เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 252 พอเข้าใจบ้าง
ตอนที่ 252 พอเข้าใจบ้าง
ประโยคนี้อยู่เหนือความคาดหมายของซ่งจื่อเซวียน เดิมทีเขาคิดว่าฟางจิ่งจือไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายกลับพูดต่อ
“เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่พ่อครัวคนเก่าคนแก่บางคนประลองฝีมือ ก็จะใช้การควบคุมไฟเหมือนกัน บางคนสามารถเปลี่ยนกำลังไฟได้ บางคนสามารถเปลี่ยนรูปร่างไฟได้ พื้นฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือสามารถคุมเปลวไฟไว้ในมือเพื่อใช้ทำอาหารได้”
ฟางจิ่งจือพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เอ่อ…มหัศจรรย์เกินไปแล้วหรือเปล่า ปู่ นั่นมันที่เห็นในหนังแล้ว ปู่จำผิดหรือเปล่า”
ในสายตาของซ่งจื่อเซวียน ฟางจิ่งจืออายุมากแล้ว เขาอาจจะเชื่อมโยงความทรงจำช่วงนี้เข้ากับภาพยนตร์
แต่ฟางจิ่งจือไม่สนใจแล้วพูดต่อ “ต่อมาภายหลัง มีบางคนสู้ไม่ไหว แพ้แล้วไม่ยอมรับ เลยเริ่มใช้วิธีสกปรกควบคุมไฟทำร้ายคน”
พูดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนนึกถึงฉากตอนที่ตัวเองอยู่ที่เมืองหนานไถ
จงเทียนอวี่อาจจะไม่ได้โจมตีตนเพราะแพ้ไม่เป็น แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด เขาต้องเกลียดตนแน่นอน
อีกทั้งการท้าแข่งของคนทั้งสอง พอใช้ท่านี้ทำร้ายคู่ต่อสู้ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อการแสดงความสามารถของคู่ต่อสู้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ไอ้หมอนี่เล่นสกปรกแน่นอน
“เพราะงั้นภายหลังพ่อครัวหลายๆ คน โดยเฉพาะพวกคนที่มีคุณธรรมสูง เลยเริ่มออกข้อเสนอห้ามควบคุมไฟอีก ซึ่งรวมถึงตอนทำอาหารและประลองฝีมือกันด้วย เพราะวิธีนี้มันสกปรกเกินไป บางครั้งก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ก็จริงอยู่ หลังจากนั้นก็ไม่มีคนใช้แล้วเหรอครับ”
ฟางจิ่งจือพลันยิ้ม “จะเป็นไปได้ยังไง มันต้องมีแมลงวันอยู่ในหม้อน้ำซุปเสมอนั่นแหละ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้แล้วและจะไม่ถ่ายทอดวิธีนี้ต่อไป”
ขณะพูด ฟางจิ่งจือก็มองไปทางซ่งจื่อเซวียน “ไอ้หลานเวร ฉันไม่ได้เป็นคนสอนวิธีนี้ให้แก แกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ออกไปข้างนอกก็อย่าพูดมั่วซั่ว เพราะแกมีจิตใจชั่วร้ายถึงได้เข้าใจวิธีสกปรกแบบนี้”
ซ่งจื่อเซวียนเกาศีรษะอย่างกระอักกระอ่วน “พอแล้วน่าปู่ อย่าพูดให้ดูน่าเกลียดขนาดนั้นสิ ถ้าผมจะเสียคนก็เป็นเพราะทำตามปู่ต่างหาก”
“ไร้สาระ! ฉันไปเสียคนตั้งแต่เมื่อไร ไอ้เด็กเวรนี่ แต่พรสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าใจการควบคุมไฟได้ด้วยตัวเอง”
ขณะที่พูดอยู่ ฟางจิ่งจือก็ขยับเข้าไปใกล้ พูดด้วยใบหน้าจริงจัง “แต่แกต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ อย่าใช้สุ่มสี่สุ่มห้า”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างแรง “ผมจะจำไว้ครับปู่ แต่ปู่บอกว่าบางคนสามารถควบคุมไฟโดยเปลี่ยนกำลังไฟ เปลี่ยนรูปร่างไฟได้ แถมยังมีบางคนที่สามารถคุมเปลวไฟไว้ในมือได้ พวกนี้มีไว้ทำอะไรเหรอ”
ฟางจิ่งจือเอนหลังพิงตั่ง เงยหน้าพูด “เจ้านี่เหรอ…ทำอาหารต้องอาศัยไฟ ทว่าไฟตายตัวส่วนคนนั้นยืดหยุ่น ยามที่จำเป็นจริงๆ ก็จะปรับเปลี่ยนมันได้
