เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 244 บดขยี้พวกเขา
ตอนที่ 244 บดขยี้พวกเขา
ซ่งอีหนานรู้สึกสนใจแล้ว “เรื่องใหญ่เหรอ หือ เรื่องใหญ่อะไร”
เห็นท่าทางของซ่งอีหนาน ซ่งจื่อเซวียนก็ค่อนข้างสบายใจ เห็นได้ชัดว่าพี่สาวเข้าสู่บทบาทการเป็นผู้บริหารบริษัทแล้ว
ถ้าเธอนั่งที่ตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง ตนก็เบาใจ ถึงอย่างไรวิ่งทั้งบริษัททั้งร้านอาหาร เขารับมือได้ยากจริงๆ
“ก่อนหน้านี้หย่าฉีเสนอความเห็นอย่างหนึ่งให้ผมฟัง ผมพิจารณามาตลอด ไปตงไห่มาคราวนี้ผมก็คิดตกแล้ว ผมอยากจะสร้างโรงงาน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“โรงงาน?”
“ใช่ เป็นโรงงานผลิตและแปรรูปอาหารน่ะ ขนาดช่วงแรกๆ ไม่ต้องใหญ่มากหรอก ขอแค่เหมือนกับห้องปฏิบัติการ ที่มีการรักษาความลับกับระบบล็อกอยู่ในขั้นสูงก็พอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซ่งอีหนานคิดๆ “ทำได้ไม่ยากนะ ด้วยที่ดินที่เรามีอยู่ในมือตอนนี้ ไม่นานก็สร้างได้ที่หนึ่งแหละ แต่ว่าอนาคตนายจะทำใหญ่แค่ไหนล่ะ”
“ยังไม่ได้พิจารณาระยะยาวน่ะ อาคารสำนักงานที่ไหนเหมาะจะทำงานนี่บ้างเหรอ”
“ถ้าไม่ต้องการทำเลดีๆ…อาคารสำนักงานจินหมิงก็ไม่เลวนะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงัก อาคารสำนักงานจินหมิงเหรอ ไม่ใช่ที่ที่เขาจัดการเฮ่อเหยียนข่ายจนพิการหรือไง
แถมอาคารสำนักงานจินหมิงก่อนหน้านี้นับว่าทำเลดีมาก แต่เนื่องจากนโยบายสองสามปีมานี้ อาคารสำนักงานแห่งนั้นจึงเงียบเหงามาก คิดๆ แล้วเรื่องค่าเช่าก็คงถูกมากแน่
“เหอะๆ มีวาสนากันแล้ว งั้นก็อาคารสำนักงานจินหมิงแล้วกัน ค่าเช่าที่นั่นราคาดีแบบเห็นได้ชัดๆ เลยใช่ไหม”
“ชัดเจนมากเลยแหละ เทียบกับบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์เฟิงอวี่ ค่าเช่าต่อปีประมาณหนึ่งล้านสองแสนหยวน นี่ยังไม่นับที่บางทีมีการเช่าบางแห่งชั่วคราวด้วยนะ ถ้าเป็นอาคารสำนักงานจินหมิง…น่าจะลดไปได้แปดแสนเก้าแสน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “พี่ เรื่องพวกนี้พี่เคยตรวจสอบไปหมดแล้วเหรอ”
“ใช่ สองสามวันนี้ฉันมีแผนด้านนี้พอดี อยากให้บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ย้ายสำนักงานน่ะ ถึงยังไงสำหรับบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ ด้านทำเลก็ไม่ได้สำคัญเท่าไร” ซ่งอีหนานพูด
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ก็ได้นะ ถึงยังไงกำไรกับต้นทุนก็สัมพันธ์กันมาก การประหยัดต้นทุนก็เท่ากับได้เพิ่มกำไร ยังราบรื่นอยู่หรือเปล่า”
“เรื่องนี้…ตอนนี้การดำเนินการของทางบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ช้ามาก ถึงยังไงหลายๆ อย่างนายก็เป็นคนดูแลโดยตรง จั่วอู่ก็เป็นผู้นำไม่ไหว” ซ่งอีหนานพูด
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมา “พี่ก็นะ บ่นผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
ซ่งอีหนานเม้มปากยิ้มพูด “อะไรเล่า นายเป็นเถ้าแก่ ฉันจะไปบ่นอะไร”
“ฮ่าๆ เอาล่ะ นี่คือการที่พี่มาหาอำนาจจากผมนะ พี่ ผมให้พี่นั่งตำแหน่งนี้ ก็เพราะจะให้พี่เป็นเถ้าแก่ของบริษัทชิงอวี่
