เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 246 สุนัขเปลี่ยนนิสัยไม่ได้
ตอนที่ 246 สุนัขเปลี่ยนนิสัยไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งจื่อเซวียน ลู่ลี่จวินก็วางตะเกียบลง
“เอ๊ะ เสี่ยวซ่ง ดูเหมือนอาหารมื้อนี้ของฉันจะกินเปล่าๆ ไม่ได้สินะ”
ซ่งจื่อเซวียนรีบยิ้มและกล่าว “ท่านอธิบดีลู่ อย่างที่คุณพูดว่าตอนนี้เรากำลังคุยกันในฐานะเพื่อน และไม่เกี่ยวกับการที่ผมขอความช่วยเหลือจากคุณครับ”
ลู่ลี่จวินพยักหน้า “คงทำให้นายตกใจสินะ ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเราเป็นเพื่อนกัน นายอยากถามอะไรล่ะ”
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็เล่าให้ลู่ลี่จวินฟังว่าเกิดอะไรขึ้นที่ร้านสวนซุนสยา
อันที่จริงเขาคิดเรื่องนี้มาแล้วตั้งแต่ลู่ลี่จวินโทรหาเขา
วันนี้ที่นัดหมายลู่ลี่จวินมาที่นี่ ข้อแรกก็เพื่อให้เขาสนับสนุนสวนสวินเฟิง บางทีในอนาคตอาจดึงดูดคนระดับสูงจำนวนมากในตู้เหมินได้ ส่วนข้อสองก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับร้านสวนซุนสยา
ลู่ลี่จวินครุ่นคิด “ร้านสวนซุนสยาทำแบบนี้…ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร เสี่ยวซ่ง นายมีเมนูของพวกเขาไหม”
“ผมให้คนไปถ่ายรูปได้ครับ”
ลู่ลี่จวินพยักหน้า “ถ้าเป็นอย่างนี้…พวกเขาน่าจะเข้าข่ายมีพฤติกรรมการแข่งขันแบบไม่ยุติธรรม”
“ท่านอธิบดีลู่ ผมตรวจสอบกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในอินเทอร์เน็ตแล้ว อาหารที่พวกเขาทำไม่ใช่ข้าวผัดจักรพรรดิแน่นอน มันเป็นการโฆษณาผิดๆ ที่ใช้ชื่อของข้าวผัดจักรพรรดิมาเพื่อดึงดูดลูกค้า”
“นายพูดถูก แต่ถึงจะตรวจสอบปัญหานี้แล้วมากที่สุดก็แค่สั่งให้พวกเขาแก้ไข พวกเขาคงจะเปลี่ยนชื่อแล้วขายต่อ ไม่มีทางอื่นแล้ว” ลู่ลี่จวินกล่าว
เมื่อซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเผยยิ้ม “เหอะๆ ท่านอธิบดีลู่ ถ้า…ผมให้คุณช่วยตรวจสอบเรื่องนี้จะถือว่าใช้ความสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่าครับ”
“ฮ่าๆ ไม่นับหรอก ขอแค่สิ่งที่นายพูดเป็นความจริงก็ถือว่าเป็นการร้องเรียน นี่เป็นสิทธิ์ของนายในฐานะประชาชน เรื่องนี้นายไปหาหวังเฉียงได้เลย”
“ขอบคุณมากครับท่านอธิบดีลู่ พรุ่งนี้ผมจะโทรหาผู้อำนวยการหวังครับ”
จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันสักพัก เหตุผลหลักเป็นเพราะซ่งจื่อเซวียนหวังว่าลู่ลี่จวินจะนำร้านอาหารเลิศรสอย่างสวนสวินเฟิงไปบอกต่อ
ลู่ลี่จวินก็รับปากแล้ว อย่างไรในความคิดของเขาอันดับแรกคือซ่งจื่อเซวียนเป็นนักธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ได้เปิดตัวร้านอาหารและขายอาหารที่ไม่เลว การโปรโมตให้อีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่อธิบดีอย่างเขาควรทำอยู่แล้ว
ทั้งสองคนคุยกันจนถึงสามทุ่มกว่า ลู่ลี่จวินก็รู้สึกมึนเมาจึงแยกย้ายกลับบ้าน
ซ่งจื่อเซวียนให้ซางเทียนซั่วขับรถไปส่งลู่ลี่จวินที่บ้าน แน่นอนว่าเขาก็เดินทางไปด้วย
คืนนี้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเขากับลู่ลี่จวินใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทานอาหารเย็นด้วยกันจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นซ่งจื่อเซวียนก็ติดต่อหาหวังเฉียง
เมื่อหวังเฉียงได้ยินเรื่องนี้ก็ตอบตกลงทันที โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินว่าลู่ลี่จวินไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารของซ่งจื่อเซวียนเมื่อคืนนี้ เขาก็กระตือรือร้นมากขึ้น
