เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 250 จ่ายส่วย
ตอนที่ 250 จ่ายส่วย
ได้ยินเฉียนปู้หลายพูดเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงมั่นใจ
เพราะอย่างไรเฉียนปู้หลายก็เป็นทายาท แม้ว่าฝีมือของเฉียนปู้หลายจะไม่ดีเท่าช่างตีเหล็กเฉียนปู่ของเขา แต่เกรงว่าในสมัยนี้คงไม่มีใครเทียบเขาได้
“ไม่มีปัญหา ถึงตอนนั้นเราจะบังคับให้เขากินรถเอง แต่…เฉียนปู้หลาย ช่วงนี้นายต้องฟังฉันแล้วอยู่ที่ร้านอาหารของฉันชั่วคราวไปก่อน ฉันจะรับผิดชอบเรื่องที่พักอาศัย อาหารการกินและการเดินทางให้เอง”
เมื่อเฉียนปู้หลายได้ยินก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ มีเรื่องดีๆ แบบนี้ฉันตั้งตารอเลย คืนนี้จัดมื้อเย็นให้ด้วยไหม”
“จัดให้ด้วย!” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะออกมา
หลังจากนั้นทุกคนก็มาถึงร้านอาหารร่ำรวย ซ่งจื่อเซวียนให้หูเจิ้นทำอาหารให้เฉียนปู้หลายกินเล็กน้อยก่อน
หลังจากนั้นก็จัดห้องส่วนตัวให้เขาใช้เป็นห้องพัก
แม้ว่าทุกคนไม่พอใจที่เห็นเฉียนปู้หลายสกปรก แต่พวกเขาก็ได้แต่ต้องทำตามคำพูดของซ่งจื่อเซวียน
“อาจารย์ เอ่อ…ให้คนสกปรกขนาดนี้ย้ายเข้ามา จะไม่ให้คนอื่นทำมาหากินแล้วเหรอ!” หลิงเข่อเอ๋อร์บ่น
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “พอแล้วเข่อเอ๋อร์ เธอก็ไม่ต้องขึ้นไปชั้นบน เขาอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก”
หลิงเข่อเอ๋อร์ทำหน้ามุ่ย “ไม่ได้สิ เขาสกปรกมากเลยเหมือนไม่ได้อาบน้ำมานานแล้ว อาจารย์…เขาต้องลงมากินข้าวชั้นล่างบ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ”
“ก็จริงอยู่ ถ้างั้นก็เอาอย่างนี้ ตอนเขากินข้าวก็ให้คนเอาขึ้นไปส่ง จะได้ไม่รบกวนลูกค้า”
“หา…แล้วใครจะเอาข้าวไปส่งล่ะคะ” หลิงเข่อเอ๋อร์ถามด้วยสีหน้าขยะแขยง
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เกรงว่าต้องเป็นเธอไปส่งแล้วล่ะ…”
“ไอ้หยา ฉันไม่ทำนะคะ สกปรกจะตาย!!!!” หลิงเข่อเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
คนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมา
ซางเทียนซั่วยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ฮ่าๆ งั้นฉันไปส่งเองก็ได้จะได้ไม่ทำให้ศิษย์น้องที่แสนสะอาดสกปรกอีก…”
“แต่…ช่วงนี้ฉันยังต้องขับรถให้อาจารย์อยู่ เฮ้อ ช่วงที่ฉันไม่อยู่เกรงว่าศิษย์น้องต้องเอาไปส่งให้แทนนะ”
“ซางเทียนซั่วนายรนหาที่ตายนี่นา!” หลิงเข่อเอ๋อร์ตะคอก
ซางเทียนซั่วหัวเราะ “ฮ่าๆ เอ๋ะ ศิษย์น้อง ฉันเป็นศิษย์พี่ของเธอนะ เธอต้องเชื่อฟังสิ!”