“นี่นายจะให้พี่เหนื่อยจนตายเลยหรือไง ตอนนี้ฉันก็ยุ่งสุดๆ แล้วเนี่ย
“เหอะๆ ธุรกิจของพ่อ มันเป็นหน้าที่ของพี่นะ เอาอย่างนี้แล้วกันนะ ถ้าบริษัทไม่ได้มีปัญหาใหญ่ยากจะจัดการ พี่ก็จัดการด้วยอำนาจทั้งหมดได้เลย โอเคไหม”
ซ่งอีหนานครุ่นคิด “อย่างนั้นก็ได้ ส่วนทางบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ฉันจะส่งเอกสารให้โดยเร็วที่สุด ว่าแต่ห้องปฏิบัติการของนายเป็นยังไง ต้องย้ายบริษัทด้วยหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ด้วยแหละ พี่ช่วยผมหาเครื่องซีลรุ่นใหม่หน่อยนะ เอาแบบประสิทธิภาพสูงๆ น่ะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานคิดอยู่หนึ่ง พูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าประเทศเยอรมันมีอยู่ตัวหนึ่ง เข้าหนึ่งช่อง ออกแปดช่อง เร็วสุดสามารถซีลได้พร้อมกันแปดชิ้น แถมความเร็วอยู่ที่ห้าวินาทีต่อหนึ่งช่อง”
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ ถ้าแบบนี้ ห้าวินาทีแปดชิ้น หนึ่งนาทีก็จะเป็นร้อยกว่าชิ้น…
ความถี่นี้เพียงพออย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นอย่าพูดถึงเลยว่ามีคนจับจ้องร้านอาหารร่ำรวย ถือว่าหมดปัญหาเรื่องความเร็วในการผลิตจำนวนมากแล้ว
“โอเค พี่ เอาอันนี้แหละ ช่วยหาให้ผมสักเครื่องนะ”
ซ่งอีหนานเยาะเย้ย “นายนี่นะ บอกว่าฉันเป็นเถ้าแก่ ที่จริงก็ให้ฉันเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนายนั่นแหละ!”
“เอาน่า ผมไม่ให้พี่เป็นแล้วจะให้ใครเป็นเล่า”
พูดจบ สองพี่น้องก็หัวเราะออกมา
เช้าวันถัดมา เรื่องแรกที่ซ่งจื่อเซวียนทำหลังจากมาถึงร้านอาหารร่ำรวยก็คือมองป้ายโฆษณาหน้าประตูสวนชุนสยา
เห็นว่าข้าวผัดจักรพรรดิยังคงราคาไว้ที่จานละห้าร้อยหยวน เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หรือว่าฉันคิดผิด โจวเผิง…ไม่เกี่ยวข้องกับสวนชุนสยานี่
“เทียนซั่ว วันนี้นายคอยดูแลร้านนะ รุ่ยจื่อ เดี๋ยวจะเที่ยงแล้ว เราสองคนไปกินข้าวที่สวนชุนสยากัน”
“ครับนายท่านรอง!”
“อาจารย์หมายความว่ายังไงเนี่ย จะตรวจสอบสถานการณ์ศัตรูหรือไง” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ตรวจสอบสถานการณ์ภายในก่อนเถอะ”
“สถานการณ์ภายใน…”
“เหอะๆ เทียนซั่ว ฉันกับรุ่ยจื่อจะรออยู่ในรถนะ ตอนที่นายเข้าไป ก็บอกพวกโจวเผิงกับหยางกังว่าวันนี้ฉันจะไปสวนชุนสยา!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“บอกพวกเขาเหรอ”
“อืม นายทำตามที่ฉันพูดนี่แหละ”
ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยก็รออยู่ในรถตามที่บอก จนสวนชุนสยาเปิดร้าน พวกเขาก็ไม่ได้รีบเข้าไป
ซ่งจื่อเซวียนคิดจะรอให้คนเยอะๆ ก่อนแล้วค่อยเข้าไป จะได้ไม่สะดุดตาเกินไป
เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าโจวเผิงมีปัญหาก็ต้องแจ้งทางสวนชุนสยา วันนี้จะต้องมีเหตุการณ์ผิดปกติแน่นอน
เห็นนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเที่ยงครึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็พูดว่า “รุ่ยจื่อ ไปกัน เราเข้าไปเถอะ แต่ทยอยเข้าไปนะ ไม่ต้องนั่งด้วยกัน”
“ครับนายท่านรอง”
ทันทีที่เข้าไปในสวนชุนสยา ก็มีพนักงานเข้ามาทักทาย
ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยนั่งลง เมื่อมองเมนูอาหาร เขาก็เข้าใจแล้ว
ราคาอาหารของสวนชุนสยาและร้านอาหารร่ำรวยเหมือนกันหมด แต่มีแค่เมนูเดียวที่ไม่เหมือนก็คือข้าวผัดจักรพรรดิที่มีราคาจานละห้าร้อยหยวน
ร้านอาหารร่ำรวยพึ่งพาข้าวผัดจักรพรรดิตั้งตัว หรือก็คือข้าวผัดจักรพรรดิเป็นตัวตัดสินอัตราการไหลเวียนของลูกค้า
สวนชุนสยาก็เช่นกัน ตอนนี้ลดราคาข้าวผัดจักรพรรดิ ที่จริงต่อให้ราคาอาหารแพง ลูกค้ากลุ่มนี้ก็ยังกลับมาเหมือนเดิม
แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาต้องการชิมข้าวผัดจักรพรรดิของร้านนี้ด้วยตนเอง
ซ่งจื่อเซวียนสั่งข้าวผัดจักรพรรดิมาหนึ่งที่ และสั่งออเดิร์ฟมาสองที่ประปราย
อีกด้าน ฟางรุ่ยก็เช่นกัน เขารอข้าวผัดจักรพรรดิมาเสิร์ฟ
ตอนที่รออาหาร ซ่งจื่อเซวียนก็หันหน้ามองซ้ายขวาเป็นครั้งคราว ลูกค้าส่วนมากเป็นหน้าเก่าทั้งหมด คนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็สั่งข้าวผัดจักรพรรดิกัน
การลดราคาสี่ร้อยหยวนสำหรับพวกเขาแล้วเป็นโปรโมชั่นที่ไม่น้อยเลยจริงๆ
ขณะเดียวกัน ซ่งจื่อเซวียนก็พบปัญหาอย่างหนึ่ง ถ้าบอกว่าข้าวผัดของร้านนี้เหมือนที่ท่านเป้ยเล่อผัด ถึงกลิ่นจะใกล้เคียง แต่ก็ไม่ใช่ข้าวผัดจักรพรรดิที่แท้จริง
อย่างนั้นก็อธิบายได้ว่า ที่จริงสำหรับร้านอาหารธรรมดา ต่อให้คุณภาพของข้าวผัดจักรพรรดิลดลง ก็ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อปริมาณการขาย
ถ้าจุดนี้พิสูจน์ได้แล้ว ความจริงก็ถือว่าเริ่มการผลิตจำนวนมากได้แล้ว
ที่ข้างๆ เคาน์เตอร์บาร์สวนชุนสยามีชายสวมชุดสูทยืนอยู่คนหนึ่ง เป็นติงเฉิงผู้จัดการร้านอาหารสวนชุนสยานั่นเอง
ติงเฉิงกำลังยุ่งอยู่กับการจดออร์เดอร์ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ผู้จัดการติง ซ่งจื่อเซวียนไปที่ร้านแล้ว”
“หืม ประธานโจว คนไหนเหรอ ผมต้องคอยดูเขาไหม” ติงเฉิงถาม
โจวเผิงยิ้ม “ไม่ต้อง วันนี้เขาต้องไปสั่งข้าวผัดจักรพรรดิแน่ แกก็ทำข้าวผัดธรรมดาให้เขาสักที่ เด็กหนุ่มคนที่สวมเสื้อคลุมสีเทาโต๊ะนั้นไง”
ติงเฉิงมองไปรอบๆ ในที่สุดสายตาก็หยุดอยู่ที่ซ่งจื่อเซวียน
“เอ่อ…จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหมครับ ประธานโจว ถ้าคนคนนี้ก่อเรื่องขึ้นมา บอกว่าข้าวผัดจักรพรรดิมีปัญหา จะทำยังไงล่ะครับ” ติงเฉิงถาม
“เหอะๆ วางใจเถอะ เขาไม่มีทางทำหรอก วันนี้เขาไปลองชิมความแตกต่างของข้าวผัดจักรพรรดิสองร้าน เราก็เอาข้าวผัดธรรมดาไปก่อกวนเขาก่อน เขาจะต้องประมาทศัตรูแน่ๆ”
“เข้าใจแล้วครับประธานโจว เดี๋ยวผมไปจัดการก่อน”
วางสาย ติงเฉิงก็ไปเปลี่ยนข้อมูลออร์เดอร์ในคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนออร์เดอร์ข้าวผัดจักรพรรดิโต๊ะซ่งจื่อเซวียนเป็นข้าวผัดไข่ธรรมดา
ครู่เดียว ข้าวผัดและออเดิร์ฟสองอย่างก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
ซ่งจื่อเซวียนมองข้าวผัดตรงหน้า เพียงดมกลิ่นเล็กน้อยก็เข้าใจทั้งหมด
เขายิ้ม “ดูท่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าฉันมาแล้วสินะ”
เขากล้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายจงใจเสิร์ฟข้าวผัดไข่ให้เขา แบบนี้ถึงจะทำให้เขาคิดว่าข้าวผัดจักรพรรดิของสวนชุนสยานั้นแย่มาก
