เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 253 เป็นเขาจริงๆ ด้วย
ตอนที่ 253 เป็นเขาจริงๆ ด้วย
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วที่อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง น่าจะเป็นคนที่เขาเอาไว้เฝ้าร้าน”
“แต่เขาจะมาตอนเช้าทุกวัน พวกเราเลิกงานสี่ทุ่มก็ยังไม่เห็นเขาออกไปเลย นายคิดว่าเขากลับไปตอนไหนล่ะ” หลิงเข่อเอ๋อร์เอ่ย
ซางเทียนซั่วกลับพูดอะไรไม่ออก
หลิงเข่อเอ๋อร์พูดต่อ “แปลว่าเขากลับไปตอนดึกกว่านั้น ไม่ได้เฝ้าร้านกะดึกแน่นอน แต่…ฉันดันรู้สึกว่าไม่มีร้านอาหารไหนที่หาคนมาเฝ้าร้านตอนกลางวันแล้วไม่เฝ้าตอนกลางคืนหรอกมั้ง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ
หยางกังเอ่ยว่า “ผมคิดว่าเข่อเอ๋อร์พูดถูก นายท่านรอง คนคนนี้ดูผิดปกตินิดหน่อยใช่ไหมครับ”
“เข่อเอ๋อร์พูดถูก นอกจากนายพูดเป็นแค่คำว่าเข่อเอ๋อร์พูดถูก แล้วนายยังพูดอะไรเป็นอีก” ซางเทียนซั่วหันไปพูดกับหยางกัง
หยางกังโมโห แต่กลัวซางเทียนซั่ว อย่างไรไอ้หมอนี่ก็แรงเยอะกว่า และชอบเอาจริง
มีครั้งหนึ่งเขากดตัวหยางกังไว้คิดจะอัดให้เละ ถุงเท้าเพิ่งจะถึงหน้า หยางกังก็รีบยอมแพ้ทันที
เพราะการลงโทษเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนจะทนรับได้…
เพราะงั้นพอตอนนี้ซางเทียนซั่วพูดแบบนี้ หยางกังจึงอ่อนข้อให้ทันที ไม่พูดอะไรอีกแล้วไปทำงานต่อ
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เข่อเอ๋อร์ คนคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง”
“มองไม่เห็นหน้าค่ะ เขาจะใส่หมวกแก๊ปทุกครั้ง และกดปีกหมวกต่ำมาก ใส่เสื้อกันลมสีเข้ม สะพายกระเป๋าใบใหญ่” หลิงเข่อเอ๋อร์ตอบ
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วก็แอบยิ้ม “โอเค ฉันพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไปทำงานกันต่อเถอะ”
เมื่อทุกคนแยกย้าย ซางเทียนซั่วจึงขยับเข้ามาใกล้ “ฮิๆๆ อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นครับ”
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขาหนึ่งที “ไม่มีอะไร!”
ซางเทียนซั่วเบ้ปาก คนที่อยู่ข้างๆ ต่างหัวเราะออกมา
“อ้อใช่เทียนซั่ว ถ้ามีเวลาว่างนายไปฝึกใช้มีดบ้างนะ ไปอีกสักพักคงจะได้ใช้งาน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซางเทียนซั่วได้ยินก็ดีใจขึ้นมาทันที “อะไรนะ ฝึกใช้มีดเหรอ ฮ่าๆๆ อาจารย์อยากจะสอนอะไรผมใช่ไหม ว่าแต่พวกเรายังต้องฝึกใช้มีดอีกเหรอ ทั่วทั้งประเทศจีน…จะมีสักกี่คนที่เทียบผมได้…”
ยังพูดไม่ทันจบ ซางเทียนซั่วก็รู้สึกแน่นลำคอ เหมือนถูกคนบีบคอ จากนั้นล้มหงายไปข้างหลังทันที
หลิงเข่อเอ๋อร์ออกแรงดึงคอเสื้อด้านหลังของเขาไว้ เกือบทำให้ซางเทียนซั่วหายใจไม่ออก
“พอแล้ว นายก็เก่งแต่พูดโม้ อาจารย์จะสอนเขาคนเดียวไม่ได้นะคะ ฉันก็อยากเรียนค่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “พวกเธอจะต้องได้เรียนกันอยู่แล้ว แต่ทิศทางไม่เหมือนกัน เข่อเอ๋อร์ ฝีมือการทำอาหารของเธอต้องเริ่มฝึกจากอาหารซานตง แต่เทียนซั่วต้องเริ่มจากการใช้มีด”
หลิงเข่อเอ๋อร์เบ้ปาก มองซางเทียนซั่ว “เขาเนี่ยนะ”
“ทำไมล่ะ อยากจะลองดีกับอาจารย์หรือไง” ซางเทียนซั่วเชิดหน้าพูด “เมื่อกี้เกือบบีบคอฉันตาย ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลยนะ!”
