เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 251 คนถือรองเท้าและเสิร์ฟอาหาร
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 251 คนถือรองเท้าและเสิร์ฟอาหาร
ตอนที่ 251 คนถือรองเท้าและเสิร์ฟอาหาร
อันที่จริงหวังเฉียงกับซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความหมายของเริ่นต้าหมินแล้ว
หวังเฉียงแอบรู้สึกเสียใจที่นัดอีกฝ่ายมาวันนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะโลภมากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยปากขอ…
และคนที่นายต้องการนั้นไม่ใช่ใครอื่น ตัวซ่งจื่อเซวียนเป็นเพื่อนกับลู่ลี่จวิน นายอยากได้ส่วย…ตำแหน่งข้าราชการนี้ก็เล็กไปหน่อยหรือเปล่า
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับหัวเราะ “เหอะๆ ช่วงแรกพวกเราเปิดร้านอาหารที่ผสมผสานอาหารรัสเซียกับอาหารจีนครับ รอให้มีฐานลูกค้าเยอะแล้ว ค่อยหันไปทำคลับเฮาส์แบบครัวส่วนตัว”
“เถ้าแก่ซ่งก็จะทำระบบสมาชิกด้วยใช่ไหม” เริ่นต้าหมินพูด “แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อน ร้านที่ใช้ระบบสมาชิกตอนนี้มีปัญหาไม่น้อย ต้องดูแลหลายด้านอย่างระมัดระวัง”
“เรื่องนี้ผมยังไม่ได้เริ่มวางแผนครับ แต่อนาคตถ้ามีความคิดด้านนี้ ผมจะติดต่อหัวหน้าหวังเป็นคนแรก ว่าจำเป็นต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง ผมจะทำตามขั้นตอนปกติแน่นอนครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หวังเฉียงชูนิ้วโป้งขึ้นมา ไม่เสียแรงที่เป็นซ่งจื่อเซวียน ตอบโดยไม่มีช่องโหว่เลย
คุณอยากได้ส่วย ผมก็จะปฏิบัติให้ถูกตามขั้นตอนเอง อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็ติดต่อลู่ลี่จวินเป็นประจำจึงไม่กลัวผู้อำนวยการที่เป็นลูกน้องของอธิบดี
เริ่นต้าหมินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าพูดว่า “ดี ทำตามขั้นตอนดีที่สุด ถึงตอนนั้นทุกคนจะได้ทำงานง่าย นายดูสิ วันนี้นายเชิญผู้อำนวยการหวังมากินข้าว พวกเราถือว่ารู้จักกันแล้วใช่ไหมล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “ใช่ครับ ประเด็นหลักคือผู้อำนวยการหวังช่วยผมไว้มาก ผมสมควรที่จะขอบคุณ และผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้จะมีพวกคุณสองคนมาด้วย”
พอพูดแบบนี้ทำให้เริ่นต้าหมินกับหยางตงฟางกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ความหมายคือ…รังเกียจที่พวกเราสองคนเป็นส่วนเกินเรอะ
เริ่นต้าหมินมองหยางตงฟาง “เหล่าหยาง ร้านอาหารของเถ้าแก่ซ่งอยู่ในเขตดูแลส่วนไหน”
“ครับ…สำนักงานเขตเฉิงหนานครับ หลิวจื้อเป็นหัวหน้าทีมตรวจสอบอาหารที่เขตนี้ครับ” หยางตงฟางกล่าว
เริ่นต้าหมินพยักหน้า “โอเค โทรกลับไปบอกเขา สั่งพวกเขาให้ดูแลดีๆ หน่อย!”
