เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 249 กินรถ
ตอนที่ 249 กินรถ
หลังจากได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วก็โมโห
“นายมีทิฐินะว่าไหม ถ้างั้นให้พี่เจี๋ยทุบตีนายจนตายแล้วเราค่อยยึดบ้านไม่ดีกว่าเหรอ”
เฉียนปู้หลายครุ่นคิด “ไม่มีทาง อย่างแรกพวกเขาไม่กล้าฆ่าฉันหรอก อย่างที่สองถ้าฉันตาย นายคงไม่ได้บ้านหรอกมั้ง พวกนายไม่ใช่ลูกชายฉันสักหน่อย”
“แม่ง วันนี้ฉันอัดแกแน่!”
เฉียนปู้หลายรีบยกมือขึ้นปิดหน้า “อย่าๆ ทำไมนายเหมือนพวกนักเลงที่เอะอะก็จะทำร้ายคนอื่นล่ะเนี่ย”
คำพูดนี้ทำให้ซางเทียนซั่วชะงัก
“เวรเอ๊ย เมื่อกี้ตอนนายโดนไอ้นักเลงพวกนั้นต่อยทำไมไม่พูดแบบนี้บ้างล่ะ”
เฉียนปู้หลายลูบจมูก “พวกมันต่อยเร็วเกินไป ฉันพูดไม่ทัน”
“ดูถูกกันจริงๆ…”
ซางเทียนซั่วรู้สึกว่าถ้าเขาพูดอีกครั้งจะต้องโมโหมากแน่นอน
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “โอเค เราไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” เฉียนปู้หลายเอ่ยขึ้น เดินไปที่กองเศษเหล็กและหยิบผ้ากันน้ำสกปรกผืนใหญ่ขึ้นมาจากพื้นแล้วคลุมไว้ “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนสนใจในตัวเขาจริงๆ เฉียนปู้หลายคนนี้…ทำไมถึงสนใจเศษเหล็กขนาดนี้
จากนั้นทุกคนก็เดินออกจากซอยและขึ้นรถของซางเทียนซั่วไป
เฉียนปู้หลายแตะเบาะเบาๆ แล้วนั่งลง “โอ้โห สบายจัง เบาะนี่เหมือนโซฟาตัวใหญ่เลย รถแพงใช่ไหมเนี่ย”
ซางเทียนซั่วหันกลับมากลอกตาใส่เขา “นายทายถูกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ฉันเมตตา ชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้หมาสกปรกอย่างนายมานั่งรถฉันเด็ดขาด!”
เฉียนปู้หลายยิ้มแล้วกล่าว “เหอะๆ ถ้าพวกนายไม่ขอร้องให้ฉันนั่ง ฉันก็ไม่มีวันนั่งเหมือนกัน”
“นาย…”
“เหอะๆ เฉียนปู้หลายคุณพูดผิดแล้ว ผมไม่ได้ขอร้องคุณ แค่ไม่อยากให้คุณถูกพี่เจี๋ยต่อยอีก!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
เฉียนปู้หลายเหลือบมองซ่งจื่อเซวียน “หืม ไม่ใช่เพราะอยากได้บ้านฉันเหรอ เหอะๆ นายคิดว่าฉันโง่หรือไง แค่นี้ฉันจะมองไม่ออกเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัว “ตอนแรกเป็นเพราะบ้านของคุณนั่นแหละ แต่ในเมื่อคุณไม่คิดจะขาย ผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้เหตุผลเดียวคือผมไม่อยากให้คุณถูกพี่เจี๋ยต่อยอีกรอบ”
“เอ่อ…”
“เพราะงั้นนะ เฉียนปู้หลายคุณต้องเข้าใจว่าผมจะให้คุณลงจากรถตอนนี้แล้วรอให้พี่เจี๋ยมาต่อยคุณก็ได้ อย่าทำตัวหยิ่งให้มาก เข้าใจไหม”
ได้ยินดังนั้น เฉียนปู้หลายก็เก็บอาการเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว…”
เมื่อสตาร์ทรถ ความรู้สึกของแรงผลักรถบีเอ็มดับเบิลยูยังรุนแรงมาก แผ่นหลังของเฉียนปู้หลายติดเบาะอย่างจังและเห็นอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“คุณไม่ค่อยได้นั่งรถเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ปกติฉันไม่ได้นั่งรถเลย ฉันไม่ชอบนั่งรถ” ขณะที่พูด เฉียนปู้หลายก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเมารถ…