“บีบคอนายให้ตายไปเลย มัวแต่พูดโม้ไปวันๆ!”
“พอแล้วหยุดเถียงกันได้แล้ว เทียนซั่ว วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปนายไม่ต้องมาเล่นกับเข่อเอ๋อร์หน้าร้านแล้ว นายไปอยู่ครัวด้านหลังซะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“อะไรนะ อาจารย์ ผมไปอยู่ครัวด้านหลังผมจะเรียนกับใครล่ะ อาจารย์ก็ไม่อยู่…”
ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “ฝึกใช้มีดอย่างเดียวพอ ถึงตอนนั้นนายก็จะรู้เอง ตั้งแต่พรุ่งนี้งานใช้มีดครัวด้านหลังเป็นของนาย ฉันจะไปบอกเจิ้งฮุยเอง”
“หา? ถ้างั้น…ถ้างั้นผมก็ทำงานเป็นเด็กครัวน่ะสิ”
“ก็ต้องใช่สิ เอาล่ะ นายไปรายงานตัวกับหัวหน้าเชฟ หลังจากนั้นนายจะอยู่ใต้เจิ้งฮุย!”
ถึงแม้ซางเทียนซั่วจะไม่สมัครใจ แต่อาจารย์พูดแล้ว เขาจึงต้องเชื่อฟัง เดินเข้าไปครัวด้านหลังอย่างจนใจ
หลิงเข่อเอ๋อร์ดีใจมาก เอ่ยว่า “อาจารย์ แล้วฉันล่ะคะ ฉันล่ะ”
“เธอ…ยังไม่ถึงตาเธอ เธอคอยเฝ้าอยู่หน้าร้านก่อนก็พอ!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ออกจากร้านอาหารร่ำรวยไป พาฟางรุ่ยนั่งรถแท็กซี่ไปอาคารสำนักงานจินหมิง
ผ่านมาสองสามวัน คาดว่าห้องปฏิบัติการน่าจะสร้างเกือบเสร็จแล้ว
แต่ขณะเดียวกันซ่งจื่อเซวียนได้เกิดความคิดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าอย่างไรตนเองก็ต้องมีรถสักคัน
จะมัวแต่ใช้รถของซางเทียนซั่วไม่ได้ และเจิ่งอวี่ตอนนี้ก็รับส่งซ่งอีหนาน จึงไม่สามารถดูแลเขาได้ตลอด
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่ารถบริษัทค่อนข้างน่าเชื่อถือกว่า ซื้อรถหนึ่งคันในนามบริษัทก็ได้แล้ว ปกติให้ฟางรุ่ยขับรถ คราวนี้ตัวเองจะได้ลองหัดขับบ้าง
พอเขาโทรศัพท์ไปหาซ่งอีหนาน ซ่งอีหนานก็ตกลงทันที และยังบอกซ่งจื่อเซวียนว่าควรจะมีรถสักคันนานแล้ว
พอจอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปในอาคารสำนักงานจินหมิง ซ่งจื่อเซวียนกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสี่
บริษัทชิงอวี่เช่าทั้งชั้นของอาคารนี้ ใช้เป็นห้องทำงาน ห้องปฏิบัติการและฝึกอบรมของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ชิงอวี่ และยังเหลือห้องมุมไว้ให้ซ่งจื่อเซวียน
เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนวางแผนไว้ว่าจะผลิตจำนวนมากในอนาคต ดังนั้นซ่งอีหนานจึงเหลือห้องขนาดสามร้อยตารางเมตรให้เขาหนึ่งห้องโดยเฉพาะ
ภายในห้องยังคงว่างชั่วคราว ไม่มีการตกแต่งใดๆ อุปกรณ์สำนักงานที่บริษัทเดิมทิ้งเหลือไว้ก็ผลักไปไว้มุมหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งทำเป็นห้องเดี่ยวแบบเก็บเสียงมิดชิด
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในห้องเก็บเสียง มองดูแผ่นหนังที่ทำจากวัสดุชนิดพิเศษทั้งซ้ายและขวา น่าจะเป็นวัสดุที่ปิดไว้อย่างมิดชิด
ตรงกลางห้องเก็บเสียงมีอุปกรณ์อยู่เครื่องหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนหาสวิตช์ปิดเปิดและจุดอินพุตกับจุดเอาท์พุตได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร
เขามองจุดอินพุต สามารถติดตั้งกรวย ตั้งแท่นหรือท่ออินพุตเข้าไปได้ หมายความว่าสามารถปิดผนึกแก๊ส ของเหลวหรือของแข็งได้
เขานั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ จ้องมองอุปกรณ์พลางทำท่าครุ่นคิด
หากตนปล่อยกำลังภายในเข้าไปน่าจะไม่มีปัญหา แต่ถึงแม้จะปิดสนิทได้มากพอ ตอนที่เครื่องเริ่มทำงานกำลังภายในจะถูกกระจายออกไป ก็เท่ากับว่าเปล่าประโยชน์ไม่ใช่เหรอ
เช่นนั้นที่เหมาะสมที่สุดน่าจะเป็นของเหลว ปล่อยกำลังภายในกับน้ำเข้าไปด้วยกัน น่าจะรับประกันได้ว่ายังเก็บกำลังภายในไว้ได้อยู่เมื่อเปิดออกมา
แต่ข้าวผัดจักรพรรดินอกจากขั้นตอนนึ่งข้าวแล้ว แทบจะไม่ต้องใช้น้ำเลย
ทว่าจะทำข้าวผัดด้วยน้ำที่มีกำลังภายในของเขาอย่างเดียวไม่ได้หรือเปล่า
น้ำมัน!
