เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 255 เวอร์ชันของฉัน
ตอนที่ 255 เวอร์ชันของฉัน
อันที่จริงสำหรับหลี่เหยียนนั้นจะทำงานกับใครก็ได้ จุดประสงค์ของเขามีอย่างเดียว นั่นก็คือเอาชนะเชฟข้าวผัดจักรพรรดิที่ตู้เหมินให้จงได้
อีกทั้งทำงานอยู่ที่ร้านสวนชุนสยามานานขนาดนี้ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเถ้าแก่เป็นใคร
รู้แต่ว่ามีคนแนะนำเขามาที่ร้านสวนชุนสยา และที่นี่ผู้จัดการติงเป็นคนควบคุมทั้งหมด
พอลองคิดดู หลี่เหยียนจึงพูดว่า “ถ้าฉันไปที่ร้านอาหารของนาย…ฉันต้องทำอะไรบ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “แล้วแต่นาย อยากทำกับข้าวนายก็ทำ ไม่อยากทำกับข้าว อยากจะนอนทั้งวันก็ได้ ไม่ว่ายังไงร้านอาหารร่ำรวยของฉันไม่กลัวที่จะมีคนนอนเพิ่มอีกสักหนึ่งคน”
คนที่ซ่งจื่อเซวียนพูดถึงก็คือเฉียนปู้หลาย ตอนนี้มีคนแบบนั้นพักอยู่หนึ่งคนแล้ว มีหลี่เหยียนเพิ่มอีกสักคนก็ไม่เป็นไร
“ฉันยังไงก็ได้ แค่ให้ฉันได้จับตะหลิว อยากให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “จับตะหลิว…เหมือนจะยากนิดหน่อย”
“หืม นายบอกให้ฉันไปทำงานที่ร้านของนาย แต่ไม่ยอมให้ฉันจับตะหลิวงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “แน่นอนสิ ร้านอาหารของฉันมีเชฟ แล้วก็มีหัวหน้าเชฟ ถ้านายเข้าไปแล้วคงต้องให้ไปแทนที่พวกเขา แต่ในอนาคตนายก็จะไปจากตู้เหมิน แล้วจะไม่เท่ากับว่าฉันไล่คนออกฟรีๆ เหรอ”
“เอ่อ…นายหมายความว่ายังไง นายสั่งให้ฉันไปที่ร้านของนาย แต่ไม่ให้จับตะหลิว โอเค แล้วนายจะยอมแข่งขันกับฉันเมื่อไร”
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่หัวเราะ “ฉันรับประกันให้ไม่ได้หรอก แต่ถ้านายอยู่ที่ร้านสวนชุนสยา ฉันจะไม่ยอมแข่งกับนายแน่นอน”
“นาย…”
หลี่เหยียนก็ทนไม่ไหวแล้ว ซ่งจื่อเซวียนพูดจาวกไปวนมาทำให้เขาสับสนจริงๆ
“นายพูดมาให้ชัดเจนหน่อย จะแข่งไม่แข่ง อย่าพูดไร้สาระให้มากเกินไป ฉันไม่เข้าใจหรอก!”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอยากหัวเราะ แต่เขากลั้นไว้อยู่
อย่างไรเขาก็ต้องเคารพคนที่ยึดติดเรื่องการทำอาหารเป็นอย่างมาก ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูทึ่มนิดหน่อย…
“แข่ง…นายอยากจะแข่งอะไร แพ้ชนะแล้วจะเป็นยังไง”
“หืม แข่งอะไรก็ได้ แต่ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรหลังแพ้หรือชนะ…”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ถ้างั้นทำไมฉันต้องแข่งกับนายด้วยล่ะ ถ้านายชนะ ปล่อยข่าวออกไปก็ทำให้ฉันขายหน้า แต่ถ้านายแพ้ ก็ดันไม่บอกว่าจะทำยังไง ความจริงก็เท่ากับฉันแพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว”
“เอ่อ…”
หลี่เหยียนไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
เนื่องจากเมื่อก่อนตอนที่เขาไปเมืองอื่นๆ ก็ไม่เคยพูดว่าแพ้ชนะแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าเขาจะแพ้หรือชนะก็ออกจากเมืองเหล่านั้นอย่างเดียว
เมื่อถูกซ่งจื่อเซวียนถามแบบนี้กะทันหัน เขาจึงงุนงงไปเล็กน้อย
“ถ้างั้นนายก็พูดมา นายอยากจะทำยังไง” หลี่เหยียนถาม
ซ่งจื่อเซวียนแสร้งทำท่าครุ่นคิด
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าฉันแพ้ ในฐานะปัจจัยของผลการต่อสู้ที่รุ่งโรจน์ของนาย นายสามารถเพิ่มข้ออื่นได้ แต่ถ้าฉันชนะ…”
ขณะพูด แววตาของซ่งจื่อเซวียนก็แสดงความเจ้าเล่ห์ออกมา
“เหอะๆ นายต้องอยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวย เป็นเชฟให้ฉัน!”