ซ่งจื่อเซวียนให้ซางเทียนซั่วขับนิ่งๆ และช้าลงทันที
“จริงสิเฉียนปู้หลาย ทำไมในลานบ้านคุณถึงมีเศษเหล็กเยอะขนาดนั้นล่ะ”
“เศษเหล็ก? ดูแล้วนายยังเด็กเหมือนเรียนอยู่ ไม่นึกเลยว่าจะกล้าถามออกมาหน้าไม่อายเนอะ”
คำพูดนี้ของเฉียนปู้หลายทำให้ซ่งจื่อเซวียนดูโง่เขลาเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองพูดผิดตรงไหนถึงทำให้อีกฝ่ายพูดแบบนี้…
“ไอ้เวร ระวังคำพูดเวลาคุยกับอาจารย์ฉันหน่อย ว่าใครนะ” ซางเทียนซั่วทนฟังไม่ได้จึงหันกลับมาพูด
อย่างไรซางเทียนซั่วก็น่ากลัวมากกว่า เฉียนปู้หลายเพียงแค่กลอกตามองและไม่ได้พูดอะไรอีกๆ
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดแล้วเอ่ย “กองนั่นไม่ใช่เศษเหล็กเหรอ”
“ไม่ใช่แน่นอน นั่นเป็นงานศิลปะทั้งหมด งานศิลปะน่ะเข้าใจไหม ช่างเถอะนายไม่เข้าใจหรอก ถ้าเข้าใจคงจะไม่เรียกมันว่าเศษเหล็ก!” เฉียนปู้หลายกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “งานศิลปะเหรอ”
ซางเทียนซั่วหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ ให้ตายเถอะ เป็นงานศิลปะที่กากจริงๆ พี่ชาย งานศิลปะของนายขึ้นสนิมหมดแล้ว”
เฉียนปู้หลายยักไหล่และยิ้มเยาะ “ขึ้นสนิมเหรอ ขึ้นสนิมก็ยังเป็นงานศิลปะ”
“เฉียนปู้หลาย งานศิลปะพวกนี้…คุณทำเองทั้งหมดเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ฉันทำเอง เมื่อกี้นายเห็นรายละเอียดงานศิลปะพวกนั้นหรือยัง มันประณีตหรือเปล่าล่ะ” เมื่อเฉียนปู้หลายพูดแบบนี้ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จู่ๆ เขาก็เริ่มน่าสนใจขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ ดูเหมือนว่าจะประณีตมาก แต่เมื่อกี้ไม่ได้ดูให้ละเอียดเลยยังดูไม่ออกว่ามันคืออะไร”
“ฮ่าๆๆ ถ้าพวกนายเข้าใจงานศิลปะของฉันกันหมด แล้วฉันจะทำงานศิลปะไปทำไมอีก”
ซางเทียนซั่วเอ่ย “พอเถอะ งานศิลปะที่นายทำนั้นไม่มีใครเข้าใจใช่ไหม มีแค่นายคนเดียวที่เข้าใจ เพราะงั้นมันก็คืองานศิลปะบ้าบอ!”
“นั่นเป็นเพราะนายไม่เก่งด้านศิลปะต่างหาก คนที่เก่งด้านศิลปะจะต้องเข้าใจมันแน่นอน ไม่ใช่แค่เข้าใจถึงความงามเท่านั้น แต่ยังมองความหมายแฝงออกอีกด้วย!”
ขณะที่พูด สีหน้าของเฉียนปู้หลายก็มีความหลงใหลเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาชื่นชอบงานศิลปะเหล่านั้นและรักการสร้างสรรค์มันขึ้นมา
“ให้ตาย…งานศิลปะขึ้นสนิม…”
“ขึ้นสนิมเหรอ นั่นเป็นเพราะวัสดุเหล็กไม่ดี แล้วก็…ฉันเป็นคนดูแลมันด้วย ฉันไม่มีเงินพอจะจัดเก็บให้ถูกต้อง พอโดนลมโดนฝนมีเหล็กชนิดไหนบ้างที่จะไม่ขึ้นสนิมล่ะ” เฉียนปู้หลายพูด
ได้ยินประโยคนี้ ในใจซ่งจื่อเซวียนก็สั่นไหวเล็กน้อย…
เหล็กชนิดไหนบ้างที่จะไม่ขึ้นสนิม? เหล็กเมฆม่วงจะทำได้หรือเปล่า
เขาเหลือบมองเฉียนปู้หลายอีกครั้ง ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าหลิงได้บอกไว้
เครื่องครัวเหล็กเมฆม่วงของท่านผู้เฒ่าหลิงผลิตขึ้นในเมืองตู้เหมิน และดูเหมือนว่าช่างตีเหล็กคนนั้นจะแซ่เฉียน!