กำลังไฟปรับให้น้อยหรือมากได้ รูปร่างของไฟช่วยเพิ่มความร้อนก้นหม้อได้ในรูปแบบที่ต่างกัน บางครั้งต้องการความสม่ำเสมอ บางครั้งก็ต้องการความร้อนจัด”
ฟางจิ่งจือเอ่ยยิ้มๆ “เด็กฉลาดสอนได้ อุปกรณ์ทำครัวในยุคปัจจุบันสามารถทำได้ถึงจุดนี้ แต่ใช่ว่าจะสมดั่งใจหวัง การคุมไฟด้วยมือคนสามารถทำได้ถึงขั้นที่ละเอียดและแม่นยำ แกเข้าใจไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เข้าใจครับ แต่…ปู่ปู่ ใช้มือคุมเปลวไฟ เงื่อนไขแรกคือต้องรับประกันว่ามือจะไม่ลวก แล้วมันมีประโยชน์อะไรเหรอครับ”
“ก็จะมีความละเอียดและแม่นยำถึงขั้นสูงสุด เปลวไฟทุกสายจะอยู่ในการควบคุม ซึ่งเตาไฟหรือเตาแก๊สในยุคนี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแบบนั้นก็ค่อยๆ แอบทำความเข้าใจ ก็จริงอยู่ มีเพียงการควบคุมถึงขั้นสุดเท่านั้น ที่จะทำให้สามารถผัดอาหารรสเลิศออกมาได้
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนทำท่าครุ่นคิดหนัก ฟางจิ่งจือจึงพูดว่า “ไอ้หนู ตอนฉันเป็นหนุ่มก็เหมือนกับแก สับสนไปมา แต่แกอย่าลืม ในฐานะพ่อครัวคนหนึ่ง มีแต่การจับตะหลิวให้มั่นเท่านั้น ถึงจะเป็นความสำเร็จที่แท้จริง”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกใจสั่น
เป็นดังที่ฟางจิ่งจือกล่าว ความจริงช่วงนี้เขาอยากศึกษาหนังสือสูตรอาหารราชวงศ์ชิงมาตลอด แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านอาหารร่ำรวยหรือร้านสวนสวินเฟิง ก็ยากที่จะปลีกตัวออกมา
เรื่องพวกนี้มีความขัดแย้งกันเองจนทำให้ซ่งจื่อเซวียนไม่มีตัวเลือก ด้านหนึ่งเป็นสูตรอาหารที่ตัวเองต้องศึกษา ต้องคิดเมนูใหม่ออกมา ส่วนอีกด้านหนึ่งคือร้านอาหารสองร้านที่จะไม่สนใจก็ไม่ได้
เขาแอบถอนหายใจหนึ่งที ทันใดนั้นก็พลันนึกถึงตอนที่ตัวเองทำงานที่ร้านอาหารชุนเซียง
สงบสุข ไม่มีเรื่องวุ่นวายใดๆ…
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เก็บกวาดบ้านสักพักหนึ่ง ปูเตียงให้ฟางจิ่งจือเรียบร้อยก็กลับไป
ตอนกลับมาถึงบ้าน หานหรงกับซ่งอีหนานยังไม่หลับ ตอนนี้กำลังคุยกันอยู่บนเตียง
เห็นซ่งจื่อเซวียนกลับมาแล้ว หานหรงจึงรีบลุกขึ้น “เจ้ารองทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วล่ะ กินข้าวหรือยัง หิวไหม”
เมื่อได้ยินความห่วงใยของแม่ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ยิ้มออกมาบางๆ “แม่ครับลูกกินข้าวมาแล้ว”
เขามองสภาพแวดล้อมภายในบ้าน สถานที่ที่เขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กจนโต ทว่าตอนนี้ สามคนแม่ลูกเบียดกันอยู่ในนี้ถือว่าเล็กเกินไปจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนแอบตัดสินใจ เร็วๆ นี้จะต้องย้ายบ้านให้จงได้
“อ้อใช่เจ้ารอง สองสามวันนี้ถ้าไม่ยุ่ง ก็ไปที่อาคารสำนักงานจินหมิงบ้าง บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ก็เตรียมย้ายเข้าไปแล้ว ห้องปฏิบัติการณ์ที่นายต้องการค่อนข้างง่ายอยู่ อีกสองสามวันก็สร้างเสร็จแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมา
เมื่อครู่ตอนอยู่ที่บ้านของผู้เฒ่าฟางก็กำลังคิดอยู่ ช่วงนี้มีหลายเรื่องรัดตัว จึงไม่มีเวลาศึกษาสูตรอาหารเสียที
แต่หากผลิตข้าวผัดจักรพรรดิในปริมาณมากได้ เช่นนั้นก็จะมีเวลาว่างในตอนเช้ามากขึ้น
ถึงตอนนั้นก็สามารถไปร้านสวนสวินเฟิงในตอนเช้าตรู่เพื่ออ่านสูตรอาหารในห้องทำงานก่อนได้ แบบนั้น…จะต้องสบายมากกว่าเดิมแน่นอน
