เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 248 ฉันไม่ขายบ้านหลังนี้
ตอนที่ 248 ฉันไม่ขายบ้านหลังนี้
ฟังจากคำพูดแล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการโก่งราคา
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “พี่ชาย บอกราคาในใจมาสิ เราจะได้เจรจากัน”
เฉียนปู้หลายได้ยินก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เงินเหรอ ฉันอยากได้มากแหละ แต่…ที่นี่คือมรดกที่ตกทอดจากบรรพบุรุษของฉัน ถ้าฉันไม่คืนหนี้ อย่างมากที่สุดก็แค่โดนพวกเขาต่อยตีไม่กี่ครั้ง พวกเขาไม่กล้าฆ่าฉันหรอก แต่ถ้าขายมรดกนี้ไป…”
ขณะที่พูด สีหน้าของเฉียนปู้หลายก็เริ่มเศร้าโศก “ชีวิตของฉันคงจะตายดีกว่ามีชีวิตอยู่ ฉันละอายใจกับบรรพบุรุษ…”
ซางเทียนซั่วส่ายหัว “พี่ชาย นายนี่โคตรสุดยอดเลยจริงๆ จนแบบนี้ยังจะมาสำนึกอะไรอีก ขายบ้านแล้วเราจะหาอีกหลังให้ ไม่อยากมีชีวิตที่ดีหรือไง”
ชายคนนั้นมองลานบ้านแล้วถอนหายใจ “มีชีวิตที่ดีเหรอ นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับคนอย่างฉัน ฉันเกิดมาขี้เกียจ สมควรอดตาย พวกนายออกไปเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วมองหน้ากันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ดูเหมือนว่าในบรรดาคนปกติ…น้อยครั้งที่จะได้เห็นคนประหลาดแบบนี้
“พี่ชาย ผมไม่เข้าใจ คุณบอกว่าขี้เกียจ…สมควรอดตายเหรอ เหอะๆ ทุกคนมีสองมือกันทั้งนั้นแล้วทำไมไม่ทำงานล่ะ ออกไปทำงานข้างนอกตอนนี้ก็หาเงินได้ อย่างน้อยก็เลี้ยงตัวเองได้”
ได้ยินที่ซ่งจื่อเซวียนพูด เฉียนปู้หลายก็ค่อยๆ หันไปมองเขา
แต่จากสายตาของเฉียนปู้หลาย ซ่งจื่อเซวียนเหมือนจะมีความรู้สึกว่า…ตนเป็นพวกที่แตกต่าง
“นั่นมันพวกนาย ไม่ใช่ฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย “เหอะๆ แล้วไม่เหมือนกันยังไงเหรอ”
“พวกนายเกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว ถูกกำหนดให้ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัว แต่ฉัน…เหอะๆ ถึงฉันจะตกอับแต่ก็มีมรดกตกทอด มาให้ฉันไปทำงานหาเงิน ดูถูกใครอยู่น่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในคำพูดนี้
ดูเหมือนว่าเฉียนปู้หลายจะไม่ง่ายอย่างที่เห็น มรดกตกทอดที่เขาพูดถึง…คืออะไร
คงจะไม่ใช่ความขี้เกียจหรอกนะ ถ้าความขี้เกียจถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น แล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร…
“เอ่อ…คุณมีมรดกเหรอ”
เฉียนปู้หลายเหลือบมองซ่งจื่อเซวียน “แน่นอนสิ”
หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาปิดหน้าอีกครั้ง
“ฉันจะงีบสักเดี๋ยว พวกนายตามสบายเลย ในบ้านฉันไม่มีของมีค่าอะไร นอกจากเศษเหล็กกับทองแดงในลานบ้าน นายจะเอาอะไรไปก็ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วต่างก็สับสน พี่ชายคนนี้…เป็นเทพเซียนจากที่ไหน ใจดีขนาดนี้เลยเหรอ
“บ้าเอ๊ย นาย…”
ซางเทียนซั่วรู้สึกไม่ชอบใจอย่างชัดเจน แต่พอเขากำลังจะเปิดปากพูด ซ่งจื่อเซวียนก็ห้ามเขา
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เดินไปรอบๆ ลานบ้าน เพราะเขาก็เข้าไปในบ้านไม่ได้ถ้าเจ้าของบ้านไม่อนุญาต