“น้องชาย หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว ฉันอยากให้นายเลี้ยงข้าวฉันสักมื้อ” หวังเฉียงกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มแล้วกล่าว “พี่หวัง ดูพูดเข้าสิ ผมควรจะเลี้ยงตั้งนานแล้ว เอาอย่างนี้ครับ อีกไม่กี่วันผมจะเตรียมโต๊ะในห้องส่วนตัวที่ท่านอธิบดีลู่มาทานให้พี่กับเพื่อนมาลองชิมอาหารที่ร้านของผม”
“ไม่ๆๆ ไม่ได้สิ เตรียมห้องที่เล็กกว่านี้เถอะ ฟังนะน้องชาย ทำธุรกิจต้องมีสายตากว้างไกล ห้องส่วนตัวที่ท่านอธิบดีลู่เคยใช้ต้องเก็บไว้ให้ท่านเท่านั้น”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ครุ่นคิดกับตัวเองว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ เหมือนกับหอหงเยวี่ย หวงฟาก็ใช้ห้องไฉ่อวิ๋นเฟยทุกครั้ง
โดยปกติทุกคนสามารถใช้ห้องไฉ่อวิ๋นเฟยได้ แต่หากหวงฟามาก็จะต้องเสียสละให้ก่อน
เขาพยักหน้า “พี่หวังผมจะจำไว้ครับ แล้วเรื่องนี้…ผมรบกวนพี่ได้ไหม”
“ฮ่าๆ ได้สิ ตอนบ่ายฉันจะพาคนไปดูร้านนั้นเอง”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้ววางสาย จากนั้นก็โทรหาเสี่ยเฉิงปาอีกครั้ง
“น้องชาย แกโทรมาแล้วเหรอ” เสียงเสี่ยเฉิงปาดังขึ้นทันที
“ฮ่าๆ ใช่แล้วเสี่ยปา ทางนั้นเป็นยังไงบ้างครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ทำเสร็จแล้ว น้องชายอีกครึ่งวันเราก็เริ่มเปิดได้เลย ฮ่าๆๆ ครั้งนี้ตกแต่งเสร็จแล้ว ฉันรับรองว่าแกเห็นแล้วต้องตะลึงแน่นอน!” เสี่ยเฉิงปาหัวเราะครืนใหญ่
ซ่งจื่อเซวียนยังคงหัวเราะ “ผมวางใจการทำงานของเสี่ยปา แต่…ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เสี่ยปา เกรงว่าวันนี้ผมจะต้องให้เสี่ยปามาที่นี่หน่อยครับ”
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องอีกครั้ง รวมถึงเรื่องข้าวผัดจักรพรรดิในร้านสวนซุนสยาและเรื่องที่หวังเฉียงจะนำทีมตรวจสอบอาหารไปในช่วงบ่าย
ช่วงนี้เสี่ยเฉิงปาคอยจับตาดูคลับเฮาส์หลงตู ตอนนี้เจ้าเจี้ยนผู้ดูแลคนเดิมได้กลายเป็นลูกน้องเต็มตัวของเสี่ยปาโดยสิ้นเชิง เขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับร้านอาหารร่ำรวยมากนัก
“โคตรเหง้ามันบ้าไปแล้วเรอะ มาแข่งธุรกิจกับฉัน เวรเอ๊ย ฉันว่าพวกมันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!” เสี่ยเฉิงปาตะโกนด่า
ปฏิกิริยาของเสี่ยเฉิงปาเป็นอย่างที่ซ่งจื่อเซวียนคาดไว้
อันที่จริงตอนที่เขารู้การมีอยู่ของร้านสวนซุนสยา ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออยากไปตามเสี่ยปามา เพราะอย่างไรก็ต้องพึ่งพาคนที่แข็งแกร่งอย่างเสี่ยปา
แต่พอใคร่ครวญอีกครั้ง ในเมื่ออีกฝ่ายเตรียมตัวมาแล้ว เกรงว่าคงจะมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอยู่เช่นกัน
ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงตัดสินใจเริ่มจากการจัดการของทางภาครัฐให้ร้านสวนซุนสยาปรับเปลี่ยนแก้ไข จากนั้นก็ให้คนของเสี่ยปาไปสร้างเรื่อง
แม้ว่าเบื้องหลังของอีกฝ่ายจะมีอำนาจบางอย่างอยู่ แต่จะไม่กลัวเสี่ยเฉิงปาหรือลู่ลี่จวินเลยหรือไง ไม่กลัวหน่วยงานควบคุมตลาดเหรอ
แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่รู้ว่าอำนาจนี้คือใคร แต่ก็ยังทำให้เขานึกถึงหวงฟา…
“เสี่ยปา อย่าเพิ่งใจร้อนไปครับ”
“ไม่ให้ใจร้อนเหรอ มันตัดหนทางการหาเงินของฉันแล้วไม่ให้ฉันใจร้อนเรอะ ไอ้สารเลวนี่ต้องโดนด่า ฉันจะพาคนไปเดี๋ยวนี้!”