ใช่ ใช้น้ำมันก็ได้แล้ว แบบนี้เขาก็จะใส่กำลังภายในเข้าไปในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการทำข้าวผัดได้แล้ว
แต่เนื่องจากเพิ่งสร้างห้องปฏิบัติการ และเขาก็ไม่ได้บอกซ่งอีหนานว่าให้เตรียมน้ำมันมาด้วย ที่นี่จึงไม่มีน้ำมันแน่นอน
“รุ่ยจื่อ ไปซื้อน้ำมันใต้ตึกกลับมาหนึ่งถังแบบด่วนที่สุดที”
“หา? น้ำมันเหรอครับ” ฟางรุ่ยอึ้งไป มองซ้ายแลขวา ก็หาจุดทำอาหารในนี้ไม่เจอ นายท่านรองจะเอาน้ำมันไปทำอะไร
“เอาน่า ไม่ต้องถามแล้ว ทำตามที่ฉันบอก!”
“ครับ นายท่านรอง!”
เวลาประมาณสิบนาทีกว่า ฟางรุ่ยก็เดินถือน้ำมันหนึ่งถังกลับมา แบบด่วนที่สุดจริงๆ กระทั่งสภาพร่างกายอย่างฟางรุ่ยก็ยังมีหอบอยู่บ้าง จึงมองออกว่าเขาคงจะวิ่งเร็วมากจริงๆ
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงสั่งฟางรุ่ยไปรอข้างนอก ส่วนตัวเองเริ่มลองปล่อยกำลังภายในออกมาข้างนอกผสมผสานกับน้ำมัน จากนั้นปิดผนึกไว้
เขาหยิบภาชนะอันหนึ่งมา เทน้ำมันลงไปบางส่วน จากนั้นปล่อยกำลังภายในออกมาแล้วใส่เข้าไปข้างในน้ำมัน
เป็นดังคาด เขาเห็นฟองอากาศผุดอยู่ในน้ำมันอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความหนาแน่นของน้ำมันเยอะมาก ถึงแม้ฟองอากาศพวกนั้นจะลอยขึ้นมา แต่ถ้าอยากจะพุ่งออกจากตัวน้ำมัน จำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าสิบวินาที ซึ่งเวลานี้ก็สามารถปิดผนึกได้พอดี
แต่ดูจากตรงนี้แล้ว กำลังภายในยังแยกตัวออกจากน้ำมันได้ ตอนที่ใช้น้ำมันผัดข้าว กำลังภายในจะหายไปด้วยหรือเปล่า
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย หรือว่า…ภายในช่วงเวลาหนึ่ง กำลังภายในจะหลอมรวมกับน้ำมันโดยสมบูรณ์?