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบพูดว่า “หา? เร็วขนาดนี้เลย พี่ ห้องปฏิบัติการจะมีปัญหาอะไรไม่ได้ถูกไหม”
ซ่งอีหนานเหลือบมองเขาหนึ่งที “ไร้สาระ พี่สาวของนายทำให้กับมือ จะแย่ได้ยังไง อุปกรณ์ดีหมดทุกตัว ฉันไม่มีทางใช้ของไม่ดีหรอก”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “เหอะๆ อย่างนั้นก็ดี อันที่จริงประเด็นสำคัญคือเครื่องซีล และห้องต้องมีระบบล็อกที่ดีมากพอ”
“วางใจได้ ห้องกว้างมาก ตรงส่วนปฏิบัติการไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่าง ประตูก็ปิดสนิทไม่มีปัญหา รวมทั้งการเก็บเสียงก็ทำมาดีที่สุด”
“ฮ่าๆๆ แบบนั้นก็ดีมากเลย ไม่เสียแรงที่เป็นผู้จัดการซ่ง”
“ไปไหนก็ไปเลย เจ้ารองบ้า เอาพี่สาวของนายมาล้อเล่นอีกแล้วใช่ไหม”
หานหรงเห็นลูกชายกับลูกสาวเถียงกันจึงหัวเราะออกมา “พอแล้วๆ พวกแกสองคนคนหนึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่คนหนึ่งเป็นเถ้าแก่ร้านอาหาร อย่าเอาเรื่องงานมาพูดในบ้านของฉันได้ไหม”
ทั้งสองคนได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะออกมา ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยว่า “แม่พูดถูกครับ ไม่คุยแล้วๆ อ้อใช่แม่ครับ เร็วๆ นี้ลูกอยากให้พวกเราย้ายบ้านใหม่”
“อะไรนะ ย้ายบ้านเหรอ แม่รู้สึกว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้วนะ” หานหรงพูดพลางมองสภาพบ้านหลังนี้
ถึงแม้บ้านจะเล็ก แต่ครอบครัวสามคนแม่ลูกใช้ชีวิตที่นี่จนคุ้นชิน และสำหรับเธอแล้วก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยว่า “ไม่เปลี่ยนไม่ได้ครับ แม่ ลูกน่ะไม่เป็นไร แต่แม่มองพี่สาวสิว่าอายุเท่าไรแล้ว ยังไงก็ควรต้องมีห้องของตัวเองใช่ไหมครับ”
มองดูซ่งอีหนาน หานหรงจึงหยักหน้า “ก็จริง ลูกสาวบ้านอื่นมีห้องเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว ลูก แกไม่โทษแม่ใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูเคยว่าแม่ตั้งแต่เมื่อไรล่ะ มีแต่หนูที่ทำให้แม่โกรธตลอด…”
ซ่งอีหนานก็อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ กลับทำตัวเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยที่ว่านอนสอนง่าย
“ลูกกำลังคิดว่าพวกเราต้องย้ายบ้าน เอาแบบที่มีลานบ้านด้วย ต่อไปแม่จะได้ปลูกผักปลูกดอกไม้ หาความสุขให้ตัวเอง”
หานหรงเอ่ยยิ้มๆ “ได้สิ แม่ฟังพวกแกนั่นแหละ แต่มันราคาเท่าไรล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนกับซ่งอีหนานได้ยินก็สบตากันแล้วหัวเราะออกมา
“แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย เจ้ารองมีเงินค่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนพูด “พอเถอะพี่อย่าแซวผมเลย ผมยังไม่มีเงินซื้อบ้านจริงๆ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ตอนนี้ยิ่งราคาแพง”
“เจ้ารอง ที่จริงฉันรู้สึกว่า…จะซื้อแบบไหนก็ได้นะ พวกอาคารชุดก็ได้ ไม่ต้องแพงเกินไป พวกแกหาเงินก็ลำบากกัน…”
“พอแล้วแม่ แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกครับ” ซ่งจื่อเซวียนมองซ่งอีหนาน “พี่ ผมยังพอมีเงินอยู่ในมือนิดหน่อย แต่…ไม่ต้องห่วง ถึงตอนนั้นพี่ฟังผมก็พอ ยังไงก็ต้องมีคนออกเงินก้อนนี้”
ซ่งอีหนานขมวดคิ้วก่อนจะเบิกตาโตในทันใด “นายหมายถึง…”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มแล้วใช้มือทำท่าจุปาก พี่สาวน้องชายสบตากันแล้วหัวเราะเหมือนรู้ใจกัน