“นาย…” หลิงเข่อเอ๋อร์จ้องเขม็งซางเทียนซั่วแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
ซ่งจื่อเซวียนมองไปรอบๆ “เอ๊ะ วันนี้โจวเผิงไม่มาเหรอ”
หลิงเข่อเอ๋อร์กล่าว “อ๋อ อาจารย์ เมื่อกี้เขาเพิ่งส่งข้อความมาหาฉันว่าเขาไม่สบาย วันนี้เลยต้องพักค่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แอบยิ้ม พักเหรอ เป็นเพราะร้านสวนชุนสยาเลยต้องพักสินะ ตอนนี้เขาคงไปหาผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังแล้วมั้ง…
……
ณ ตึกจวี้เฟิง ชั้นที่สิบหก
ภายในสำนักงาน หวงฟานั่งจิบชาแล้วจุดซิการ์อยู่ที่โต๊ะทำงาน
เถียนเหวินคุ่ยและโจวเผิงกำลังนั่งบนโซฟาที่อยู่ด้านข้าง
ในเวลานี้ ใบหน้าของโจวเผิงดูเศร้าสร้อย แต่เถียนเหวินคุ่ยค่อนข้างสุขุม เขาเอนกายพิงโซฟาแล้วจิบชาไปด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวงฟา ดูเหมือนเขาจะไม่ฟังโจวเผิงเลยตั้งแต่แรก เพียงแค่ทำเป็นเออออไปเท่านั้น
“เสี่ย เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ตอนแรกเรากำลังไปได้สวย แต่ไม่รู้ทำไมเราถึงถูกตรวจสอบกะทันหัน เดาว่าคงเป็นพวกซ่งจื่อเซวียนที่ร้องเรียนเรื่องนี้” โจวเผิงกล่าว
หวงฟาไม่ได้โต้ตอบ แต่มองไปที่เถียนเหวินคุ่ย
กล่าวให้ชัดเจนคือเป็นเพราะเขาไม่ได้ฟังตั้งแต่แรก ช่วงนี้ธุรกิจของหวงฟาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เนื่องจากการควบคุมนโยบาย เขาจึงสูญเสียโอกาสบางอย่างและไม่ทันจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีกะจิตกะใจจะฟังเรื่องไร้สาระของโจวเผิง
เมื่อเถียนเหวินคุ่ยเห็นสายตาที่จับจ้องของหวงฟา เขาก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
เขาพยักหน้า “โจวเผิง สถานการณ์ในตอนนี้คือ…ร้านสวนชุนสยาโดนปิดปรับปรุงชั่วคราวใช่ไหม เขาได้บอกไหมว่าปิดนานแค่ไหน”
“เปล่าครับ นี่คือสิ่งที่ผมกังวล ถ้าโดนร้านอาหารร่ำรวยแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปในช่วงนี้คงจะยุ่งยาก” โจวเผิงพูด
เถียนเหวินคุ่ยครุ่นคิด “พวกนายเปลี่ยนเมนูและป้ายที่เกี่ยวข้องกับข้าวผัดจักรพรรดิก่อน แล้วค่อยไปยื่นเรื่องขอเปิดร้านที่ทีมตรวจสอบอาหารก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
สีหน้าโจวเผิงดูลำบากใจ “คุณเถียนพูดถูก แต่ว่า…ร้านอาหารร่ำรวยเกี่ยวข้องกับเสี่ยเฉิงปา เราจะไปล่วงเกินไม่ได้ ถ้าพวกเขามาก่อเรื่องล่ะก็…”
ได้ยินประโยคนี้ เถียนเหวินคุ่ยและหวงฟาก็มองหน้ากัน
หวงฟาสูดหายใจเฮือกหนึ่งและแอบด่าในใจ เฉิงปา…มีแกอยู่จริงๆ ด้วย ตอนแรกแกแกล้งทำเป็นอยู่ข้างฉัน ที่แท้แกก็ยังติดตามซ่งจื่อเซวียนและทำงานที่ร้านอาหารร่ำรวยสินะ…