“อะไรนะ ทำงานให้นายงั้นเหรอ แบบนั้นไม่ได้หรอก!”
“ไม่ได้งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร พวกเราไม่ต้องแข่งกันแล้ว รุ่ยจื่อ พวกเราไปกันเถอะ!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็หันตัวเดินออกจากครัวด้านหลังไป
หลี่เหยียนกลับยืนตะลึงอยู่ที่เดิม ตอบสนองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นไปชั่วขณะหนึ่ง
เขามาตู้เหมินเพื่อท้าประลองกับซ่งจื่อเซวียน แต่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่สนใจว่าร้านอาหารจะโดนนายถล่มเละหรือเปล่า และตอนนี้ก็ไม่อยากแข่งกับนาย…
พูดง่ายๆ คือนายมาตู้เหมินเสียเที่ยวแล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ร้านสวนชุนสยาอีกต่อไป ออกไปได้เลย ไปหาคู่ต่อสู้ที่เมืองอื่นแทน
แต่สำหรับหลี่เหยียนแล้ว เขาเป็นคนชอบเอาชนะเป็นอย่างมาก จะยอมพลาดโอกาสท้าประลองกับซ่งจื่อเซวียนได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงกัดฟันพูด “หึ ฉันจะต้องแพ้ให้กับเด็กอายุยี่สิบอย่างนายงั้นเหรอ”
เขาพูดพลางรีบวิ่งตามออกไป
“รอเดี๋ยวก่อน!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วก็ยืนนิ่ง ยิ้มมุมปากขึ้นมา
“มีอะไร”
“ฉันยอมรับเงื่อนไขของนายก็ได้ ถ้างั้นพวกเราก็มาแข่งกันเถอะ” หลี่เหยียนพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “ตอนนี้ยังไม่ได้”
“หืม ทำไมล่ะ”
“เหอะๆ พวกเรายังไม่รู้จักกัน ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่านายจะรักษาคำพูด ถึงตอนนั้นนายเฉไฉไม่ยอมเป็นพ่อครัวให้ฉันจะทำยังไงล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดยิ้มๆ
“จะเป็นไปได้ยังไง ฉันหลี่เหยียนเกลียดที่สุดคือคนขี้โกง ตีให้ตายฉันก็ไม่กลับคำพูด!”
“ฮ่าๆๆ ฉันจะไม่เชื่อนายเพราะประโยคนี้แหละ”
“ละ…แล้วนายจะเอายังไง”
“มาทำงานที่ร้านของฉันสองสามวันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกจากร้านสวนชุนสยาไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
หลี่เหยียนยืนอยู่ที่เดิม กัดฟันพูดว่า “โอเค ทำสองสามวันก็ทำแค่สองสามวัน จะทำกับข้าวหรือเป็นงานเบ็ดเตล็ดของเด็กครัว ฉันก็เคยทำมาหมดแล้ว!”