แต่มองที่ลูกค้าซ้ายขวากินกันกลิ่นหอมเสียขนาดนี้ จะเป็นข้าวผัดธรรมดาไปได้อย่างไร
จากนั้น เขาก็มองโต๊ะรุ่ยจื่อ ไม่ได้รีบร้อนเดินไป แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหารุ่ยจื่อว่า
‘ห่อกลับ’
รุ่ยจื่อมองโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้ซ่งจื่อเซวียนทันที
ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้แสดงออกอะไรอีก ค่อยๆ กินข้าวผัดและอาหารออเดิร์ฟสองสามคำ
เขาลำบากมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่มีทางรู้สึกว่ากินอาหารตรงหน้าไม่ลง
หลังจากนั้นเขาก็แทบจะกินจนเกลี้ยงจาน แล้วจ่ายเงินเดินออกไปจากสวนชุนสยา
ติงเฉิงเห็นซ่งจื่อเซวียนจากไป ก็อดสูดลมหายใจไม่ได้
“เขา…ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยเหรอ”
จากนั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์โทรหาโจวเผิง
“เป็นไงบ้าง เขากินหรือยัง”
“กินแล้วครับประธานโจว ก็อย่างที่คุณพูด เขาไม่ได้พูดอะไรก็ออกไปเลย แต่…ผมรู้สึกว่าค่อนข้างผิดปกติ อย่างน้อยเขาก็น่าจะออกความเห็นหน่อยหรือเปล่าครับ จ่ายเงินตั้งห้าร้อยกินข้าวผัดไข่เนี่ยนะ”
โจวเผิงหัวเราะ “เหอะๆ ออกความเห็นเหรอ ที่เขามาก็เพราะว่าจะหาข้อมูลของศัตรู แน่นอนว่าเราบอกสถานการณ์ข้าศึกกับเขาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เอาล่ะ เรื่องที่เหลือก็ทำตามขั้นตอนไปนั่นแหละ”
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากวางสาย โจวเผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จู่ๆ ก็พบว่า…เหมือนตนเองจะประมาทไปเรื่องหนึ่ง
ทำไมซ่งจื่อเซวียนถึงออกจากร้านได้ง่ายดายขนาดนี้
อีกทั้งถึงจะเสิร์ฟข้าวผัดไข่ให้เขา เขาเห็นที่คนอื่นกินก็ยังปกติดีอยู่ จะต้องรู้ว่านี่เป็นกับดักที่สวนชุนสยาจงใจวางเขาแน่ๆ
แต่ในขณะที่เป็นแบบนี้ เขาก็จงใจแสดงท่าทีออกมาว่าไม่มีปัญหาเหรอ ตกลงเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…
โจวเผิงถอนหายใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็ยังไม่สงสัยมาถึงตัวเขา
ขอแค่ตนเองไม่โป๊ะ ก็รู้เขารู้เราได้ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!
เดินออกจากสวนชุนสยา ซ่งจื่อเซวียนก็ขึ้นรถ ตอนนี้เองฟางรุ่ยก็รอเขาอยู่ในรถแล้ว
“กินหรือยัง รุ่ยจื่อ”
“กินไปสองคำครับ คุณให้ผมห่อกลับ ผมก็ออกมาเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หยิบข้าวผัดที่ห่อกลับมาชิมคำหนึ่งทันที อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
“เป็นยังไงบ้างครับ นายท่านรอง รสชาติแบบนี้ถูกหรือเปล่า”
“เหอะๆ จานนี้ถูก โอเคละ นายกินเถอะรุ่ยจื่อ”
“หา? นายท่านรองไม่กินแล้วเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ฉันกินอิ่มแล้ว นายรีบกินเถอะ กินเสร็จเราไปสวนสวินเฟิงกัน”
ฟางรุ่ยไม่รู้ว่าซ่งจื่อเซวียนหมายความว่าอย่างไร ก็ทำตามที่โดนสั่ง เพราะเมื่อครู่ก็ไม่ได้กินจนอิ่ม ไม่นานนักก็กินเกลี้ยงกล่อง
“นายท่านรอง ข้าวผัดนี่หอมจริงๆ นะครับ เหมือนกับที่คุณทำหรือเปล่า”
“เหอะๆ จะเหมือนไม่เหมือนก็ช่างเถอะ ภายในสองสามวันนี้แหละ เราจะบดขยี้พวกเขา!”
…………………………………………….