ถึงจะเป็นอย่างนั้น เมื่อซ่งจื่อเซวียนมองดูสภาพลานบ้าน เขาก็จินตนาการได้ถึงความรกในบ้าน
ไม่ต้องพูดว่าอีกฝ่ายจะไม่ขาย ต่อให้จะยอมขายแล้ว ตอนที่แม่กับพี่สาวย้ายเข้ามา เกรงว่าคงต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่สักสามถึงห้าวัน…
เดินไปถึงตรงเศษเหล็กที่เฉียนปู้หลายพูดถึง ซ่งจื่อเซวียนก็ย่อตัวลง
เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีเศษเหล็กมากมายอยู่ในลานบ้านของเฉียนปู้หลาย เมื่อก่อนเก็บเศษเหล็กเหรอ
แต่เมื่อใคร่ครวญดูก็คงไม่ใช่ เฉียนปู้หลายบอกว่าจะเอาอะไรไปก็ได้ยกเว้นเศษเหล็กและทองแดง นี่หมายความว่า…สิ่งของเหล่านี้อาจจะเป็นสมบัติของเขา
ซ่งจื่อเซวียนหยิบเครื่องมือเหล็กชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู
ผิวของเหล็กเปลี่ยนเป็นสนิมสีแดงแล้ว เมื่อสัมผัสจะมีความหยาบและทำให้นิ้วเปลี่ยนเป็นสีแดง
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น เครื่องมือเหล็กนี้…ก็ค่อนข้างประณีตเลยทีเดียว
ชั่วขณะหนึ่งซ่งจื่อเซวียนจำไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่มันงดงามมากจริงๆ
เฉียนปู้หลายคนนี้ชอบสะสมเครื่องมือเหล็กที่เป็นสนิมเหรอ เมื่อคิดแบบนี้ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่ามันไร้สาระเกินไป น่าจะไม่มีใครมีงานอดิเรกแบบนี้
ในเวลานี้ ซางเทียนซั่วก็เดินเข้ามาและหยิบมันขึ้นมาดู
แต่อาจเป็นเพราะเขาเคลื่อนไหวแรงเกินไป พอดึงเครื่องมือเหล็กชิ้นหนึ่งออกมาก็เกิดเสียงดัง เครื่องมือเหล็กชิ้นอื่นก็ร่วงตามลงมา
เฉียนปู้หลายได้ยินเสียงนั้นก็ดึงหนังสือพิมพ์ออกจากหน้า และสีหน้าสงบนิ่งของเขาก็เปลี่ยนเป็นเกลียดชัง
“เฮ้ย ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเอาอะไรไปก็ได้ยกเว้นเศษเหล็กกับทองแดงน่ะ พวกนายมาแตะต้องของของฉันทำไม”
เสียงตะโกนอย่างกะทันหันของเฉียนปู้หลายทำให้ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วตกใจ
เดิมทีภายในลานบ้านนั้นเงียบสงบ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังแบบนี้จึงไม่ทันได้เตรียมใจ
“ไอ้เวรเอ๊ยเป็นบ้าอะไรวะ ตะโกนหาพระแสงอะไร” ซางเทียนซั่วตะคอกเสียงดัง
แต่เฉียนปู้หลายไม่ยอมแพ้ เขาลุกขึ้นและเดินไปคว้าเครื่องมือเหล็กจากมือทั้งสองคน แล้วโยนมันกลับไปในกองเศษเหล็ก
“ไม่ว่ายังไงก็ห้ามแตะต้องของของฉัน”
พูดจบ เขาก็เดินกลับไปเอนตัวที่เก้าอี้
ซางเทียนซั่วอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ซ่งจื่อเซวียนห้ามเขาไว้
เขาคิดว่าเฉียนปู้หลายคนนี้น่าสนใจ แม้ว่าจะจนแต่ก็หยิ่งในศักดิ์ศรี อย่างน้อย…ต่อให้จะถูกทุบตีแต่ก็ไม่ยอมขายมรดกตกทอดของบรรพบุรุษ
เขาอาจจะโดนตีหากทำให้ซางเทียนซั่วไม่พอใจ แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องเศษเหล็กของเขาเด็ดขาด
“ช่างเถอะเทียนซั่ว ไปดูบ้านหลังอื่นที่เขาเต็มใจจะขายดีกว่า” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไอ้หมอนี่มันบ้า ยอมเลย”
ทั้งสองพูดอย่างนั้นและกำลังจะออกไป แต่ยังเดินไม่ถึงประตูก็เห็นชายสามคนผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้ามา
ทั้งสามคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด แต่ละคนโกนหัวเหลือเพียงผมหย่อมหนึ่งตรงกลาง มองแล้วดูก้าวร้าว