ไอ้หนูคิดว่าฉันจะจัดการนายไม่ได้ใช่ไหม ฉันพูดจาดีกับนายแล้ว ในเมื่อนายไม่เห็นค่า สงสัยต้องใช้ไม้แข็งสักหน่อย
ในสายตาของเขา ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนจะฟังไม่เข้าใจ แต่หวังเฉียงจะฟังไม่ออกหรือ
หลังจากนี้หวังเฉียงจะต้องบอกให้ซ่งจื่อเซวียนจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ตัวเองแน่นอน ถึงตอนนั้นตนค่อยวางมาด สั่งสอนเถ้าแก่หนุ่มคนนี้!
เป็นดังที่เขาคาดคิด หวังเฉียงฟังความหมายที่อยู่ในนั้นออก และซ่งจื่อเซวียนก็ฟังออกเหมือนกัน
ทว่า…หวังเฉียงไม่อยากให้ซ่งจื่อเซวียนจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้เริ่นต้าหมิน และกลับรู้สึกว่าเริ่นต้าหมิน…รนหาที่ตายเอง
“อ้อใช่จื่อเซวียน ช่วงนี้ท่านอธิบดีลู่เป็นยังไงบ้างล่ะ ฉันเห็นว่าช่วงนี้เขามาทำงานหน้าตาสดใสขึ้นมากเลย”
หนึ่งประโยคของหวังเฉียง ทำให้เริ่นต้าหมินกับหยางตงฟางตกตะลึง
พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าอธิบดีลู่จากปากของหวังเฉียงจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากลู่ลี่จวิน
อธิบดีลู่ แม่งเอ๊ย ไอ้หมอนี่กับอธิบดีลู่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรไปชั่วขณะ ได้แต่รอซ่งจื่อเซวียนพูดต่อ ทว่าดูเหมือนในใจของพวกเขาจะตระหนักได้หนึ่งปัญหา
นั่นคือครั้งนี้ดูเหมือนว่า…จะหาเรื่องผิดคนแล้ว
แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความปรารถนาดีของหวังเฉียง เขาจึงพยักหน้า “ไม่เลวเลยครับ เมื่อวันก่อนอธิบดีลู่เพิ่งเข้ามา บอกว่าสวนสวินเฟิงเหมาะที่จะทำเป็นคลับเฮาส์และครัวส่วนตัวมากครับ”
“อ้อๆ ที่แท้เป็นเจตนาของอธิบดีลู่ เหอะๆ ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ร้านของนายมีพื้นที่เยอะแถมยังเป็นตึกสองชั้น ประเด็นสำคัญคือสภาพแวดล้อมที่นี่มีรสนิยมดี เจอได้ไม่บ่อยตามร้านอาหารทั่วไป”
หวังเฉียงพูดพลางยกแก้วชนกับซ่งจื่อเซวียนแล้วดื่ม ขณะเดียวกันก็เหลือบตามองเริ่นต้าหมินหนึ่งที
เวลานี้ เริ่นต้าหมินกับหยางตงฟางต่างแสดงสีหน้าตกใจออกมา
อันที่จริงในใจของพวกเขาแอบคิดพลิกแพลงสถานการณ์แล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยอย่างไร
ซ่งจื่อเซวียนมองเริ่นต้าหมิน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใช่ครับ ผมถึงกะว่าจะมุ่งไปในทิศทางครัวอาหารส่วนตัวครับ แต่…ฟังจากที่ผู้อำนวยการเริ่นพูด ดูเหมือนจะยุ่งยากมาก และสร้างความวุ่นวายให้ทุกคนได้ง่าย ผมคิดว่าวันหลังค่อยว่ากันดีกว่าครับ”
“ไม่ๆๆ น้องซ่ง ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ความหมายของฉันคือถ้าจะทำระดับคลับเฮาส์ เกรงว่าต้องมีขั้นตอนเยอะ นายอย่าประมาทเด็ดขาด แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อพวกเราดื่มเหล้าแล้วก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน เรื่องนี้พวกเราจะช่วยนายจัดการเอง”
