เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 254 ทำงานกับฉัน
ตอนที่ 254 ทำงานกับฉัน
ครัวด้านหลัง ร้านสวนชุนสยา
เนื่องจากทั้งร้านปิดกิจการชั่วคราวสี่วัน พนักงานเสิร์ฟของร้านจึงหยุดพักสองสามวัน รวมทั้งผู้จัดการติงเฉิงก็ไม่มาเช่นกัน
เขารอข่าวของโจวเผิงเท่านั้น ว่าจะบอกให้พวกเขามาทำงานอีกทีเมื่อไร
แต่ครัวด้านหลังกลับไม่เคยหยุดพักเลย
มีเตาไฟหนึ่งที่เปิดอยู่ตลอดทุกวัน
จานนับสิบใบวางอยู่บนโต๊ะเตรียมอาหาร แต่ละจานมีอาหารรสเลิศ อาหารบางส่วนเย็นแล้ว อาหารบางส่วนยังมีไอร้อนอยู่
เห็นได้ชัดว่าเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ
เสียงเตาไฟ ตะหลิวกับกระทะกระทบกันดังไม่หยุด เสียงแบบนี้สำหรับพ่อครัว ถือเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ซ่งจื่อเซวียนยืนอยู่ข้างนอก มองผ่านกระจกที่ติดฟิล์มเข้าไป เห็นเพียงผู้ชายผมยาวคนหนึ่งกำลังโบกตะหลิวไปมาอย่างเต็มที่
เขย่ากระทะเป็นบางครั้ง พร้อมกับใส่เครื่องปรุงลงไป ทุกการกระทำเสร็จภายในรวดเดียว
จุดนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสนใจ ร้านสวนชุนสยาปิดกิจการหลายวันแล้ว อีกฝ่ายกลับมาทำอาหารทุกวัน มองออกว่าหมอนี่รักและชื่นชอบการทำอาหารจริงๆ
ความจริงการเป็นพ่อครัวที่ดีคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องมีพรสวรรค์ที่สูงมากและขยันฝึกซ้อมเท่านั้น แต่ต้องมีใจรักในอาชีพนี้อยู่ไม่น้อย
และผู้ชายผมยาวที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ มีจุดนี้อย่างชัดเจน
เดิมทีแค่สงสัยอยากรู้เท่านั้น ซ่งจื่อเซวียนเดินอ้อมไปที่หน้าประตูร้านสวนชุนสยา และตอนนี้ฟางรุ่ยเดินออกมาจากร้านอาหารร่ำรวยพอดี
“นายท่านรอง คุณไปไหนมา ผมหาคุณตั้งนาน” ฟางรุ่ยพูด
เนื่องจากดึกแล้ว เขาเป็นห่วงว่าซ่งจื่อเซวียนจะมีอันตรายถ้าอยู่ข้างนอกคนเดียว จึงออกมาตามหา
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มให้ “ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปดูร้านสวนชุนสยากัน”
“หา? ไปร้านของพวกเขาเหรอครับ”
“หึ ไปกันเถอะ”
เดินเข้าไปตรงประตูหน้า ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นว่าประตูไม่ได้ล็อกจริงๆ อย่างไรช่วงนี้ปิดร้านอยู่ ผู้ชายผมยาวคนนั้นคงคิดว่าไม่มีใครเข้ามาจึงไม่ได้ล็อกประตู
แค่ผลักเบาๆ ประตูก็เปิดแล้ว
เดินเข้าไปในห้องโถงร้านอาหาร ก็ได้กลิ่นน้ำมันลอยฟุ้งอยู่บ้าง ร้านอาหารก็เป็นเช่นนี้ ปกติจะไม่รู้สึก แต่ไม่มีคนดูแลสองสามวัน กลิ่นนี้จะฉุนมาก
ทว่าซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาเดินตรงไปที่ครัวด้านหลังทันที
เสียงผัดอาหารดังมาแต่ไกล ฟางรุ่ยยังตกตะลึง “นายท่านรอง พวกเขา…ไม่ได้ปิดกิจการชั่วคราวอยู่เหรอ”
“เหอะๆ ปิดกิจการชั่วคราวแล้ว แต่ยังทำอาหารไม่หยุด พวกเราเข้าไปดูเถอะ”
พอเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าที่นี่สะอาดมาก และมองออกว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นมือเก่าในเรื่องดูแลร้านอาหาร
มือใหม่ทั่วไปจะสนใจเบื้องหน้ามากกว่า อย่างไรสิ่งที่แก้ไขได้ยากที่สุดคือสุขอนามัยของครัวด้านหลัง สามารถรักษาสภาพให้สะอาดได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการหรือหัวหน้าเชฟ ก็น่าจะพอมีประสบการณ์กัน
พอเดินเข้าไปอีกนิด ก็เห็นห้องที่มีขนาดเจ็ดสิบแปดสิบตารางเมตร หน้าเตาไฟขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลสุด มีแผ่นหลังของผู้ชายผมยาวคนหนึ่งกำลังโบกตะหลิวไปมา ตะหลิวกับกระทะกระทบกันแต่ละครั้ง ส่งเสียงดังก้องของโลหะออกมา
ผู้ชายคนนั้นผัดอาหารเสร็จแล้ว ตักใส่จาน จากนั้นจึงวางอุปกรณ์ทำครัวกลับไปที่เดิม เห็นได้ชัดว่ากำลังจะจบงานแล้ว