นึกถึงตรงนี้หวงฟาก็โมโหและเผยสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เถียนเหวินคุ่ยเห็นดังนั้นจึงเอ่ย “จริงเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้น…โจวเผิง ก่อนอื่นนายพยายามแจ้งความก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยให้เสี่ยออกหน้าให้ ยังไงจะให้เสี่ยหวงช่วยออกหน้าทุกเรื่องไม่ได้ถูกไหม”
โจวเผิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากได้ยิน “ใช่ๆ คุณเถียนพูดถูก เสี่ยงานยุ่งคงจะดูแลจัดการทุกอย่างหมดไม่ได้ ถ้าไม่ได้ผลผมจะมาหาเสี่ยหวงอีกครั้งเองครับ”
จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อย แต่ข้อเรียกร้องที่วกไปวนมาของโจวเผิงก็ถูกเถียนเหวินคุ่ยตัดบทไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดคุยกันอีก และอีกฝ่ายแสดงเจตนาไล่แขกอย่างชัดเจน ดังนั้นโจวเผิงจึงจากไป
“เสี่ย คิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ”
หวงฟาครุ่นคิด “ช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนกำเริบเสิบสานมากนะ ดูเหมือนควรจะต้องหาวิธีปราบเขาหน่อยแล้ว”
เถียนเหวินคุ่ยยกยิ้ม “เสี่ย ยังไม่ถึงเวลาครับ ยังไงร้านสวนชุนสยาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ถ้าเราจะเคลื่อนไหวก็ไม่ใช่ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้”
“หืม นายหมายความว่าไง” หวงฟาเอ่ยถาม
“เสี่ย ซ่งจื่อเซวียนคนนี้ไม่ใช่เด็กธรรมดา ในจุดนี้คุณกับผมได้เห็นมากับตาแล้ว ถ้าจะแตะต้องเขาคงหาพวกนักเลงไม่กี่คนไปจัดการเขาไม่ได้แน่นอน”
หวงฟาได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า “ถูกต้อง เขามีบอดี้การ์ดอยู่ด้วย”
“ใช่ครับ เพราะงั้นถ้าอยากลงมือต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว ถ้าไม่ทำให้เขาจับตะหลิวไม่ได้อีกทั้งชีวิต ก็ทำให้อ่อนแอลง…”
พูดถึงตรงนี้ แววตาของเถียนเหวินคุ่ยก็เผยให้เห็นถึงความเยือกเย็น
หวงฟาก็เข้าใจความหมายของเขา “สมเหตุสมผล พูดต่อสิ”
“ตอนนี้ถ้าเราลงมือเพราะร้านสวนชุนสยา เกิดไม่สำเร็จขึ้นมาก็จะดึงดูดความสนใจจากซ่งจื่อเซวียน ซึ่งมันไม่คุ้มค่ากับเราเลยครับ
รอให้เรื่องนี้คลี่คลาย เราจะโจมตีเขาให้หนัก ตอนนั้น…เขาคงไม่มีทางตั้งรับได้ทัน”
เถียนเหวินคุ่ยพูดพร้อมหยิบกาน้ำชาขึ้นมาและรินให้หวงฟาหนึ่งถ้วย
หวงฟาพยักหน้าช้าๆ “เหอะๆ เหวินคุ่ย นายมีคุณสมบัติเป็นนายทหารจริงๆ”
เถียนเหวินคุ่ยก็ยิ้มเช่นกัน “ผมติดตามคุณมาหลายปีแล้วเลยได้เรียนรู้ทักษะหลายอย่าง ชีวิตนี้ผมจะทำงานถวายให้เสี่ยครับ”
หวงฟาได้ยินก็รู้สึกประทับใจและยิ้มอย่างรู้ใจ
………………….