พอได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ดีอกดีใจ เรื่องของพวกข้าราชการ…ถือว่าสนุกมากจริงๆ
ผู้ชายที่สูงเกือบห้าฟุต ท่าทางสุดแข็งกร้าวเมื่อครู่ ตอนนี้กลับ…เหมือนติดเงินตัวเองเป็นร้อยล้าน…
หวังเฉียงก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา มองเพื่อนร่วมงานของตัวเองสภาพดูไม่ได้เช่นนี้ เขารู้สึกน่าขันมากจริงๆ
“หืม ผู้อำนวยการเริ่นมีความยุติธรรมดีนะครับ เหอะๆ ถ้างั้นผมขอดื่มให้คุณหนึ่งแก้วครับ”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนยกแก้วขึ้นมา เริ่นต้าหมินก็รีบส่งสายตาให้หยางตงฟาง ทั้งสามคนชนแก้วกัน
“จริงสิผู้อำนวยการเริ่น ผมเพิ่งจะเริ่มทำธุรกิจที่นี่ ชั้นสองเหมาะที่จะทำเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ของระดับผู้นำ เจ้าของกิจการต่างๆ คุณต้องช่วยน้องชายคนนี้ด้วยนะครับ”
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนตั้งใจที่จะพูดเช่นนี้
เริ่นต้าหมินในฐานะผู้อำนวยการทีมตรวจสอบอาหาร จึงมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของกิจการอยู่ไม่น้อย ขอแค่เขาช่วยสนับสนุน เช่นนั้นระยะแรกของสวนสวินเฟิงก็ถือว่าพออยู่ได้แล้ว
“ไม่มีปัญหาน้องชาย นายวางใจได้ ฉันจะไม่ใส่ใจร้านของพวกเราได้ยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนแอบหัวเราะ ทำไมถึงกลายเป็นร้านอาหารของตัวเองไปเสียแล้วล่ะ แต่ในเมื่อได้ผลลัพธ์ตามที่ตัวเองต้องการแล้ว เขาจึงไม่ถือสาเริ่นต้าหมิน
หรือจะพูดอีกอย่างคือ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นข้าราชการ คบเป็นเพื่อนดีกว่าเป็นศัตรู
หวังเฉียงจึงวางใจเช่นกัน อันที่จริงจุดประสงค์ที่พาพวกเริ่นต้าหมินมาในวันนี้ ไม่เพียงแต่แนะนำซ่งจื่อเซวียนให้พวกเขาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วคือแนะนำพวกเขาให้ซ่งจื่อเซวียนรู้จักด้วย
ถึงแม้หวังเฉียงจะเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน แต่เรื่องการตรวจสอบอาหารอย่างไรเสียคืองานของเริ่นต้าหมิน หากมีเริ่นต้าหมินดูแล เช่นนั้นเวลาทำอะไรก็จะสะดวกมากขึ้น
หวังเฉียงเอ่ยว่า “ผู้อำนวยการเริ่น จริงๆ แล้วน้องชายของฉันคนนี้มีความสามารถมาก นอกจากสวนสวินเฟิง ยังเปิดร้านอาหารอีกที่หนึ่ง อยู่ที่เขตเฉิงตง ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษเลยล่ะ”
“อ๋อ งั้นเหรอ น้องซ่งดูแล้วก็มีความสามารถจริงๆ คนหนุ่มประสบความสำเร็จจริงๆ เลยนะ” เริ่นต้าหมินเอ่ยยิ้มๆ
“เหอะๆ ร้านอาหารนั้นนายอาจจะไม่รู้จัก แต่อาหารจานเด็ดของพวกเขานายต้องเคยได้ยินมาก่อน ข้าวผัดจักรพรรดิไง!” หวังเฉียงพูด
ได้ยินดังนั้น เริ่นต้าหมินก็ตกตะลึง
ตอนนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ข้าวผัดจักรพรรดิดังมากในตู้เหมิน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่แฟนคลับอาหารเลิศรสตัวยง จึงรู้จักข้าวผัดจักรพรรดิแค่ตอนที่อยู่ต้าสือไต้เท่านั้น
ทว่าการประชุมในช่วงนี้ ลู่ลี่จวินมักจะพูดถึงข้าวผัดจักรพรรดิบ่อยมาก บอกว่าเป็นเมนูหลักของร้านอาหารในตู้เหมิน หวังว่าในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายด้านอาหาร ทุกคนจะเรียนรู้มากขึ้น ช่วยสนับสนุนมากขึ้น
เมื่อพูดเช่นนี้ เรื่องที่ลู่ลี่จวินกับซ่งจื่อเซวียนรู้จักกัน เริ่นต้าหมินก็ไม่แปลกใจแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ น้องซ่ง คนเก่งหาตัวจับยากจริงๆ คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นเชฟที่ทำอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตู้เหมิน”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม “ทำให้ผู้อำนวยการเริ่นต้องขำแล้วครับ”
หวังเฉียงเอ่ยว่า “ผู้อำนวยการเริ่น น้องชายของฉันมีร้านอาหารในเขตเฉิงตงชื่อว่าร้านอาหารร่ำรวย ช่วงนี้เจอปัญหานิดหน่อย นายคิดว่า…จะพอช่วยบ้างได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนนับว่าแปลกใจอยู่บ้าง เพราะนี่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้ แต่ลองพูดดูก็ถือว่าไม่เสียหาย
“หืม เจอปัญหาอะไร พูดมาได้เลย ถ้าทำให้ได้ฉันเริ่นต้าหมินคนนี้จะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”
ขณะพูด เริ่นต้าหมินก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วชนแก้วกับซ่งจื่อเซวียน
สถานการณ์บนโต๊ะเหล้ากลายเป็นคนทั้งสามต้องประจบเอาใจซ่งจื่อเซวียนในพริบตา…
จากนั้น หวังเฉียงจึงเล่าเรื่องที่ร้านสวนชุนสยาอีกหนึ่งรอบ
เริ่นต้าหมินพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ก็คือสวนชุนสยาไม่พอใจ อยากมีเรื่องกับน้องซ่งใช่ไหม โอเค อีกสองสามฉันจะไปจัดการพวกเขาให้”
“ผู้อำนวยการเริ่น ถ้าสามารถแก้ไขได้ก็ดีมากจริงๆ จื่อเซวียนขอขอบคุณตรงนี้เลยครับ!”
“ฮ่าๆๆๆ น้องชายไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปพวกเราก็เป็นคนกันเองแล้ว นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ วันหลังถ้าฉันมาอีก อย่าลืมทำอาหารให้ฉันกินฟรีสักสองอย่างก็พอ”
“แน่นอนครับๆ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ตอนเย็นวันนั้น งานเลี้ยงดื่มเหล้าจบลงไม่ดึกมาก บวกกับที่สวนสวินเฟิงก็ไม่มีลูกค้าแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงตัดสินใจปิดร้านเร็วหน่อย
ช่วงนี้เขากลับบ้านดึกทุกวัน กระทั่งไม่มีเวลาไปหาปู่ฟาง วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปช่วยเก็บกวาดบ้านให้ได้
พอออกจากร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็ไปที่บ้านฟางจิ่งจือทันที
ชายชรายังไม่นอนจริงๆ ตอนนี้เหมือนกำลังดื่มเหล้ายามราตรี กลิ่นเหล้าลอยเข้าไปในลานบ้าน