เขาเช็ดเหงื่อ นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ หายใจหอบแล้วเอ่ยว่า “นายไม่รู้เหรอว่าห้ามเข้าใกล้ตอนที่พ่อครัวคนอื่นกำลังทำอาหาร เป็นการกระทำที่ไร้มารยาทมากไม่ใช่เหรอ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับตัวเอง เขาจึงหัวเราะเล็กน้อย เดินเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว
“เหอะๆ ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด ตอนที่นายผัดอาหารเชฟในครัวด้านหลังทั้งหมดก็คงไม่มีมารยาทมากเลยใช่ไหม”
ผู้ชายคนนั้นทำเสียงฮึดฮัดเย็นชาหนึ่งที “ไม่เหมือนกันนี่ พวกเขามองไม่ออก แต่นายมองออก”
ดูท่าอีกฝ่ายจะมองตนเป็นศัตรูเสียแล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าเขาผิดใจกับคนคนนี้ตั้งแต่เมื่อไร เพราะพวกเขาไม่น่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน
“เหอะๆ ดูเหมือนนายไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับฉัน พวกเราเคยมีเรื่องบาดหมางกันเหรอ”
“ไม่เคย แต่…ฉันต้องการพิสูจน์ตัวเอง ฉันอยากจะเอาชนะเชฟคนดังของทุกเมือง”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วรู้สึกคุ้นหู ตัวเองเคยรับคำท้ามาทั้งหมดสามครั้ง
สาเหตุของท่านเป้ยเล่อกับจงเทียนอวี่นั้นค่อนข้างปกติ มีเพียงตอนที่ซางเทียนซั่วท้าตนเท่านั้นที่มีความคล้ายคลึงกับผู้ชายผมยาวคนนี้
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเล็กน้อย “แล้วไงล่ะ นายคิดว่านายชนะฉันแล้วเหรอ”
“เปล่า แต่ฉันจะขอท้านาย” ผู้ชายผมยาวพูด
“ถ้าฉันไม่รับล่ะ”
“กิจการของร้านสวนชุนสยาไม่ช้าก็เร็วจะโค่นร้านอาหารร่ำรวยของนายได้ ฉันรู้ว่านายยังมีร้านอาหารที่อื่นอีก ฉันจะเบียดร้านพวกนั้นไปให้พ้นเหมือนกัน”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงเข้าใจแล้ว
อีกฝ่ายอยากจะคุมธุรกิจของตน เพื่อจะบีบให้ตนยอมรับคำท้าของเขา
“เหอะๆ ทำไมนายไม่ท้าสู้กับฉันตรงๆ ล่ะ ยังไงฉันก็ยังไม่ได้พูดว่าจะไม่รับคำท้าใช่ไหมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ชายหนุ่มหัวเราะเยาะเย็นชาหนึ่งที “ฉันไปมาแล้วสองเมือง เชฟคนดังมีแต่คนอ่อนแอ ถ้าไม่บีบพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ”
มองดูผู้ชายผมยาว จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
อันที่จริงเส้นทางการทำอาหารของตนถือว่าราบรื่นพอสมควร มีผู้เฒ่าฟาง หยางต้าฉุย หลินเทียนหนาน หลิงเจิ้น ท่านเป้ยเล่อ คนพวกนี้คอยช่วยเหลือตนในทุกด้าน
แต่เมื่อเห็นผู้ชายผมยาวที่อยู่ตรงหน้า เขาเป็นเหมือนคนเร่ร่อนคนหนึ่ง พกฝีมือการทำอาหารติดตัวไว้ เดินทางไปทั่วทุกที่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
ความแตกต่างเหมือนพระในวัดกับพระที่บำเพ็ญทุกขกิริยา
“นายเป็นคนที่ไหนล่ะ”
ชายหนุ่มตกใจกับคำถามนี้ เขาคิดไม่ถึงว่าตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนจะมาถามคำถามทั่วไป
“ฉันจำได้ว่าเคยพูดตอนที่อยู่ในร้านของนาย ว่าฉันคือเจ้ารอยแผลเป็นหลี่แห่งจงไห่”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาเคยอ่านในอินเทอร์เน็ต ช่วงนี้มีพ่อครัวจากทางตะวันตกเฉียงเหนือคนหนึ่งขอท้าประลองกับพ่อครัวคนดังหลายคน หลังจากจบการท้าประลองกลับไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ แล้วก็เลือกหายตัวไป
และชื่อของคนคนนั้นก็คือเจ้ารอยแผลเป็นหลี่ ทว่า…ที่พูดถึงกันคือพ่อครัวแห่งตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ใช่พ่อครัวจงไห่
“จงไห่ เหอะๆ เท่าที่ฉันรู้…นายน่าจะเป็นพ่อครัวตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่เหรอ”
ได้ยินประโยคนี้ เจ้ารอยแผลเป็นหลี่พลันเงยหน้าขึงตามองซ่งจื่อเซวียน “ไม่ใช่ฉัน!”
