เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 256 แผนพังไม่เป็นท่า
ตอนที่ 256 แผนพังไม่เป็นท่า
ประโยคดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งหลี่เหยียนและหูเจิ้น ข้าวผัดจักรพรรดิ…ยังมีเวอร์ชันด้วยเหรอ
หลี่เหยียนขมวดคิ้วถาม “นี่มัน…หมายความว่ายังไง”
“ฮ่าๆ นายคิดว่าข้าวผัดจักรพรรดิที่นายทำมาจนถึงตอนนี้มันถูกต้องงั้นเหรอ”
“หืม นายไม่อยากยอมรับว่าฉันแกะสูตรข้าวผัดจักรพรรดิของนายออกมากกว่ามั้ง” หลี่เหยียนกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ดูเหมือนว่านายต้องลองชิมข้าวผัดจักรพรรดิดีๆ สักครั้งนะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็สั่งให้หูเจิ้นไปเตรียมส่วนผสม ไม่ถึงห้านาทีข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งจานก็เสร็จเรียบร้อย
เมื่อได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย พนักงานในครัวก็ชินไปเสียแล้ว
พวกเขาเห็นซ่งจื่อเซวียนผัดข้าววันละยี่สิบจานทุกวัน ได้กลิ่นหอมที่แทบจะไร้ที่ติ แต่…ไม่มีใครมีโอกาสได้ชิมเลยสักครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนทำข้าวผัดจานใหญ่ แบ่งใส่หลายๆ ชาม
“เอาล่ะ ใครยังไม่ได้กินข้าวเช้าก็มาเอาไปคนละชามนะ”
“ฮ่าๆ ได้กินข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว เยี่ยมไปเลย!”
“ฉันขอด้วยชามหนึ่ง!”
“เฮ้ย แกกินข้าวเช้ามาแล้ว อย่ามาแย่งของฉัน!”
เห็นทุกคนกำลังจะแย่งกัน ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา “พอๆ ไว้มีโอกาสจะทำให้ใหม่ ไม่ต้องแย่งกัน”
พูดจบ เขาก็หยิบชามข้าวผัดหนึ่งชามส่งให้หลี่เหยียน “ลองชิมดูสิ ครั้งก่อนนายชิมไปแค่คำเดียวเอง เหอะๆ…มั่นใจไปหน่อยละมั้ง”
หลี่เหยียนมองซ่งจื่อเซวียน แล้วมองข้าวผัดจักรพรรดิในมืออีกฝ่าย
อย่างที่ซ่งจื่อเซวียนพูด ครั้งก่อนเขาชิมข้าวผัดจักรพรรดิไปแค่คำเดียว ตอนนั้นเขารู้สึกว่ารสชาติอร่อยมาก แต่ก็น่าจะทำได้ไม่ยาก คิดได้แบบนั้นแล้วก็เดินจากไปเลย
บอกตามตรง ถ้าให้เขาคิดถึงรสชาติของข้าวผัดจักรพรรดิในตอนนั้น บางทีเขาอาจจะจำไม่ได้แล้ว
เขาตักข้าวผัดจักรพรรดิเข้าปาก เคี้ยวเข้าไปคำแรก เขาถึงกับตะลึงงัน
หากจะบอกว่าตอนนั้นเขามั่นใจเกินไป จึงชิมแค่คำเดียว ตอนนี้เขาจำรสชาติของข้าวผัดจักรพรรดิที่ซ่งจื่อเซวียนทำได้อย่างชัดเจนแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว…ดูเผินๆ อาจจะคล้ายกัน แต่สำหรับเขาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้สึกได้เลยว่าต่างกันลิบลับ
“นี่มัน…ทำไม เป็นไปได้ยังไง…”
เห็นปฏิกิริยาของหลี่เหยียน ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกเป็นไปตามคาด
เขาระบายยิ้มบาง “นายสนใจแค่รสชาติของข้าวผัดจักรพรรดิตอนที่นายชิมครั้งแรก เลยชิมแค่คำเดียวแล้วไปลองทำเอง แต่นายไม่คิดเหรอว่าข้าวผัดจานหนึ่งตั้งราคาไว้ที่แปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนได้…จะเป็นเพราะเครื่องปรุงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น?”