เดินออกจากร้านสวนชุนสยาแล้ว ฟางรุ่ยก็เอ่ยว่า “นายท่านรอง คุณพูดกับเขาทำไมตั้งเยอะแยะ พวกเราไม่จำเป็นต้องแข่งกับเขาเลยด้วยซ้ำ ทำไมต้องไว้หน้าเขาด้วยล่ะ…”
“ฮ่าๆๆๆ รุ่ยจื่อ ตอนนี้ร้านอาหารของพวกเราเปิดสองร้านแล้ว เสี่ยปาก็มีร้านอาหารเป็นของตัวเอง ฉันต้องการพ่อครัว ถ้ารับหลี่เหยียนมาทำงานได้ ก็ถือว่าดวงดีสุดๆ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางรุ่ยพลันครุ่นคิด แล้วจึงพยักหน้าพูดทันที “ก็จริงนะครับ…นายท่านรอง เหอะๆ คุณนี่ร้ายจริงๆ”
“ใช้คำนี้เลยเหรอ เอาล่ะ รีบกลับไปพักผ่อนกันเถอะ”
………………..
เช้าตรู่วันต่อมา ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ไปที่สวนสวินเฟิง แต่มาที่ร้านอาหารร่ำรวย
วันนี้เขามีสองเรื่องที่ต้องทำ เรื่องแรกคือลองให้คนอื่นใช้น้ำมันทำข้าวผัดจักรพรรดิ เรื่องที่สอง…คือจัดการให้หลี่เหยียนเริ่มทำงานที่ร้าน
ซ่งจื่อเซวียนมาถึงค่อนข้างเช้า เนื่องจากช่วงนี้เวลามาที่ร้านอาหารร่ำรวยน้อยลงเรื่อยๆ วันนี้เขาจึงอยากทำความเข้าใจมากขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ เขามาถึงร้านก่อนแปดโมง แต่หลี่เหยียนกลับมารออยู่หน้าประตูนานแล้ว
เวลานี้ หลี่เหยียนนั่งอยู่บนริมถนนข้างร้านอาหารร่ำรวย กำลังกัดเครปจีนและดื่มน้ำเปล่าอยู่
“นายท่านรอง ไอ้หมอนี่มาแต่เช้าเลย ดีเหลือเกิน อยากรีบมาทำงานมากนักเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “หลี่เหยียนเป็นคนหัวดื้อ เหมือนอย่างที่เขาชอบทำอาหาร ก็ทำอย่างกับว่าชีวิตนี้เหลือแค่การทำอาหารอย่างเดียว”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนจึงผลักประตูเดินลงมาจากรถแท็กซี่
พอเดินเข้าไปใกล้หลี่เหยียน ซ่งจื่อเซวียนก็เอ่ยว่า “มาเช้าจัง วันๆ นายนอนกี่ชั่วโมงเนี่ย”
เห็นซ่งจื่อเซวียน หลี่เหยียนก็รีบลุกขึ้นปัดฝุ่นที่ก้นทันที ห่อเก็บเครปจีนในมือ
“ไม่ต้องพูดอะไรไม่จำเป็น ฉันเตรียมพร้อมทำงานแล้ว”
“เหอะๆ ฉันยังคิดไม่ออกว่าจะจัดการยังไง มา เข้ามาก่อน”
พวกเขาเข้าไปในร้าน ซ่งจื่อเซวียนสั่งให้ฟางรุ่ยไปชงน้ำชา แล้วนั่งพักที่โต๊ะข้างๆ
หลี่เหยียนกลับไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่คิดอย่างไรกันแน่ เรียกตัวเองมาทำงาน แต่กลับไม่ได้จัดงานให้ทำ
“เฮ้อ นายจะให้ฉันทำอะไรกันแน่ จะเป็นเชฟหรือว่าทำงานเบ็ดเตล็ดก็แล้วแต่นาย แค่นายตกลงยอมแข่งกับฉันก็พอ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ ไอ้หมอนี่ดื้อชะมัด ใจร้อนมาก…