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีการตอบสนองรุนแรงมากขนาดนี้
ดูจากท่าทางนี้ เขาคงจะเป็นพ่อครัวแห่งตะวันตกเฉียงเหนือจริงๆ แต่เนื่องจากเหตุผลบางประการ เขาจึงไม่อยากยอมรับ
เจ้ารอยแผลเป็นหลี่พูดจบ ดวงตาทั้งสองข้างมองไปข้างหน้า เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้ามีเหงื่อผุดหนึ่งชั้น ริมฝีปากเริ่มสั่นขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนมองความโกรธแค้นและความน้อยเนื้อต่ำใจจากใบหน้านี้ออก แต่สาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้น เขาไม่รู้
ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาสองข้างมองเจ้ารอยแผลเป็นหลี่ สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่ปล่อยออกมาจากตัวของอีกฝ่าย
หรืออาจจะเป็นเพราะการขับเคลื่อนด้วยความแค้น ทำให้เขาอยากเดินทางไปทั่วทุกเมือง เพื่อเอาชนะพ่อครัวทั้งหมด
“นายอยากเอาชนะเชฟทุกคนงั้นเหรอ”
“ใช่!” เจ้ารอยแผลเป็นหลี่พูดยืนกรานอย่างที่สุด
ซ่งจื่อเซวียนแสยะยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “นายอยากจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางการทำอาหารงั้นเหรอ”
“ถูกแล้ว!”
“นายคิดว่าฝีมือการทำอาหารของนาย…เทียบกับพ่อครัวขั้นเทพของภาคเหนือและภาคใต้แล้วเป็นยังไงบ้าง”
เจ้ารอยแผลเป็นหลี่ตกตะลึงกับคำถามนี้ ชัดเจนว่าเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
“ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้? แต่ก็อยากจะเอาชนะเชฟทุกคนงั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฉัน…ฉันไม่ได้คิดมากมายขนาดนั้น แพ้ก็คือแพ้ ฉันสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ไม่ว่ายังไง ช้าเร็วก็ต้องมีสักวัน ที่ฉันโดดเด่นกว่าคนอื่น” เจ้ารอยแผลเป็นหลี่กล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เข้าใจแล้ว นายอยากเด่นกว่าคนอื่น…ทำให้ใครคนอื่นดู แต่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ใช่ไหม”
“นาย…หมายความว่ายังไง” เจ้ารอยแผลเป็นหลี่เผยความตกใจออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด เอ่ยว่า “ฉันเชื่อว่านายคงไม่ได้ชื่อเจ้ารอยแผลเป็นหลี่มาตั้งแต่เด็กใช่ไหม ชื่อจริงของนายคืออะไร”
“ฉันชื่อหลี่เหยียน เหยียนที่เขียนด้วยเปลวไฟสองดวงน่ะ”
มองดูหลี่เหยียนที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้รอยแผลเป็นบนใบหน้าจะน่ากลัวอยู่บ้าง
แต่หากลบมันออกไป ใบหน้าของคนผมยาวถือว่าดูดีทีเดียว
“ความน้อยเนื้อต่ำใจและความโกรธเคืองของนาย…เกี่ยวกับรอยแผลเป็นบนหน้าของนายงั้นเหรอ”
พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหลี่เหยียนก็เปลี่ยนเป็นโกรธจัดขึ้นมาทันที เขาหายใจหอบ
“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่นายควรถาม ซ่งจื่อเซวียน ตอนนี้ฉันอยากท้าแข่งกับนาย ยอมรับเสียเถอะ!” หลี่เหยียนเงยหน้าพูด
ซ่งจื่อเซวียนกลับหัวเราะหนึ่งที “หลี่เหยียน นายน่าจะรู้ดี ร้านอาหารร่ำรวยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามน่ะ ฉันมาน้อยครั้งมาก เพราะสำหรับฉันแล้วมูลค่าของมันไม่ได้สูงขนาดนั้น”
“หืม นายหมายความว่ายังไง” หลี่เหยียนถาม
