา พวกเขาจิบชาและบ่นว่า “แม่ง ชาอะไรวะรสชาติหมาไม่แด* ชาเก่าเหรอ ไม่เห็นสดเลย!”
ฉินซินเจี๋ยถึงกับอึ้ง
เขาถลึงตาจ้องชายคนนั้น “เฮ้ย ฉันพูดอยู่นะเว้ย แกเก๋ามาจากไหนวะ ไม่เคยได้ยินชื่อฉันหรือไง พวกเรา! โยนไอ้เวรนี่ออกไปให้พ้น!”
ฉินซินเจี๋ยพูดจบ เหล่าลูกน้องของเขาก็กรูเข้ามาในร้านประมาณเจ็ดแปดคน
แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่นั่งอยู่มุมร้านก็ลุกขึ้นยืน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดูแคลน ไม่แม้แต่จะชายตามองหน้าฉินซินเจี๋ย
“พูดมากว่ะ จับมันโยนออกไปซิ!”
………………………………………………..