หลี่เหยียนพูดไม่ออก อยู่ในอาการตกตะลึง
คำพูดของซ่งจื่อเซวียนทำให้เขาเริ่มคิดทบทวนตัวเอง บางที…อาจจะเป็นเขาเองที่มั่นใจเกินไป ถ้าตอนนั้นเขาทานข้าวผัดจักรพรรดิจนหมดจาน เขาคงไม่ทำข้าวผัดสูตรของตัวเองตามอำเภอใจแน่
แม้ว่าข้าวผัดจักรพรรดิสูตรของเขาจะขายดี แต่เขารู้ดีว่ายิ่งขายดีมากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกละอายใจมากเท่านั้น
เพราะว่า…ข้าวผัดของเขานั้นเทียบกับของซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เลย แถมยังไปแย่งลูกค้าของอีกฝ่ายมาอีก เขารู้สึกเหมือนตัวเองช่างเป็นคนไร้ยางอายเสียเหลือเกิน
เพราะที่ขายดีได้เป็นเพราะการบริหารจัดการและโฆษณาจากร้านสวนชุนสยา รวมไปถึงการลดราคาอย่างบ้าคลั่งทั้งนั้น
เขาไม่เคยรู้สึกละอายใจขนาดนี้มาก่อน หน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมาทันที
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “เป็นไงล่ะ จากนี้ไปฉันจะสอนนายทำข้าวผัดจักรพรรดิเอง”
หลี่เหยียนตกตะลึง หน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงอยู่แล้ว ยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก รู้สึกอับอายสุดๆ
“นะ…นายล้อฉันเล่นหรือไง ฉันทำข้าวผัดสูตรของนายไม่ได้หรอก!” หลี่เหยียนพูดพลางก้มหน้างุด
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ฉันจะสอนนายเอง”
“หืม”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “นายทำข้าวผัดไข่เป็นไหม”
“เป็นสิ คะ…ใครทำข้าวผัดไข่ไม่เป็นบ้างล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ดี งั้นเปิดเตาเลย”
“ฉัน ฉันเหรอ”
“จะใครอีกล่ะ”
หลี่เหยียนไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ก็เดินไปเปิดเตาแก๊ส
ซ่งจื่อเซวียนหยิบถุงน้ำมันออกมาแล้วถามว่า “นายคิดว่าน้ำมันถุงนี้ทำข้าวผัดได้กี่จาน”
หลี่เหยียนมองถุงน้ำมันขนาดเท่าฝ่ามือ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “การผัดข้าวถือว่าใช้น้ำมันเยอะ แต่ถุงนี้ก็เยอะเหมือนกัน น่าจะพอทำได้สักสองจาน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ดี งั้นนายใช้น้ำมันครึ่งหนึ่งผัดข้าว ทำตามวิธีผัดข้าวผัดไข่ ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงเพิ่ม”
“เอ่อ…”
“ฮ่าๆ ทำตามที่ฉันบอกก็พอ”
หลี่เหยียนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่หูเจิ้นและพนักงานครัวคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
นายท่านรอง…ให้หมอนี่ทำข้าวผัดไข่ทำไม พวกเราทำไม่เป็นงั้นเหรอ
หลี่เหยียนเริ่มทำอาหาร เขาใช้เครื่องครัวได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเฉพาะตอนพลิกตะหลิวขณะผัดข้าว สามารถโยนวัตถุดิบขึ้นสูงได้ถึงสี่สิบ ห้าสิบเซนติเมตรทีเดียว วิธีนี้ทำให้ผัดวัตถุดิบได้ทั่วถึง ได้รับความร้อนอย่างสม่ำเสมอ
แน่นอนว่า เชฟทั่วไปพลิกตะหลิวโยนวัตถุดิบสูงแค่สิบกว่าเซนติเมตรก็เพียงพอแล้ว
แต่การโยนวัตถุดิบสูงๆ ของหลี่เหยียนเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะทำไปเพื่อความสนุกมากกว่า ตามนิสัยของคนที่เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร
แต่เมื่อหลี่เหยียนเริ่มผัดข้าว เชฟคนอื่นๆ ก็ต้องตกตะลึง
รวมถึงตัวซ่งจื่อเซวียนเองด้วย
เขารู้สึกหวั่นๆ ตั้งแต่หลี่เหยียนเริ่มผัด เพราะข้าวผัดจานนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าข้าวผัดจักรพรรดิสามารถผลิตในปริมาณมากได้หรือไม่
ถ้าทำได้ เขาไม่เพียงแต่จะสามารถบริหารร้านอาหารร่ำรวยได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นการพัฒนาข้าวผัดจักรพรรดิไปอีกขั้น
เขาคิดต่อไปว่า ในอนาคตอาจจะทำเป็นอาหารสำเร็จรูป แต่…คงเป็นอาหารสำเร็จรูปราคาแพงหูฉี่แน่นอน
เมื่อกลิ่นหอมของข้าวผัดจักรพรรดิโชยมา ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกโล่งใจและยิ้มออกมาอย่างพอใจ
สำเร็จแล้ว!