“ฉันกำลังพิจารณาอยู่ อย่างแรกนายต้องทำงานที่นี่สักพักหนึ่ง พอฉันรู้จักนิสัยของนายแล้ว ถึงค่อยกล้าแข่งกับนาย ฉันต้องมั่นใจว่าถ้านายแพ้แล้วจะยอมทำงานที่ร้านของฉันต่อจริงๆ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“หึ ฉันหลี่เหยียนเหมือนคนไม่รักษาคำพูดเหรอ อีกอย่าง ใครจะแพ้ชนะก็ยังไม่รู้เลย”
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่พร้อมกับยิ้ม “โอเค เอาอย่างนี้แล้วกัน รอยแผลเป็นบนหน้านายจะชวนให้คนตกใจ ก็ไม่ต้องไปทำงานหน้าร้าน คอยส่งอาหารจากครัวด้านหลังก็แล้วกัน”
“ทำงานเบ็ดเตล็ดใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ จากนั้นดื่มน้ำชาหนึ่งอึก
“ไม่มีปัญหา ง่ายมาก แต่ว่า…ซ่งจื่อเซวียน นายต้องรับปากฉันเรื่องหนึ่ง” หลี่เหยียนพูด
“การแข่งของพวกเรากำหนดเรียบร้อยแล้ว นายไม่มีสิทธิ์พูดเงื่อนไขกับฉันอีก”
“ไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องพูดเงื่อนไขนี้ ไม่งั้นพวกเราจะไม่สามารถแข่งได้!” หลี่เหยียนพูดยืนกราน
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบตาขึ้นมองเขาหนึ่งที “นายลองพูดมา”
“นายจะไม่ให้ฉันเป็นเชฟก็ได้ ถึงขั้นไม่ให้ฉันอยู่หน้าเตาเลยก็ได้ แต่หลังจากเลิกงานแล้วฉันต้องได้ทำอาหาร ฉันออกเงินค่าวัตถุดิบเองได้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
ดูเหมือนเกิดความเคารพเลื่อมใสขึ้นภายในใจ
ฝีมือการทำอาหารของหลี่เหยียนคนนี้อยู่ในระดับไหนยังไม่ต้องพูดถึง แต่ใจรักที่มีต่อการทำอาหาร ถึงขนาดที่ว่าอยู่เหนือจินตนาการของซ่งจื่อเซวียนไปไกลมาก
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ฉันรับปากนาย และนายก็ไม่ต้องออกเงินค่าวัตถุดิบเองหรอก”
“จริงเหรอ” บนใบหน้าของหลี่เหยียนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ซ่งจื่อเซวียนมองเขา “ตอนนายอยู่ที่ร้านสวนชุนสยา ก็เป็นคนออกเงินค่าวัตถุดิบเองงั้นเหรอ”
หลี่เหยียนพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่ของในร้านแพงเกินไป ฉันเลยไปซื้อที่ตลาดแล้วเอามาที่ร้านแทน และก็เอาของที่ผัดเสร็จแล้วกลับบ้านด้วย”
ได้ยินแล้ว ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยก็สบตากันหนึ่งที รู้สึกสงสารอยู่ในใจ
โดยทั่วไป พ่อครัวที่มีฝีมือระดับหลี่เหยียนต้องได้เงินเดือนสูงๆ กันแล้ว
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ยังจะพยายามคิดหาทุกวิธีเพื่อเอาเปรียบภายในร้าน แล้วไปเที่ยวเสเพลข้างนอกแทน
แต่หลี่เหยียนคนนี้ มีแต่ใจรักในการทำอาหารล้วนๆ ถึงขนาดที่ว่าแค่กินข้าวก็ยังกลายเป็นปัญหา