“เดี๋ยว เสี่ยปา วันนี้ผมให้คุณมาเพื่อคุยกันไม่ใช่มาลงมือกับพวกเขาครับ!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เสี่ยเฉิงปาขมวดคิ้วเล็กน้อย “หืม น้องชาย แกหมายถึงอะไร เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน ซัดมันให้ร่วงก็จบแล้ว!”
“เหอะๆ วันนี้ทีมตรวจสอบอาหารต้องมาให้พวกเขาปรับเปลี่ยนแก้ไขแน่ครับ สองสามวันนี้พวกเขาจำเป็นต้องออกเมนูอาหารใหม่ แล้วทำไมเราต้องไปก่อเรื่องด้วยล่ะ”
“น้องชาย นี่แกหมายความว่า…”
“ปัญหาของพวกเขาคือการโฆษณาที่เป็นเท็จเพื่อชักจูงลูกค้าให้มาทานอาหาร คงจะไม่โดนโทษหนักเกินไป แต่จะแก้ไขได้ภายในไม่กี่วันแน่ๆ รอให้พวกเขาเปิดร้านแล้วเราค่อยไปก่อเรื่องกันเถอะครับ!” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“เฮ้อ น้องชาย ก่อเรื่องตอนไหนแล้วมันแตกต่างกันยังไงล่ะ”
“เหอะๆ แตกต่างแน่นอนครับ พวกเขาเพิ่งถูกตรวจสอบกันสภาพจิตใจก็ไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าเราก่อเรื่องช่วงนั้น ฝ่ายนั้นจะต้องวุ่นวายแน่ๆ”
เสี่ยเฉิงปาหยุดชะงักแล้วกล่าวต่อ “โอเค น้องชายฉันจะฟังแก ใครใช้ให้แกเก่งล่ะ ช่วงบ่ายฉันจะพาพวกเหลยจื่อไปที่นั่นแล้วมาคุยกันว่าจะเอายังไง เวรเอ๊ย ครั้งนี้จะต้องให้บทเรียนมันสักที”
ช่วงมื้อเที่ยง ร้านอาหารร่ำรวยยังเงียบฉี่เหมือนวันก่อนๆ
ลูกค้าที่รับรู้ข่าวสารอย่างถูกต้องก็ยังมาสั่งอาหารที่ร้านอาหารร่ำรวย ส่วนลูกค้าที่เหลือโดนชักจูงจากร้านสวนซุนสยาไปหมด
เมื่อเสี่ยเฉิงปามาถึงเขาก็ร้อนรนจริงๆ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ฝ่ายตรงข้ามคือไฟ ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากใช้ความรุนแรง
“แม่งเอ๊ย น่าโมโหจริงๆ เหลยจื่อไปขยี้พวกมันกับฉันเถอะ!”
“ครับเสี่ย!”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็รีบห้ามไว้ “เสี่ยปา ยังไม่ถึงเวลาครับ!”
ในขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตพฤติกรรมของโจวเผิงเช่นกัน และเห็นว่าอีกฝ่ายดูกลัวเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนแอบยิ้ม เขาต้องมีความเกี่ยวข้องกับสวนซุนสยาจริงๆ ไม่อย่างนั้นในสถานการณ์แบบนี้เขาจะกลัวทำไม
“ยังไม่ถึงเวลางั้นเหรอ นี่เราจะเจ๊งกันแล้วนะน้องชาย!” เสี่ยเฉิงปาตะโกน
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองโจวเผิง “ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ออกไปไม่ได้ครับ เดี๋ยวจะมีสิ่งที่น่าสนใจให้ดู เทียนซั่วให้เชฟในครัวออกมาให้หมด แต่ทุกคนห้ามออกจากร้านนี้แม้แต่ครึ่งก้าว!”