ในไม่ช้า หลี่เหยียนก็ตักข้าวผัดออกจากกระทะแล้วหันไปมองซ่งจื่อเซวียน
ตอนนี้บนใบหน้าของหลี่เหยียนเต็มไปด้วยความงุนงง เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาทำตามวิธีผัดข้าวผัดไข่เป๊ะๆ แต่ทำไมถึงได้กลิ่นชวนอร่อยขนาดนี้
หูเจิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ อุทานขึ้นมา “นายท่านรอง ขะ…เขาทำได้เหรอ นายสอนเขางั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “จริงๆ แล้วคุณก็ทำได้เหมือนกัน มา แบ่งข้าวผัดจานนี้ไปกินกันนะ หลังจากนี้ครัวจะกลับมาทำงานปกติ หลี่เหยียนจะรับผิดชอบข้าวผัดจักรพรรดิ เตรียมเปิดขายตามปกติในอีกสองสามวันข้างหน้า”
…………….
วันนี้โจวเผิงลาหยุด ไม่ได้มาที่ร้านอาหารร่ำรวย
เขาติดต่อฉินซินเจี๋ยให้มาที่ร้านสวนชุนสยาในเร็ววัน เพราะเขาเป็นผู้รับผิดชอบงานรักษาความปลอดภัยของร้าน
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรไปที่เบอร์หนึ่ง
ในไม่ช้า ปลายสายก็รับ
“พี่โจว เรื่องเป็นยังไงบ้าง” เสียงจากปลายสายฟังดูค่อนข้างนุ่มนวล คล้ายกับเสียงโจวเผิงมาก
“ท่านชายเฮ่อ จัดการเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เปิดร้านได้เลย” โจวเผิงตอบ
เฮ่อเหยียนข่ายพ่นลมหายใจออกมา “พี่โจว ผมไม่อยากให้มีปัญหาแบบนี้อีก ผมลงทุนในร้านสวนชุนสยาไม่ใช่น้อยๆ ไหนตอนแรกพี่สัญญากับผมแล้วไงว่าไม่ต้องกังวลกับเรื่องพวกนี้”
“ครับๆๆ เข้าใจครับท่านชายเฮ่อ แต่…มันเป็นอุบัติเหตุ นายวางใจเถอะ ต่อไปจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก”
“โอเค ผมรอฟังข่าวดีจากพี่นะ”
หลังจากวางสาย โจวเผิงก็กัดริมฝีปาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกตรวจสอบเมื่อครั้งก่อน แต่คือเรื่องที่พวกเฉิงปาสร้างปัญหา?
ฟังจากน้ำเสียงของเสี่ยหวงกับเถียนเหวินคุ่ย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คิดจะช่วย
คิดไปคิดมา เขาตัดสินใจโทรเรียกพวกฉินซินเจี๋ยมาก่อน อย่างน้อยก็น่าจะพอประคองสถานการณ์ไปได้สักพัก
หากเรื่องบานปลายขึ้นมา ก็คงต้องแจ้งตำรวจ
จากนั้นเขาก็โทรหาติงเฉิง ให้เรียกพนักงานทั้งหมดมาเตรียมงานวันนี้ พรุ่งนี้จะได้เปิดร้านแต่เช้า
……………………
เมื่อซ่งจื่อเซวียนมั่นใจแล้วว่าสามารถทำข้าวผัดจักรพรรดิจำนวนมากได้ ก็ออกไปจากร้านอาหารร่ำรวย
เขาไปที่ห้องปฏิบัติการทันที และปิดผนึกน้ำมันอีกเกือบสี่แกลลอน
แต่ครั้งนี้เป็นแกลลอนน้ำมันขนาดใหญ่
หลังจากใส่น้ำมันถุงสุดท้ายลงในกล่องกระดาษแล้ว น้ำมันทั้งหมดก็สูงเกือบเท่าขอบกล่อง
เขาทรุดตัวนั่งกับเก้าอี้ หายใจหอบ
ต้องบอกว่าการปล่อยกำลังภายในแบบนี้ เป็นการสิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาล ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเหมือนร่างกายของเขาอ่อนเปลี้ยไปหมดทุกส่วน
เสื้อชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แม้แต่เส้นผมก็ด้วย
“ดูเหมือนว่า…รีบร้อนเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน”
หันไปมองกล่องน้ำมันใบใหญ่ ซ่งจื่อเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ “ต่อไปทำแค่พอใช้สักสองสามวันก็พอ”