ณ สวนสวินเฟิง
เปิดร้านไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ กิจการถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
กิจการชั้นหนึ่งค่อนข้างดี ปกติเมื่อถึงช่วงมื้ออาหารก็จะเต็มไปด้วยลูกค้า
อย่างไรในสมัยนี้อาหารรัสเซียก็ไม่ได้เห็นกันทั่วไปนัก ทันทีที่ร้านอาหารรัสเซียปรากฏขึ้นก็ค่อนข้างดึงดูดใจผู้คน
โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวและผู้ที่ชอบทานอาหารตะวันตกสไตล์อังกฤษกับอเมริกันมีค่อนข้างมาก บางครั้งการลิ้มลองอาหารรัสเซียก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก
ไวน์แดง กราแตงและขนมเลี่ยปา รวมกับแสงไฟสลัวในร้านสามารถสร้างบรรยากาศโรแมนติกได้จริงๆ
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว กิจการบนชั้นสองเงียบฉี่กว่ามาก
ไม่ว่าจะเป็นตอนเที่ยงหรือตอนเย็นปกติแล้วก็จะว่างอยู่ตลอด ยกเว้นช่วงไม่กี่วันมานี้ที่ซ่งจื่อเซวียนเชิญลู่ลี่จวินมา ห้องส่วนตัวก็ถูกใช้ไปเพียงสามครั้งเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่ถังหย่าฉีกังวลมากที่สุด หากอาหารจีนขายไม่ได้ พื้นที่ทั้งหมดบนชั้นสองก็จะสูญเปล่า
คืนนี้ ซ่งจื่อเซวียนเชิญหวังเฉียงและเจ้าหน้าที่หลายคนจากหน่วยงานควบคุมตลาดให้มาลองชิมอาหาร จึงถือว่าได้ใช้ห้องส่วนตัวบนชั้นสองไปอีกหนึ่งครั้ง
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเจิ้งฮุยก็ว่างเช่นกัน เนื่องจากเขาเชี่ยวชาญด้านอาหารจีน อาหารรัสเซียก็ทำเป็นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่สวนสวินเฟิงจะจ้างคนนอก และบริษัทเบเกอรีของโต้วซานซานก็จัดหากราแตงและขนมเลี่ยปามาให้
ดังนั้นในแต่ละวันเขาจึงไม่มีอะไรทำนอกจากสั่งให้ลูกน้องทำสตูว์เนื้อและซุปบีทรูท
แต่วันนี้ซ่งจื่อเซวียนให้เขาแสดงฝีมือ โต๊ะหนึ่งสั่งมาสิบกว่าเมนู แถมยังเป็นอาหารที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีราคาแพง
ในห้องส่วนตัวนอกจากสายตาอ่อนโยนที่หวังเฉียงมองซ่งจื่อเซวียนแล้ว เจ้าหน้าที่คนอื่นมีความเย่อหยิ่งเล็กน้อย
เพราะในสายตาพวกเขา พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซ่งจื่อเซวียนเป็นประชาชน การเชิญพวกเขามาทานอาหารก็เพื่อหวังผลประโยชน์ การที่พวกเขามาที่นี่ก็นับว่าให้เกียรติซ่งจื่อเซวียนแล้ว
แต่หวังเฉียงไม่ใช่แบบนั้น เขาเต็มใจที่จะสานสัมพันธ์กับซ่งจื่อเซวียน ต้องรู้ว่าคนที่สานสัมพันธ์นั้นไม่ใช่ซ่งจื่อเซวียน แต่เป็นลู่ลี่จวิน
วันนี้นอกจากหวังเฉียงยังมีอีกสองคน คนแรกคือเริ่นต้าหมิน ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบจากสำนักงานเทศบาลเมือง ฝ่ายตรวจสอบนับว่าเป็นฝ่ายที่มีอำนาจภายนอกมากที่สุดในสำนักงานจึงมีอำนาจเยอะโดยสิ้นเชิง
อีกคนหนึ่งคือหยางตงฟาง หัวหน้าทีมตรวจสอบ ซึ่งอยู่ภายใต้ฝ่ายตรวจสอบและถือว่าเป็นลูกน้องโดยตรงของเริ่นต้าหมิน