ในเวลานี้ดวงตาของโจวเผิงกะพริบอย่างชัดเจน สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนคิดไว้ก็แน่ใจมากยิ่งขึ้น
โจวเผิงรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนกำลังจะลงมือบางอย่าง แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรกันแน่
ตอนนี้แม้ว่าเขาอยากจะแจ้งให้ร้านสวนซุนสยารู้ก็ทำไม่ได้ เพราะซ่งจื่อเซวียนได้บอกว่าทุกคนห้ามออกจากร้านนี้แม้แต่ครึ่งก้าว
ซ่งจื่อเซวียนจุดบุหรี่แล้วยื่นให้เสี่ยเฉิงปาเพื่อให้เขาสงบสติอารมณ์ลงชั่วคราว
เนื่องจากหากไปก่อเรื่องตอนนี้แล้วทีมตรวจสอบอาหารมาถึง ร้านอาหารคงจะยุ่งวุ่นวาย ในทางกลับกันหวังเฉียงจะทำงานลำบากแทน
ในขณะนี้มีรถตรวจสอบสีขาวสองคันจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนหน้าร้านสวนซุนสยา
ตอนนี้เป็นเวลาสำหรับรายได้ช่วงมื้อเที่ยงพอดี หวังเฉียงเลือกเวลาได้ดีและจัดการอีกฝ่ายอย่างหนัก
โจวเผิงตะลึงเมื่อเห็นคนในชุดเครื่องแบบหลายคนจากทีมตรวจสอบอาหารเดินเข้ามา จิตใต้สำนึกของเขาบอกให้หาที่โทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว แต่เขายังไม่ทันได้ขยับตัว ซ่งจื่อเซวียนก็เอ่ยขึ้นมา
“โจวเผิง เป็นอะไร เป็นการแสดงที่ดีเลยนะแล้วคุณจะไปไหนล่ะ”
“เอ่อ นายท่านรอง ผม…ผมปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ”
เพราะตัวตนของโจวเผิงคือเถ้าแก่ร้านสวนซุนสยา และเขาดึงเฮ่อเหยียนข่ายให้เข้ามาลงทุน หากเขาไม่ได้อยู่ที่ร้านในเวลานี้ ร้านสวนซุนสยาคงจะยุ่งวุ่นวาย
“เหอะๆ ทนอีกสักพักเถอะ ดูจบแล้วค่อยไป ร้านของเราเงียบฉี่มาหลายวันแล้ว คุณไม่ดีใจเหรอที่เห็นทีมตรวจสอบอาหารไปที่ร้านสวนซุนสยา”
โจวเผิงยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ก็…ดีใจ เหอะๆ ดีใจอยู่แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนกลั้นหัวเราะและคิดว่า ‘ในใจนายดีใจเหรอ นายคงเลิ่กลั่กไปหมดเลยล่ะสิ’
ในไม่ช้า พวกเขาก็เห็นลูกค้าจำนวนหนึ่งเดินออกมาจากร้านสวนซุนสยาด้วยสีหน้าไม่พอใจมากอย่างชัดเจน
“ฮ่าๆ ลูกค้าออกไปหมดแล้ว สมน้ำหน้า พวกเขาคงจะเหลืออดเหลือทนแล้ว” ซางเทียนซั่วพูดปนยิ้ม
เสี่ยเฉิงปาเปล่งเสียงอย่างเย็นชา “หึ พวกมันเสียเปรียบแล้ว ไอ้สารเลว อย่าให้รู้นะว่าใครเปิดร้าน ข้าจะจัดการให้สิ้นซากเลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โจวเผิงก็เนื้อตัวสั่นเทา อย่างไรเขาก็ไม่ควรไปล่วงเกินวงการใต้ดิน…
ผ่านไปประมาณสิบนาที พวกหวังเฉียงก็เดินออกมาจากร้านสวนซุนสยา พนักงานบางคนยังถือกระเป๋าหลายใบอยู่ในมือ
ซ่งจื่อเซวียนรู้จักกระเป๋าใบนี้ นั่นคือสิ่งของที่ทีมตรวจสอบอาหารต้องการนำกลับไปตรวจสอบ ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม หวังเฉียงยังพูดบางอย่างไว้ด้วยสินะ
ติงเฉิงส่งทีมตรวจสอบอาหารออกจากร้านด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเจอการชี้แจงของหวังเฉียง เขาก้มหน้างุดและพยักหน้าไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
เมื่อเห็นภาพนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่โจวเผิง “เหอะๆ โจวเผิง คุณไปเข้าห้องน้ำเถอะ การแสดงจบลงแล้ว”
“อ๋อๆ ครับ นายท่านรอง…”
จากนั้นโจวเผิงก็ไปเข้าห้องน้ำ
ในไม่ช้า ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นติงเฉิงรับสายโทรศัพท์ เขาจึงมั่นใจจุดประสงค์ที่โจวเผิงมาที่ร้านอาหารร่ำรวยในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์
เหอะๆ โจวเผิง นายเป็นสุนัขที่เปลี่ยนนิสัยไม่ได้จริงๆ…
…………………………………………