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงสตาร์ทเครื่องซีลแล้วเริ่มลองทันที หลังจากปิดสองถุงสนิทแล้ว เขาก็เริ่มรอ
ตอนแรก ซ่งจื่อเซวียนรอด้วยความรำคาญอยู่บ้าง แต่เวลาประมาณยี่สิบนาที เขาพบว่าฟองอากาศของน้ำมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
ฟองอากาศขนาดใหญ่เริ่มเล็กลง ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้าจ้องมองตลอด เขาก็ยังพอสังเกตเห็น
อีกทั้งฟองอากาศเล็กๆ ดูจะน้อยลงไปมาก หมายความว่าน้ำมันเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว
มีความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ความอดทนของซ่งจื่อเซวียนจึงเพิ่มขึ้นมา เขารออยู่แบบนี้เกือบสี่ชั่วโมง
เวลาใกล้สี่ทุ่มแล้ว ฟองอากาศที่อยู่ในน้ำมันเกือบจะหายไปหมด ซึ่งหมายความว่าพลังปราณหลอมรวมเข้าไปโดยสมบูรณ์แล้ว
ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจ นำน้ำมันที่ซีลเรียบร้อยไปที่ร้านอาหารร่ำรวยในตอนนี้เลย
เวลานี้ ฟางรุ่ยที่อยู่รอกับเขาเอามือเท้าคางนอนหลับไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนผลักฟางรุ่ยเบาๆ จากนั้นทั้งสองคนจึงกลับไปที่ร้านอาหารร่ำรวยอีกครั้ง
ถึงร้านอาหารก็เป็นเวลาเลิกงานแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงไขกุญแจเข้าไป เขารีบเดินอย่างไม่รีรอเข้าไปที่ครัวด้านหลังทันที
การทำข้าวผัดจักรพรรดิในครั้งนี้ เขาจะเปลี่ยนไปใช้อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งก็เป็นรูปแบบธรรมดา
ไม่ต้องใช้พลังปราณ แต่เหมือนการผัดข้าวในบ้านทั่วไป อาศัยแค่เครื่องปรุงผัดเท่านั้น
จากนั้น เขาจึงเปิดเตาแก๊ส พอกระทะร้อนแล้ว จึงเทน้ำมันลงไปบางส่วน แล้วเริ่มผัดไข่ ผัดข้าว ผสมกัน…
ขั้นตอนที่คุ้นเคยเช่นนี้เขาทำมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ เขากลับตั้งใจอย่างเห็นได้ชัด…
ข้าวผัดธรรมดาทั่วไป…เขาผัดมาน้อยมากจริงๆ…
ผ่านไปสามนาทีกว่าๆ ข้าวผัดก็เสร็จแล้ว ตามมาด้วยกลิ่นที่เขาคุ้นเคย เหมือนกับกลิ่นของข้าวผัดจักรพรรดิทุกกระเบียดนิ้ว
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงลองชิมหนึ่งคำ แล้วก็อดเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมาไม่ได้
“นี่มัน…สำเร็จแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนยกข้าวผัดมาที่หน้าห้องโถง มองฟางรุ่ยที่นั่งสัปหงกอยู่ ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มบางๆ แล้ววางข้าวผัดตรงหน้าฟางรุ่ย
เมื่อได้กลิ่นหอมๆ ฟางรุ่ยก็ตื่นขึ้นมาทันที “นายท่านรอง เกิดอะไรขึ้น…”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะไปที “เหอะๆ วันนี้วิ่งวุ่นกับฉันมาทั้งวันแล้ว กินสักหน่อยสิ”
“โอ้ว ขอบคุณนายท่านรอง”
ขณะพูด ฟางรุ่ยก็ชิมหนึ่งคำ แล้วเบิกตาโตทันที “นายท่านรอง ข้าว…ข้าวผัดจักรพรรดิอีกแล้วเหรอ”
“เหอะๆ นายไม่ชอบกินงั้นเหรอ”
“ไม่ๆๆ ไม่เลยครับ หอมมาก แต่เมื่อก่อนคุณก็ไม่ผัดให้พวกเรานี่นา ช่วงนี้ได้กินบ่อยๆ รู้สึกตั้งตัวไม่ทันเลยครับ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว รีบกินเถอะ”
“ครับ!”
เห็นฟางรุ่ยกินอย่างเอร็ดอร่อย ซ่งจื่อเซวียนก็เดินไปที่หน้าประตูแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
การทดลองในขั้นต้นสำเร็จแล้ว แต่จะผัดได้จริงๆ ไหม เกรงว่าต้องให้หูเจิ้นลองผัดด้วยตัวเอง หากอีกฝ่ายทำได้ล่ะก็ เขาก็ไม่ต้องคอยเฝ้าร้านอาหารร่ำรวยแล้วจริงๆ
ขณะที่กำลังสูบบุหรี่ เขาสังเกตเห็นแสงไฟสลัวอยู่ภายในร้านสวนชุนสยา
ด้วยความสงสัย เขารีบเดินไปถนนฝั่งตรงข้าม จากนั้นเดินอ้อมไปด้านหลังร้านสวนชุนสยา แล้วมองตรงไปยังของครัวด้านหลัง
มองทะลุหน้าต่างจึงเห็นว่าภายใต้แสงไฟสีเหลืองนวล มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังถือตะหลิวผัดกับข้าวอยู่ มองดูเงาของผู้ชายคนนั้น ซ่งจื่อเซวียนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เป็นเขาจริงๆ ด้วย…
………………………………………….