คงไม่บังเอิญขนาดนี้หรอก…
ซ่งจื่อเซวียนมองเฉียนปู้หลายด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“คุณ…เป็นช่างตีเหล็กเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
เฉียนปู้หลายมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ช่างตีเหล็ก? เมื่อก่อนครอบครัวของฉันเคยเป็นช่างตีเหล็ก แต่พอถึงรุ่นของฉัน…คงถือว่าเป็นศิลปินไปแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนแอบดีใจ “เฉียนปู้หลาย ครอบครัวของคุณเคยเป็นช่างตีเหล็กในเมืองตู้เหมินมาก่อนใช่ไหม”
“ปู่ของฉันเคยเป็น แต่พอถึงรุ่นพ่อก็หยุดทำแล้วไปทำงานให้คนอื่นที่ท่าเรือ พอมาถึงรุ่นฉัน…ก็สบายใจที่ได้เป็นศิลปิน”
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ แต่ยังไม่รู้ว่าเฉียนปู้หลายคนนี้ได้สืบทอดฝีมือของปู่มาหรือเปล่า
หากสืบทอดมาจริงๆ นั่นก็จะเป็นเรื่องที่ดี แต่จากท่าทางเกียจคร้านของเขา…ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่กล้าคาดหวังมากเกินไป
“ศิลปิน? เหอะๆ คุณเนี่ยเรียกว่าศิลปินได้ด้วยเหรอ ผมคิดว่ารุ่นปู่ของคุณต่างหากที่เป็นศิลปิน!” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“อะไรนะ นั่นเป็นเพราะนายไม่เข้าใจความงามด้านศิลปะ สิ่งของพวกนี้ที่ฉันทำมีจิตวิญญาณทั้งหมด นายรู้สึกบ้างไหม” เฉียนปู้หลายพูด
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัว “ผมไม่รู้สึกเลยจริงๆ ผมคิดว่างานศิลปะเครื่องมือเหล็กที่ดีที่สุดน่าจะเป็นเครื่องใช้ที่มีประโยชน์หลากหลายที่ผลิตจากรุ่นปู่ของคุณ สิ่งของที่ทำให้ผู้คนสมัยนั้นใช้ชีวิตได้สะดวก”
ได้ยินคำพูดนี้ เฉียนปู้หลายก็จมอยู่ในความคิดของตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “สิ่งที่นายพูด…ดูเหมือนจะน่าสนใจอยู่บ้าง ประเพณีพื้นบ้าน เครื่องใช้และศิลปะ…ดูเหมือนจะประยุกต์เข้าด้วยกันได้”
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม “ใช่แล้ว แล้วไงต่อ ในยุคที่ผู้คนต้องการสิ่งที่จำเป็นก็ผลิตเครื่องใช้ที่ต้องการออกมาได้ แต่น่าเสียดาย…”
“น่าเสียดายอะไร” เฉียนปู้หลายเอ่ยถาม
ในตอนนี้เอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าซ่งจื่อเซวียนเหมือนจะเข้าใจศิลปะ ดังนั้นจึงเริ่มพูดคุยด้วยความสนใจ
“น่าเสียดายที่คุณไม่ได้สืบทอดทักษะจากปู่ คุณรู้แค่วิธีทำสิ่งของไร้ประโยชน์พวกนั้นแล้วยังตั้งตนว่าเป็นศิลปิน” ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม
“ใครว่าล่ะ เพราะพ่อฉันไม่ได้เป็นช่างตีเหล็ก ปู่เลยส่งต่อทักษะให้ฉันต่างหาก ฉันจะบอกนายให้นะ นายอย่าไปดูงานศิลปะที่ฉันทำพวกนั้น แต่ต้องดูของจริง ฉันรับรองว่าทำออกมาแล้วนายจะต้องตะลึง!” เฉียนปู้หลายพูด
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ
หากเขาเป็นทายาทของช่างตีเหล็กเฉียนที่ท่านผู้เฒ่าหลิงพูดถึงจริงๆ ตนคงโชคดีจริงๆ…
“คุณแน่ใจเหรอ คุณทำได้ทุกอย่างใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