“ปู่ ดื่มเยอะอีกแล้วนะ”
พอเข้าไปในบ้าน ซ่งจื่อเซวียนเห็นฟางจิ่งจือดื่มเหล้าเข้าไปอย่างมีความสุข
“ปู่ วันนี้กินมื้อดึกอีกแล้วเหรอ”
“ออกไปเลย ไอ้เด็กเวร ไม่มาที่นี่นานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางเดินไปข้างหน้า “ดูปู่พูดสิ ใครบอกว่าผมไม่มา แต่ประเด็นคือมันดึกเกินไปปู่ก็เลยนอนพักผ่อนไปแล้ว”
ฟางจิ่งจือจึงเงียบพลางครุ่นคิด “อย่างนั้นไม่นับ ไอ้เด็กเวร ดูสูตรอาหารไปถึงไหนแล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกละอายใจมาก ช่วงนี้ยุ่งจนหัวหมุน จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านสูตรอาหาร
“ปู่ ช่วงนี้งานยุ่งสุดๆ เลยไม่มีเวลาอ่าน ปู่อย่าโกรธนะ ผมจะเล่าเรื่องสนุกให้ฟังเอง”
“โอ้ว…ดีเลย เล่าให้ฉันฟังสิ”
ฟางจิ่งจือพูดพลางเอนตัวไปข้างหลัง
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องที่ตงไห่และหนานไถให้ฟางจิ่งจือฟัง
“ปล่อยกำลังภายในควบคุมไฟ แกทำเป็นแล้วเรอะ”
“เรื่องราวก็เป็นแบบนี้แหละ ผมเองก็ไม่รู้ว่าอย่างผมถือว่าทำเป็นหรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
ฟางจิ่งจือหรี่ตาทั้งสองข้างเล็กน้อย “หลิงเจิ้น…ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อครัวขั้นเทพแห่งภาคเหนือเรอะ วงการอาหารวุ่นวายแล้วจริงๆ อย่างมากสุดเขาก็เป็นแค่คนถือรองเท้าเสิร์ฟอาหารเท่านั้น”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแบบนั้นก็เบิกตาโตพูดว่า “ตาแก่นี่ดื่มไปไม่น้อยจริงๆ เลยสินะ ผู้เฒ่าหลิงคนนั้นมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศเชียวนะ จะไปเป็นคนถือรองเท้าเสิร์ฟอาหารได้ยังไง…”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ ไอ้หมอนี่ฉันรู้จักดี เมื่อก่อนอยู่ที่ร้านหอเฉวียนเค่อที่ปักกิ่ง ตอนที่ฉันก็อยู่ เขายังไม่คู่ควรจะเตรียมอาหารให้ฉันเลย”
“พอๆๆ ปู่พูดยังไงก็ถูกแหละ ผมแค่เล่าเรื่องนี้ให้ปู่ฟังก็เท่านั้น ปู่คิดว่าการควบคุมไฟนอกจากจะเอาไปใช้โจมตีคนอื่นแล้ว มันช่วยเรื่องทักษะการทำอาหารหรือเปล่า”
ฟางจิ่งจือนิ่งไปนานพักหนึ่ง เอ่ยว่า “ไอ้แก่หลิงเจิ้นนี่ ไม่ตั้งใจสอนลูกศิษย์ของฉันให้ดี ปล่อยให้เขาใช้ไฟทำร้ายคน อะไรของมันวะ…”
ซ่งจื่อเซวียนก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน “ปู่ ผมถามปู่อยู่นะครับ”
“ถามเชี่ยอะไร ไปเอาโต้วหลงเหมินมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาถามฉัน แล้วก็ฉันจะบอกแกให้นะไอ้หนู ใช้การควบคุมไฟให้มันน้อยๆ หน่อย ดีไม่ดีจะทำร้ายแกเอาได้”
ซ่งจื่อเซวียนฟังออกว่าฟางจิ่งจือต่อต้านการควบคุมไฟเป็นอย่างมาก จึงไม่ถามอะไรต่ออีก
แต่ตัวฟางจิ่งจือกลับพูดขึ้นมาว่า “ใช้กำลังภายในควบคุมไฟ…เป็นวิธีที่พ่อครัวหลายคนใช้เป็นมานานแล้ว”
“หืม”
…………………………………………………….