“เหล่าเฉียน แม่งเอ๊ย ถึงเวลาต้องใช้คืนแล้วนะรู้ไหม”
ทั้งสามคนเข้ามา มองไปยังซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่ว แต่ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาและเดินตรงไปหาเฉียนปู้หลาย
เฉียนปู้หลายได้ยินเสียงก็หยิบหนังสือพิมพ์ออกจากใบหน้าแล้วลุกขึ้นพูดว่า “อ๋อๆ พี่ลี่มาแล้ว แหะๆ วันนี้พี่เจี๋ยไม่ได้มาด้วยเหรอ”
“หยุดเพ้อเจ้อ ฉันไม่ได้มาคุยกับนาย ไปเอาเงินมา”
เฉียนปู้หลายดูลำบากใจ “เงิน…ยังเก็บไม่ครบเลย พี่ลี่ ถ้า…รออีกสองวันได้ไหม”
เพียะ…
ทันทีที่เฉียนปู้หลายพูดจบ พี่ลี่ก็ไม่สนใจและตบหน้าเขา
การตบฉาดนี้เกิดเสียงกระทบอย่างดัง หลังจากตบใบหน้าของเฉียนปู้หลายก็ทิ้งรอยแดงขนาดใหญ่ไว้บนใบหน้าทันที
“ไอ้สัต* ถ้าไม่ใช้หนี้ก็เอาหมัดไปกิน ไอ้หนู ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าหยวนแกก็ผัดมาสี่เดือนแล้ว แกคิดว่าจะมาแหย็มพี่เจี๋ยของเราได้ง่ายๆ ใช่ไหม” พี่ลี่พับแขนเสื้อแล้วพูดตะคอก
เฉียนปู้หลายตกใจมากจนรีบก้มหน้าลงและกุมหัวไว้ “ไม่ๆๆ พี่ลี่ ผมไม่มีเงินจริงๆ คุณทุบตีผมจนตายก็ไม่มีประโยชน์นะ”
“ไม่มีเงินงั้นเหรอ แม่ง ข้าให้เอ็งคืนเงิน เอ็งไม่มีเงินเนี่ยนะ…”
ในขณะที่พูด พี่ลี่ก็เหวี่ยงหมัดทีละหมัด พวกนักเลงทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างก็ลงมือทั้งเตะและต่อยตามเขาเช่นกัน เฉียนปู้หลายขดตัวอยู่บนพื้นโดยกุมหัวไว้และร้องขอความเมตตา
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วมองหน้ากัน สีหน้าของทั้งคู่ประหลาดใจมาก พี่ชายคนนี้…โดนทุบตีแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ
“อาจารย์ นี่…”
“อย่ามัวแต่ดู ลุยเลย!”
อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้ แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะใช้กำลังไม่เก่ง แต่เขาก็เรียนรู้จากฟางรุ่ยและผ่านการต่อสู้จริงมาหลายครั้ง
ถ้าจะบอกว่าเขากลัว เขาไม่กลัวการใช้กำลังอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็รีบกระโจนเข้าไปเตะพี่ลี่
พี่ลี่ที่เตะต่อยอย่างดุเดือดในตอนนี้ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีใครแอบเข้ามาโจมตี เขาจึงถูกซ่งจื่อเซวียนเตะออกไปข้างหน้า
หลังจากเซไปเซมาสองสามก้าว พี่ลี่ก็ล้มหัวคะมำไปกับพื้น
แต่พื้นนี้แข็งมาก ทันทีที่พี่ลี่หันกลับมาก็มีเลือดไหลออกมาจากจมูกและปากของเขา
ในเวลานี้ซางเทียนซั่วก็ทุบตีนักเลงคนหนึ่งโดยไม่สนใจ เพียงไม่กี่หมัดก็จัดการชายคนนั้นล้มลงไปกับพื้น
แม้ว่านักเลงคนอื่นจะรู้ตัวแล้ว แต่ซางเทียนซั่วก็ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตั้งตัวและก้าวไปล็อกคอไว้ทันที
“เวรเอ๊ย สามรุมหนึ่ง หน้าไม่อายหรือไงวะ” ซางเทียนซั่วตะโกน
พี่ลี่ย่นจมูกและพูดด้วยสีหน้าดุร้าย “เวรเอ๊ย ไอ้เด็กเหลือขอนี่มาจากไหนวะ มันบ้าไปแล้ว แม่งรนหาที่ตายเหรอวะ”
ซางเทียนซั่วได้ยินก็จ้องเขม็งไปที่พี่ลี่ เขาปล่อยชายตรงหน้าแล้วเดินเข้าไปหาพี่ลี่
การต่อสู้ก็เป็นเช่นนี้ มักจะแข่งกันที่พละกำลัง ในเวลานี้พละกำลังของซางเทียนซั่วเหนือกว่าพี่ลี่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดอย่างแน่นอน
เขาคว้าคอเสื้อของพี่ลี่ ”ไอ้สารเลว บอกข้ามาอีกรอบสิ เอ็งเป็นใครถึงได้มาเห่าหอนใส่พวกเรา”
