เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 243 คุยเรื่องใหญ่
ตอนที่ 243 คุยเรื่องใหญ่
“อาจารย์ ตอนนี้เราจะทำยังไงดี รายได้เมื่อวานยังนับว่าดีอยู่ ลูกค้าเก่าๆ หลายคนยังมากิน แต่วันนี้…”
ซางเทียนซั่วพูดพลางถอนหายใจ “วันนี้เราไม่มีสักคน มีมาแค่สองโต๊ะตอนเที่ยง ห่อกลับอีกหนึ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า พูดว่า “เหอะๆ อีกฝ่ายฉลาดมากจริงๆ นี่คือการใช้เราช่วยโปรโมต”
หูเจิ้นชะงัก “หืม นายท่านรอง ใช้พวกเราเหรอ เราช่วยโปรโมตให้เขายังไงล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เดินเข้าไปในร้านแล้วนั่งลง
“คราวก่อนพวกอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายมาโปรโมตให้เรา ให้ร้านอาหารร่ำรวยโด่งดังสุดๆ ตอนนี้เขาอยู่ด้านหน้าเรา ไม่ใช่ว่ามีแหล่งลูกค้าโดยตรงเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
พวกเขาพยักหน้า
โจวเผิงพูดว่า “นายท่านรอง แต่ว่าทางนั้นก็มีข้าวผัดจักรพรรดินะ แถมเมื่อวานพวกเขายังแปะประกาศด้วยว่าช่วงเปิดร้านข้าวผัดที่ละห้าร้อย”
“แม่ง นั่นก็แค่ช่วงเปิดร้าน รอผ่านช่วงนี้ไป ดูซิว่าพวกเขาจะขายได้เท่าไร”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้ายิ้ม “ผ่านไปแล้วพวกเขาก็น่าจะไม่เพิ่มราคานะ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้อยู่แก่ใจ เดิมทีกำไรของข้าวผัดจักรพรรดิมาจากต้นทุนน้อยแต่กำไรมหาศาล ต่อให้ขายห้าร้อยหยวน พวกเขาก็มีกำไรที่สูงมากเหมือนกัน
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ…ข้าวผัดจักรพรรดิของอีกฝ่ายเป็นของเลียนแบบแน่นอน
“หือ เพราะอะไรเหรอครับ พวกเขากดราคาเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายิ้ม “เป็นแบบนั้นแน่นอน เป้าหมายที่อีกฝ่ายเปิดร้านที่นี่ง่ายมาก หนึ่ง ใช้พวกเราช่วยโปรโมต สองก็คือ…ทำให้พวกเราล้ม”
ได้ยินประโยคนี้ ทุกคนก็อึ้งทันที ต่างสบตากัน
ซ่งจื่อเซวียนพูด “เอาล่ะ วันนี้ทุกคนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ามาทำงานตามปกตินะ”
“อาจารย์ ตอนนี้ถือว่าศัตรูใหญ่มาอยู่หน้าประตูแล้วนี่ ทำไมถึงให้ทุกคนพักผ่อนล่ะ” หลิงเข่อเอ๋อร์ข้างๆ พูดขึ้น
ถึงเพิ่งจะเข้าร้านมา แต่หลิงเข่อเอ๋อร์ก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ สภาวะวิกฤตมาถึงร้านอาหารร่ำรวยแล้วจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ตอนนี้ฝั่งนั้นได้เปรียบอย่างชัดเจน ทำไมเราไม่พักผ่อนล่ะ พักเถอะ ทุกคน เจอกันพรุ่งนี้ ไปเถอะ!”
พวกพนักงานสบตากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อเถ้าแก่พูดแล้ว พวกเขาก็ทำได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแยกย้าย
โจวเผิงขยับเข้าใกล้ซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “นายท่านรองมีวิธีแล้วใช่ไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก มองโจวเผิงทันที “เหอะๆ ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ล่ะ”
“ผม…ไม่ได้คิดอะไร หลักๆ คือเห็นนายท่านรองเหมือนมีแผนอยู่ในใจ ให้ทุกคนเลิกงานกันหมด น่าจะมีหนทางแล้วหรือเปล่า” โจวเผิงพูด
ซ่งจื่อเซวียนมองโจวเผิง ในใจกลับคิดอีกเรื่อง
ตอนนั้นเจิ้งฮุยบอกกับตนว่า โจวเผิงเก็บเงินลงทุนเปิดร้านอาหารได้แล้ว อีกทั้งเชิญชวนให้เจิ้งฮุยไปทำด้วย
แต่ก่อนหน้านี้โจวเผิงกลับมาสมัครงานที่ร้านอาหารร่ำรวย…ทำให้ทางเขาแอบสงสัยและระมัดระวัง
ถ้าบอกว่า…โจวเผิงมาที่นี่ก็เพื่อสืบอย่างรู้เขารู้เรา เช่นนั้นสวนชุนสยาฝั่งตรงข้ามก็ย่อมมีความมั่นใจว่าจะชนะ
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม “มีวิธีอะไรได้ล่ะ ทำได้แค่ลดราคาลงแหละครับ เริ่มพรุ่งนี้ ตั้งราคาข้าวผัดจักรพรรดิที่สี่ร้อยห้าสิบหยวน ผมจะดูพวกเขาจะยังสู้กับเรายังไง!”
โจวเผิงพยักหน้า “ใช่ ตอนนี้ทำได้แค่แข่งกันเรื่องราคาแล้ว นายท่านรอง ประโยคนี้ของนายท่านยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ซ่งจื่อเซวียนแอบยิ้ม ถ้าพรุ่งนี้เช้าสวนชุนสยาตั้งราคาต่ำกว่าสี่ร้อยห้าสิบหยวน อย่างนั้นโจวเผิงก็คือหนอนบ่อนไส้ของพวกเขาแน่นอน
หรือพูดอีกอย่างว่าโจวเผิงก็คือคนที่อยู่ในระดับเถ้าแก่ของร้านสวนชุนสยา หนอนบ่อนไส้แบบนี้…อันที่จริงคือเขาเต็มใจมาเป็นเองด้วยซ้ำ
ส่วนคำตอบ แน่นอนว่าค่อยเปิดโปงพรุ่งนี้
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้รีบร้อน เขาทำตามแผนที่วางไว้ ปิดร้าน พาซางเทียนซั่ว ฟางรุ่ยและหลิงเข่อเอ๋อร์จากไป
ตรงริมถนน เมื่อเห็นพวกซ่งจื่อเซวียนจากไปแล้ว โจวเผิงก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น สูบบุหรี่ในมือรอบสุดท้ายแล้วโยนลงพื้น
หยิบโทรศัพท์โทรหาเบอร์หนึ่งทันที
“ประธานโจว ผมเห็นคุณที่หน้าร้านแล้ว ทำไมไม่เข้ามาคุยล่ะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังลอดออกมา
“ไม่ต้องหรอก ช่วงนี้ ฉันจะเลี่ยงไม่ติดต่ออะไรกับพวกแก แกฟังนะ ซ่งจื่อเซวียนกลับมาแล้ว”
“หืม เร็วขนาดนี้เชียว พวกเขามีท่าทียังไงบ้าง”
โจวเผิงยิ้ม “พรุ่งนี้พวกเขาวางแผนว่าจะลดราคาข้าวผัดจักรพรรดิลงเหลือสี่ร้อยห้าสิบหยวน”
“เข้าใจแล้ว ทางเราก็ลดได้เหมือนกัน สี่ร้อยเป็นไง” ชายคนนั้นพูด
“เหอะๆ ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ก็ได้ ตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะกำลังหยั่งเชิงฉัน ถ้าเขาเห็นว่าพรุ่งนี้เช้าเราก็ลดราคาเหลือสี่ร้อย ทางฉันก็ทำงานต่อไม่ได้แล้ว” โจวเผิงพูด
ชายคนนั้นตอบรับเสียงหนึ่ง “เข้าใจแล้ว ประธานโจวคิดมากจัง งั้นเรารอพวกเขาลดราคาเมื่อไรแล้วค่อยลดตามใช่ไหม”