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็เรียกฟางรุ่ยเข้ามาปิดผนึกกล่อง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียน เขาก็ตะลึงงัน
“นายท่านรอง นายท่านรองเป็นอะไรไป แค่ซีลน้ำมันไม่กี่ถุง…ทำไมถึงหมดแรงขนาดนี้ล่ะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า เหงื่อไหลออกมาตามการขยับตัว
“รุ่ยจื่อ นายเป็นคนฝึกวิชา ขอถามหน่อย ถ้าใช้กำลังภายในมากเกินไป…ควรทำยังไงดี”
ได้ยินดังนั้น ฟางรุ่ยก็เข้าใจทันทีว่าการซีลน้ำมันของซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ใช้วิธีการปกติ แต่ใช้กำลังภายใน
“นายท่านรอง ใช้กำลังภายในได้เหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นิดหน่อย ฉันต้องบำรุงร่างกายไหม”
“แหงสิครับ นายท่านรอง แม้แต่ตอนที่พวกเราฝึกกำลังภายในก็ยังต้องพึ่งยาบำรุงบ้าง แต่การบำรุงร่างกายในเวลาปกติสำคัญที่สุดนะครับ”
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันขอไปซดน้ำแกงห้าสายก่อน จริงสิรุ่ยจื่อ นายมีวิธีทำให้กำลังภายในของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นบ้างไหม จะได้ไม่ต้องหมดแรงทุกครั้งแบบนี้”
ฟางรุ่ยพยักหน้าพูด “ต้องค่อยๆ ฝึกไปครับ ปกติต้องฝึกสมาธิ ไตร่ตรอง กำหนดลมหายใจ และฝึกฝนซ้ำๆ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและความคุ้นเคยครับ”
ซ่งจื่อเซวียนลองมาคิดๆ ดู ที่จริงเขาก็ฝึกสมาธิบ่อยๆ แต่เทียบกับคนอย่างฟางรุ่ยแล้ว คงจะห่างกันหลายชั้น
ต่อไปคงต้องต้องฝึกสมาธิให้บ่อยขึ้น และฝึกกำหนดลมหายใจควบคู่กันไปด้วย น่าจะได้ผล
“เข้าใจแล้ว ไปเถอะ ล่วงหน้าไปที่สวนสวินเฟิงเลย ฉันจะซดน้ำแกงห้าสายก่อน ไม่งั้นหมดแรงตายแน่”
คืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนฝึกสมาธิควบคู่กับการกำหนดลมหายใจ เขาพบว่าวิธีนี้ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการฝึกสมาธิเพียงอย่างเดียว
เขาสามารถควบคุมกำลังภายในตามความคิดได้ง่ายขึ้น ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเหมือนว่ากำลังภายในนี้สามารถควบคุมได้ง่ายดายขึ้นในชั่วพริบตา
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนออกจากสมาธิ รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือง่วงนอน
อีกทั้งพลังที่สูญเสียไปจากการปิดผนึกถุงน้ำมันเมื่อวาน ก็กลับมาเต็มเปี่ยม
เมื่อเทียบกับการฝึกสมาธิเพียงอย่างเดียว ผลลัพธ์นั้นดีขึ้นเป็นเท่าตัว
……………….
ณ ร้านอาหารร่ำรวย
โจวเผิงมาที่ร้านตั้งแต่เช้า เขาไม่ค่อยสนใจกิจการของร้านอาหารร่ำรวยสักเท่าไร เพราะวันนี้ร้านสวนชุนสยากำลังจะเปิดทำการ
แต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน โทรศัพท์ของติงเฉิงก็ดังขึ้นมา
“ติงเฉิง วันนี้มาที่ร้านเร็วๆ หน่อย มาเตรียมทุกอย่างให้พร้อม”
“เกิดเรื่องแล้วครับประธานโจว เมื่อวานผมโทรหาหลี่เหยียนทั้งวันแต่ไม่มีคนรับเลย ถ้าเขาไม่มา เราจะเปิดร้านกันยังไงล่ะครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น โจวเผิงก็ถึงกับตกตะลึง
ถูกต้องแล้ว หลี่เหยียนคือหัวใจสำคัญในการต่อสู้ครั้งใหญ่ของร้านสวนชุนสยา…
ถ้าอีกฝ่ายไม่มา แผนการทั้งหมดของเขาก็พังไม่เป็นท่า
………………………………………..