ขณะนั้นพี่ลี่ก็งุนงง ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่มันก้าวร้าวยิ่งกว่าพวกนักเลงเสียอีก…
“ขะขะเขา…ไม่คืนหนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายล่ะ” พี่ลี่ตะโกน
พวกนักเลงอีกสองคนลุกขึ้นไม่ได้ อีกคนก็ไม่กล้าเข้ามา จึงได้แต่เฝ้าดูจากด้านข้าง
ภายในลานบ้านไม่มีใครสับสนไปกว่าเฉียนปู้หลาย
เขาแข็งทื่อไปทั้งตัวและมองซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ในใจครุ่นคิดว่านี่เป็นเทพจากไหนกันเนี่ย ทุบตีพี่ลี่เหรอ นี่ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม
เขาเป็นหนี้ แต่ในความคิดของเขาถ้าเป็นหนี้ก็สมควรโดนทุบตี ถ้าพวกพี่ลี่กลับไปบอกพี่เจี๋ยแล้วกลับมาทุบตีอีกครั้ง เขาคงต้องเป็นคนรับเคราะห์จริงๆ
มันไม่ใช่การทุบตีเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการทุบตีจนตาย…
“ติดหนี้ก็ติดหนี้ แต่นายจะลงไม้ลงมือไม่ได้สิ” ซ่งจื่อเซวียนก้าวไปข้างหน้า
“แม่งเอ๊ย กล้าดียังไง รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร” พี่ลี่เอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “นายคงติดตามพี่เจี๋ยใช่ไหม เหอะๆ กลับไปบอกพี่เจี๋ยว่าฉันซ่งจื่อเซวียนจะปกป้องเฉียนปู้หลาย ถ้าเขาไม่ยอมก็ให้เขามาหาฉัน!”
ได้ยินดังนั้น พี่ลี่ก็ครุ่นคิด “ซ่งจื่อเซวียน? ไม่เคยได้ยินเลย ให้ตาย แล้วยังจะให้มาหานาย ถ้าพี่เจี๋ยของเรามาคงทุบนายจนตายแน่!”
“เทียนซั่ว ให้พวกเขาไสหัวออกไป”
“ได้เลยอาจารย์!”
ซางเทียนซั่วจับคอเสื้อพี่ลี่แล้วลากเขาไปที่ประตูราวกับกระสอบ จากนั้นก็โยนออกไปสุดแรง
ตามมาด้วยนักเลงที่ล้มลงกับพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นได้ สุดท้ายนักเลงคนที่เหลืออยู่ก็ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ
“พี่ชาย ไม่ต้องโยน ฉันจะเดินไปเอง…”
พวกนักเลงทั้งสามจากไปแล้ว เฉียนปู้หลายจึงเอ่ยว่า “พวกนายเป็นใครกันแน่ มาสร้างความวุ่นวายที่นี่ทำไม!”
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นต่างก็ชะงัก
“ให้ตายเถอะ นี่นายบ้าหรือเปล่า เมื่อกี้นายถูกทุบตีแล้วเราช่วยนายไว้นะ” ซางเทียนซั่วพูด
“ฉันขอให้นายช่วยเหรอ ฉันเต็มใจโดนทุบตีเอง มีเรื่องอะไรพวกนายก็จะตีฉันเหมือนกันน่ะสิ มาๆๆ เข้ามาสิ!”
ขณะที่พูด เฉียนปู้หลายก็เงยหน้าขึ้น
ซางเทียนซั่วโกรธมากจนยกกำปั้นคิดจะต่อยเขา
“แม่งเอ๊ย ไอ้สารเลว…”
“เทียนซั่ว!” ซ่งจื่อเซวียนตะโกนห้ามเขา
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เฉียนปู้หลาย คุณกลัวว่า…พวกพี่เจี๋ยจะมาแก้แค้นเหรอ”
“ไร้สาระ คนที่พวกเขากลับมาตีก็คือฉัน เดี๋ยวนายก็ไปแล้วจะมาแสร้งทำเป็นฮีโร่ทำไม” เฉียนปู้หลายกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เอาอย่างนี้ ผมน่ะ…จะดูแลอาหารและที่อยู่ของคุณ ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณ ว่ายังไง”
“อะไรนะ พวกนายจะช่วยฉันใช้หนี้เหรอ”
“ใช่” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
เฉียนปู้หลายใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้ งั้นก็ได้ เราไปกันเถอะ แต่…ฉันยังไม่ขายบ้านหลังนี้นะ”
………………………………………………….