“ใช่ พรุ่งนี้แกคอยสังเกตทางนี้เอานะ จริงสิ ฝีมือของหลี่เหยียนนั่นเป็นอย่างที่แกพูดหรือเปล่า” โจวเผิงถามยิ้มๆ
“ถูกแล้วประธานโจว ฝีมือของหัวหน้าเชฟหลี่นับว่าขั้นเทพ สองวันนี้เสิร์ฟอาหารธรรมดาได้เร็วมาก ข้าวผัดจักรพรรดิก็เหมือนกัน ต่อให้มีลูกค้าสั่งอาหารแกะสลักจานธรรมดา เขาก็ทำเสร็จภายในครึ่งชั่วโมง”
ได้ยินประโยคนี้ โจวเผิงก็ยิ้มอย่างพอใจ “อย่างนั้นก็ดี แกจำไว้นะ ทุกอย่างต้องให้หลี่เหยียนเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งรวมถึงแกที่เป็นผู้จัดการร้านอาหารนี้ด้วย เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับประธานโจว!”
วางสายเรียบร้อย โจวเผิงก็มองป้ายร้านอาหารร่ำรวย “เหอะๆ ซ่งจื่อเซวียน ร้านนี้…แกทำต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”
…………………………
บนรถ เป็นเพราะไม่ได้เจอกันสามวัน ซางเทียนซั่วจึงคุยกับทั้งสามคนไม่จบไม่สิ้น และรู้ว่าหลิงเข่อเอ๋อร์คารวะซ่งจื่อเซวียนเป็นอาจารย์แล้วเช่นกัน
“อาจารย์ งั้นหลังจากนี้เข่อเอ๋อร์ก็เป็นศิษย์น้องหญิงของผมแล้วดิ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่”
“เฮ้อ นี่…เธอกำลังถ่วงไม่ให้ฉันจีบเธอใช่ไหมเนี่ย” ซางเทียนซั่วพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ซ่งจื่อเซวียนชำเลืองมองเขา “ถ่วงงั้นเหรอ นายออกจากสำนักไปก็ได้แล้วนี่”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ หลิงเข่อเอ๋อร์กับฟางรุ่ยก็หัวเราะออกมา
ซางเทียนซั่วอึกอัก “เอ้อ…ไม่จีบก็ไม่จีบ ปล่อยความรู้สึกระหว่างหนุ่มสาวไป รักษากฎของสำนักก่อนดีกว่า…”
“อาจารย์ ตอนนี้เราจะไปไหนกันเหรอคะ” หลิงเข่อเอ๋อร์ถาม
“ตอนนี้…ฉันจะไปบริษัทน่ะ เดี๋ยวพวกนายจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ เข่อเอ๋อร์ คืนนี้เธอก็พักที่โรงแรมแถวบ้านฉันแล้วกัน สองสามวันนี้ฉันคิดว่าจะหาดูบ้านสักหน่อย ถึงตอนนั้นเธอก็มาอยู่ที่บ้านอาจารย์ได้” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆ ดีจัง ไม่มีปัญหาค่ะ ที่จริงฉันก็ไม่ชอบอยู่โรงแรม แต่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าจะอยู่ตู้เหมินได้นานแค่ไหน เลยไม่ได้เช่าที่พักไว้”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ช่วงนี้ฉันสนใจบ้านชั้นเดียวอยู่ ถ้าหาบ้านที่ลานกว้างๆ สักหน่อยได้คงดี”
“บ้านชั้นเดียวเหรอ อาจารย์ ที่จริงผมพอรู้จักอยู่บ้าง อาจารย์อยากได้แบบไหนล่ะ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ทำเลยังไงก็ได้ มีลานบ้านกว้างๆ มีหลายๆ ห้องก็พอ”
“เมื่อก่อนพ่อผมอยากทำโรงแรมที่ตู้เหมิน เลยได้คุยกับภาครัฐเกี่ยวกับที่ผืนหนึ่ง พอผู้อยู่อาศัยพวกนั้นได้ยินว่าต้องรื้อถอนก็ดีใจแทบตาย แต่หลังจากนั้นเพราะเหตุผลบางอย่างถึงไม่ได้ทำ เพราะงั้นที่ตรงนั้นก็เลยยังไม่ได้รื้อถอน เดี๋ยวผมลองถามให้” ซางเทียนซั่วพูด
“อย่างนั้นก็ดี หลักๆ คือแม่ฉันอายุมากแล้ว ชินกับการอยู่บ้านชั้นเดียวน่ะ”
“โอเคอาจารย์ วางใจผมได้เลย!”