คนที่พวกเขาสองคนพูดถึงก็คือซ่งอวิ๋นหล่าง
อารองคนนี้หลอกกินเงินพ่อของพวกเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และตัวเองยังเอาเงินของบริษัทออกมาทำร้านอาหาร ซ่งอีหนานรู้เรื่องพวกนี้หลังจากที่รับช่วงต่อบริษัทมา
เอาเงินมาจากเขาหนึ่งล้านสองล้าน ไม่น่าจะมีปัญหา
สองวันต่อมา ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ไปที่ร้านอาหารร่ำรวย แต่ไปอ่านหนังสือสูตรอาหารวังราชวงศ์ชิงที่ร้านสวนสวินเฟิงตอนเช้าทุกวัน
ทว่าไม่ใช่เพราะผลิตข้าวผัดจักรพรรดิในปริมาณมากได้แล้ว แต่เป็นเพราะซ่งจื่อเซวียนยังไม่คิดจะขาย
ช่วงนี้ร้านตรงข้ามปิดปรับปรุงชั่วคราว ร้านอาหารร่ำรวยจึงไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ ขายอาหารทั่วไปก็พอแล้ว
อาศัยแค่ฝีมือการทำอาหารของเจิ้งฮุย ก็ทำให้กิจการของร้านอาหารดำเนินไปอย่างเป็นปกติ
แน่นอนว่าเสี่ยเฉิงปาก็โทรมาหาสองสามครั้ง เพราะขาดกำไรจำนวนมากมาหลายวันแล้ว สำหรับเสี่ยเฉิงปา รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังมีเลือดไหลก็ไม่เชิง…
แต่ซ่งจื่อเซวียนยังคงพูดเกลี้ยกล่อมเขาอย่างอดทน อย่างไรก็อีกแค่สองสามวัน รอให้ร้านสวนชุนสยาปิดตัวลงจริงๆ แล้วค่อยวางขายข้าวผัดจักรพรรดิใหม่
บวกกับช่วงนี้คลับเฮาส์หลงตูใกล้จะเปิดกิจการอีกครั้ง ความบันเทิงแบบผสมผสานอย่างโรงอาบน้ำ ร้านอาหารกับเครื่องดื่มและร้านคาราโอเกะ อาจจะกลายเป็นภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมบันเทิงแห่งเมืองตู้เหมิน
ลำพังแค่ส่วนนี้ ค่าคอมมิชชั่นของเสี่ยเฉิงปาก็มากพอให้เขากินอิ่มแล้ว
แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่เข้าไปควบคุมด้วยตัวเอง งานพวกนี้ตกอยู่ในมือซ่งอีหนานทั้งหมด
หากเจอปัญหาที่ยากจะแก้ไข เธออาจจะขอความช่วยเหลือจากซ่งจื่อเซวียน
และภายในสองวันนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ซาบซึ้งยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นลู่ลี่จวินหรือเริ่นต้าหมินต่างก็พาเหล่าผู้นำและเจ้าของบริษัทมาที่ร้านสวนสวินเฟิง ซ่งจื่อเซวียนจึงได้มีโอกาสนำเสนอน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
การปรุงอาหารซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่ามีการพัฒนามากขึ้น ช่วยเพิ่มความเข้าใจเรื่องโต้วหลงเหมินเมนูใหม่ของเขาอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่เขายังเข้าใจเรื่องวัตถุดิบไม่ได้ทั้งหมด จึงยังไม่คิดลองทำดู
จนกระทั่งเช้าวันที่สาม ซ่งจื่อเซวียนถึงไปร้านอาหารร่ำรวยเพื่อดูสถานการณ์ในร้าน
เขาดูสมุดบัญชี รายได้ของสองวันนี้ถือว่าไม่เลว ได้เงินมาสองสามพันหยวนทุกวัน ถึงแม้จะยังสู้กำไรของข้าวผัดจักรพรรดิไม่ได้ แต่ก็พอจะมีรายได้แล้ว
“เหอะๆ สงสัยร้านสวนชุนสยาจะยังไม่เปิดร้าน” มองดูร้านสวนชุนสยาที่ปิดประตูอยู่ฝั่งตรงข้าม ซ่งจื่อเซวียนก็พูดพร้อมยิ้มออกมา
หยางกังพยักหน้า “ใช่แล้วนายท่านรอง แต่ได้ยินว่าจะเตรียมเปิดร้านอีกสองวันนี้ น่าจะออกแบบเมนูใหม่ได้แล้ว”
หลิงเข่อเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยว่า “อาจารย์คะ แต่สองวันที่ผ่านมาฉันพบเรื่องหนึ่งเข้า ถึงแม้ร้านสวนชุนสยาจะปิดร้าน แต่จะมีผู้ชายคนหนึ่งมาทุกวัน มาแล้วก็อยู่ที่ร้านทั้งวันเลยค่ะ”
ประโยคนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนนิ่งอึ้งไป
…………………………………………………..