เฉียนปู้หลายตบหน้าอกตัวเอง “แน่นอนสิ แต่น่าเสียดาย…ตอนนี้ไม่มีวัสดุที่ดีเลย เหล็กก็ขึ้นสนิมอย่างที่นายเห็น ถ้าทำจากวัสดุที่ดีมันจะไม่ขึ้นสนิม”
“เหอะๆ เฉียนปู้หลาย ผมมีเหล็กอยู่ชิ้นหนึ่ง คุณอยากดูไหม”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉียนปู้หลายก็เริ่มสนใจทันที “นายมีเหล็กเหรอ เหล็กอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้มและให้ซางเทียนซั่วจอดรถทันที
รถที่ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยขับไปตงไห่ในตอนนั้นเป็นรถของซางเทียนซั่ว หลังจากได้เหล็กเมฆม่วงมาก็ไม่เคยเอาออกมาอีกเลย และตอนนี้ยังอยู่ในท้ายรถ
ซ่งจื่อเซวียนเปิดท้ายรถ ยกผ้าที่คลุมเหล็กเมฆม่วงขึ้น ในเวลานั้นเฉียนปู้หลายก็มองด้วยความตกตะลึง
เขาเบิกตากว้างและค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า มองเหล็กเมฆม่วงแทบไม่กะพริบตา
ทันทีที่เขาสัมผัสด้วยมือก็หลับตาด้วยความเพลิดเพลิน
ซางเทียนซั่วเม้มริมฝีปากและส่งเสียงออกมา “ให้ตาย แกล้งทำเหรอวะ เสแสร้งจริงๆ…”
เฉียนปู้หลายเมินเฉยและมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “คุณผู้ชาย นี่คือ…เหล็กเมฆม่วงใช่ไหม”
ในเวลานี้ จู่ๆ เฉียนปู้หลายก็ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้ดีในทันที คำพูดก็ดูสุภาพขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “สายตาดีนะ ถูกต้อง นายสนใจไหม”
เฉียนปู้หลายยืดตัวและถอนหายใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสมัยนี้ฉันยังโชคดีพอที่จะได้สัมผัสเหล็กเมฆม่วง ฉันไม่อยากหลอกนาย เหล็กหายากแบบนี้ฉันไม่มั่นใจ ฉันทำไม่ได้หรอก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ไม่เลว ถ้านายไม่มั่นใจฉันก็คงไม่ให้นายทำหรอก ถ้าฉันคิดไม่ผิด ในจีนตอนนี้คงไม่มีเหล็กหายากดั้งเดิมแบบนี้มากนัก”
“มากเหรอ ฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่าในชีวิตหนึ่งถ้าได้เห็นสักชิ้นจะโชคดีมากๆ นายอยากให้สร้างอะไรล่ะ” เฉียนปู้หลายถาม
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม “นายเคยเห็นเหล็กเมฆม่วงมาก่อนหรือเปล่า”
“ไม่เคย แต่ได้ยินปู่บอกมาว่าในชีวิตเขาเคยได้สัมผัสมันแค่ครั้งเดียว เขาบอกว่าไม่มีเหล็กที่สวยงามกว่านี้อีกแล้ว ตอนนั้นมีเชฟคนหนึ่งให้เขาทำเครื่องครัวขึ้นมาชุดหนึ่ง”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่ามีก้อนหินตกลงมาในใจ ถูกแล้ว เป็นเขาจริงๆ เขาเป็นหลานชายของช่างตีเหล็กเฉียน!
“นายทำเป็นไหม”
“อะไร ทำเครื่องครัวน่ะเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า
เฉียนปู้หลายไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา แต่เริ่มคิดอย่างลึกซึ้ง
ซางเทียนซั่วกระตุกยิ้ม “อาจารย์พูดเรื่องไร้สาระอะไรกับเขาเนี่ย ถ้าเขาทำให้หินก้อนนี้เป็นเครื่องครัวได้ ผมจะกินรถคันนี้เลย!”
เฉียนปู้หลายมองซางเทียนซั่วด้วยสายตาดูถูกเล็กน้อย
ในชั่วพริบตา เขาก็พูดขึ้นว่า “ขอเวลาฉันสองสามวัน ถ้าฉันมีวิธี…นายก็ให้เขากินรถต่อหน้าฉัน!”
……………………………………………….