ซ่งจื่อเซวียนชูแก้วไวน์ขึ้นแล้วกล่าว “แหะๆ ทุกท่านครับ วันนี้ผมเลี้ยงเอง ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
หวังเฉียงคลี่ยิ้มแล้วเอ่ย “เรื่องของน้องจื่อเซวียนก็คือเรื่องของฉัน นายไม่ต้องกังวลหรอก”
แม้ว่าหวังเฉียงจะพูดแบบนี้ แต่เริ่นต้าหมินกลับไม่เป็นแบบนั้น เขาก้มหน้ากลอกตาแล้วหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
ซ่งจื่อเซวียนมองออกว่าคนผู้นี้เป็นคนวางมาด
หยางตงฟางเอ่ยขึ้น “เหอะๆ ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ซ่งจะเป็นเพื่อนของผู้อำนวยการหวัง เราทุกคนมาที่นี่เพราะเห็นแก่หน้าของผู้อำนวยการหวังกันทั้งนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและเข้าใจคำพูดของหยางตงฟาง นั่นคือพวกเขามาเพราะหวังเฉียงจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขา
เริ่นต้าหมินพยักหน้า “ใช่แล้ว ว่าแต่ร้านอาหารของเถ้าแก่ซ่งนี้ดีจริงๆ แต่ก็ต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหารด้วยนะ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นเราก็จะลำเอียงช่วยไม่ได้”
หวังเฉียงคิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะมีท่าทีเช่นนี้ เขาคิดในใจว่าฉันใจดีให้พวกนายรู้จักเพื่อนของอธิบดีลู่ พวกนายกลับมาอวดดีที่นี่งั้นเหรอ
เขากำลังจะพูดถึงความสัมพันธ์ของซ่งจื่อเซวียนกับลู่ลี่จวิน แต่ซ่งจื่อเซวียนพูดขึ้นมาก่อน “เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารเป็นอันดับแรกเสมอครับ ทุกท่านวางใจได้ จริงสิพี่หวัง ร้านใหม่ของผม…เกรงว่าจะต้องมีการโปรโมตด้วย”
“ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ฉันจะไปหาเพื่อนฉันให้ นายต้องการผลการโปรโมตแบบไหนล่ะ” หวังเฉียงเอ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญ “เหมือนกับครั้งที่แล้วครับ แต่จ่ายค่าตอบแทนให้ได้ พี่หวังช่วยผมถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ”
“ได้เลยน้องชาย นายเป็นคนดี ฉันช่วยนายแน่นอน”
เริ่นต้าหมินเอ่ยขึ้น “ร้านใหม่จำเป็นต้องโปรโมตแน่นอน แต่…เถ้าแก่ซ่ง ฉันเพิ่งเห็นราคาอาหารเมื่อกี้ มันไม่แพงไปหน่อยเหรอ ถ้าถูกร้องเรียนว่าอาหารแพงเกินไป หน่วยงานของเราคงต้องรับพิจารณาด้วย”
หวังเฉียงโมโหจึงพูดว่า “หัวหน้าเริ่น ร้านของน้องซ่งจัดเป็นคลับเฮาส์แบบห้องส่วนตัว สำหรับเรื่องราคายังห่างจากหอหงเยวี่ยอีกเยอะนะ”
เมื่อเริ่นต้าหมินได้ยินก็ยิ้มออกมา “ที่นี่เอาไปเทียบกับหอหงเยวี่ยได้เหรอ”
ความจริงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหอหงเยวี่ยได้ให้ส่วยเริ่นต้าหมินมากมาย เขาจึงไม่จัดการลงมือกับหอหงเยวี่ย
เหตุผลที่พูดแบบนี้ในตอนนี้ก็เพราะหวังว่าซ่งจื่อเซวียนจะฉลาด หากอยากให้เรื่องเรียบร้อยก็เตรียมจ่ายส่วยมาเถอะ
…………………………………………………