“ร้านสวนชุนสยาให้เงินเดือนนายเท่าไร” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“สามพันหยวน บวกกับอาหารกลางวันหนึ่งมื้อ” หลี่เหยียนตอบ
“สามพันงั้นเหรอ นายพักที่ไหนเนี่ย”
“โรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลน่ะ คืนละสามสิบหยวน สภาพแวดล้อมพอใช้ได้”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ เถ้าแก่ร้านสวนชุนสยาโหดจริงๆ หลอกให้เงินเดือนอีกฝ่ายแค่สามพันหยวน
ต้องรู้ไว้ว่าฝีมือการทำอาหารของหลี่เหยียน หากเป็นเชฟหลัก เงินเดือนเริ่มต้นหกพันหยวนถึงแปดพันหยวนก็ไม่น่าจะมีปัญหา
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ไม่ว่านายจะทำงานกับฉันนานแค่ไหน ฉันให้เงินเดือนสี่พันหยวน มีอาหารกับที่พักให้ อาหารที่นายทำเย็นวันก่อนก็เอามาอุ่นในวันต่อไปได้ ถือซะว่าเป็นอาหารสำหรับพนักงาน” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หลี่เหยียนเบิกตาโต “สี่…สี่พันเหรอ มีอาหารกับที่พักด้วย?”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ นายฟังไม่ผิดหรอก”
“โอ้พระเจ้า ถ้างั้นฉันจะรีบไปที่โรงแรมแล้วขอเงินของวันนี้คืนเลย”
“เหอะๆ รีบไปเถอะ”
ในไม่ช้า พวกพนักงานที่ครัวด้านหลังต่างก็ทยอยเข้ามาเริ่มทำงาน ซางเทียนซั่วก็อาสาไปรับหลิงเข่อเอ๋อร์มาทำงานที่ร้าน
ซ่งจื่อเซวียนดูบัญชีอย่างคร่าวๆ แล้วเดินไปที่ครัวด้านหลัง
“หัวหน้าเชฟหู หลี่เหยียนคนนี้ผมขอมอบให้คุณชั่วคราวนะครับ”
“ได้สินายท่านรอง อยากให้เขารับผิดชอบด้านไหนล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ปอกหัวหอมแกะกระเทียม ส่งอาหารถูพื้น งานพวกนี้ก็ปล่อยให้เขาทำแล้วกัน”
“ได้เลย นายไม่ต้องสนใจแล้ว ส่งคนให้ฉันก็พอ”
ซ่งจื่อเซวียนมองหลี่เหยียน “พอรับมือไหวไหม”
“เหอะๆ อย่าดูถูกกันสิ ขอแค่นายทำตามที่รับปากไว้ก็พอ รีบมาแข่งกับฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “เรื่องนั้นไม่ต้องรีบ ถ้านายรับไหว ฉันจะให้งานกับนายอีกหนึ่งอย่าง”
“ได้เลย งานพวกนี้ฉันไม่มีปัญหาหรอก”
“อีกเดี๋ยวข้าวผัดจักรพรรดิของร้านอาหารร่ำรวยจะกลับมาขายอีกครั้ง ฉันขอมอบงานนี้ให้กับนาย”
ได้ยินดังนั้น หลายคนก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
หูเจิ้นพูดขึ้นมา “ข้าวผัดจักรพรรดิ? ให้เขาทำเหรอ”
หลี่เหยียนหัวเราะอย่างมั่นใจ “ทำไม ไม่เชื่องั้นเหรอ ข้าวผัดจักรพรรดิของเถ้าแก่พวกนายถูกฉันแกะสูตรได้นานแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่ ไม่ใช่ของก๊อปที่นายทำ แต่ต้องทำเวอร์ชันของฉัน!”
………………………………………………