“ฉันเบื่อธุรกิจร้านอาหารแล้ว บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่อยู่ในมือของฉัน ปีนี้รับละครโทรทัศน์ฟอร์มยักษ์มาอีกเรื่องหนึ่ง แค่รายได้ทางนั้นอย่างเดียวก็มากพอที่ฉันจะใช้ไม่หมดไปสองสามชาติแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางยิ้มบางๆ “นายคิดว่าล้มร้านอาหารร่ำรวยได้แล้ว ฉันจะถูกบีบให้แข่งกับนายงั้นเหรอ”
“นาย…”
“ถ้าแน่จริงก็ไปเปิดร้านตรงข้ามบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฉัน ถึงตอนนั้นก็โค่นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฉันลงให้ได้ซะก่อน ฉันถึงจะยอมรับคำท้าของนาย!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหยิบบุหรี่ออกมาจุดหนึ่งมวน แล้วสูบอย่างสบายใจ
หลี่เหยียนงุนงงมาก ทั้งชีวิตนี้ของเขาทำอาหารเป็นอย่างเดียว และสนใจเรื่องการทำอาหารแทบจะถึงขั้นหลงใหลด้วยซ้ำ
แต่บอกให้เขาทำอาหารเพื่อไปโค่นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งหนึ่งลง…
อย่างมากสุดก็เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเป็นธุรกิจสองประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง
“เป็นยังไง จะลองไหมล่ะ”
หลี่เหยียนมองซ่งจื่อเซวียนด้วยใบหน้าที่นิ่งขรึม “แน่จริงก็มาลองประชันฝีมือกับฉัน!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าหัวเราะ “ฉันไม่สนใจหรอก เหอะๆ ความจริงฉันมาเพราะอยากจะบอกเรื่องพวกนี้กับนาย นายจะได้ไม่เสียเวลา ถ้าทำอาหารอยู่ในตู้เหมินไปหลายปีแล้วยังไม่ได้ประชันฝีมือกับฉันสักที ก็รังแต่จะเสียเวลาของตัวนายเองเปล่าๆ”
หลี่เหยียนโมโหขึ้นมา พ่อครัวคนดังที่สุดในตู้เหมินกลับขี้เกียจทำธุรกิจอาหารไปเสียแล้ว เพราะเขาไปทำบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์แทน…
คิดว่าน่าโมโหไหมล่ะ
หลี่เหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “ทำยังไงนายถึงจะยอมแข่งขันกับฉัน”
“ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เอาอย่างนี้แล้วกันหลี่เหยียน นายบอกฉันมาก่อนว่าทำไมนายต้องเอาชนะเชฟคนดังในจีนทุกคน”
“เอ่อ…ฉันบอกไม่ได้!” หลี่เหยียนก้มหน้าพูด
อันที่จริงพอได้คุยกันสองสามประโยค ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่าหลี่เหยียนคนนี้เป็นคนไร้เดียงสามาก
อย่างน้อยดูจากการทำงานของหลี่เหยียนก็มองออกว่า ในสายตาของเขาดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากการทำอาหารแล้ว
การยึดติดของเขาเป็นที่หาได้ยากในวงการพ่อครัวทั่วประเทศจีนอย่างเห็นได้ชัด
“บอกไม่ได้งั้นเหรอ เหอะๆ ถ้างั้นฉันก็จะไม่แข่งกับนาย” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางยิ้มเล็กน้อย
หลี่เหยียนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้านายชนะฉัน ฉันจะบอกนายเอง”
“ฮ่าๆๆ นายประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้สนใจนายมากมายขนาดนั้น” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ
“เอ่อ…นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่นายจะรับหรือไม่รับคำท้า” หลี่เหยียนถาม
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เอาอย่างนี้แล้วกัน นายไม่ต้องบอกก็ได้ ไปทำงานที่ร้านอาหารร่ำรวยของฉัน ถ้าทำงานแล้วฉันพอใจ ฉันจะยอมประลองฝีมือกับนาย”
“อะไรนะ ไปทำงานกับนายงั้นเหรอ” หลี่เหยียนตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนจะยื่นไมตรีมาให้ในตอนนี้
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มตอบ “ใช่แล้ว ทำงานกับฉัน ฉันจะประลองฝีมือกับคนของตัวเองเท่านั้น”
………………………………………………