ไม่นานนัก รถก็มาถึงบริษัทชิงอวี่
ซ่งจื่อเซวียนให้พวกซางเทียนซั่วรอที่ห้องประชุม ส่วนเขาตรงไปที่ห้องทำงานของซ่งอีหนาน
ตอนนี้ซ่งอีหนานกำลังรับแขกอยู่ พอเห็นซ่งจื่อเซวียนมา เธอก็ลุกขึ้นทันที “จื่อเซวียน นายกลับมาแล้วเหรอ”
“ใช่แล้วพี่ มารับพี่หลังเลิกงานน่ะ หลายวันมานี้เป็นยังไงบ้าง ปรับตัวได้ยัง”
“นายยังจะพูดอีกนะ ฉันยุ่งแทบตาย” ซ่งอีหนานพูดพลางมองคนสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟา “จื่อเซวียน สองท่านนี้คือคุณเฉินและคุณจางจากตงไห่ คราวนี้พวกเขามาคุยเรื่องการขยายตลาดน่ะ หวังจะได้ร่วมมือกับเรา”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ตรงไปนั่งที่โต๊ะของซ่งอีหนาน
ถ้าเป็นที่อื่น ซ่งจื่อเซวียนย่อมไม่ทำแบบนี้ แต่ซ่งอีหนานเป็นพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง เขาไม่ต้องสนใจก็ได้
“แหะๆ พวกพี่คุยกันต่อเถอะครับ ผมจะรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“โอเค งั้นนายก็นั่งก่อน ตรงนั้นมีน้ำกินได้”
ซ่งอีหนานพูดจบก็ไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับพูดว่า “คุณเฉิน งั้นเราคุยกันต่อเถอะค่ะ ฉันอยากรู้ว่าการร่วมมือของเรา อัตราการเติบโตของกำไรจะเป็นเท่าไร แล้วก็จะแบ่งสรรปันส่วนกันยังไงเหรอคะ”
ได้ยินที่ซ่งอีหนานพูด ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกชื่นชมมาก
พี่สาวเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ อย่างน้อยเผชิญหน้ากับสองคนนี้ สิ่งที่เธออยากจะรู้ทั้งหมดก็ถูกต้องแล้ว
ฟังครู่หนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจแล้ว อีกฝ่ายคาดหวังว่าจะร่วมมือกับตลาดสามแห่งของบริษัทพร้อมกัน พวกเขาจะรับผิดชอบเสนอแหล่งสินค้าให้ แล้วก็ขายออนไลน์
ส่วนเรื่องส่วนแบ่ง อีกฝ่ายหวังว่าจะได้กำไรในโครงการนี้ห้าต่อห้า
ฟังถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม อีกฝ่ายไม่ได้มาแบบเสียเปล่าจริงๆ
อย่างน้อยก็ทำให้ซ่งจื่อเซวียนคิดได้แล้วว่าที่จริงของในตลาดมากมายสามารถขายในช่องทางออนไลน์ได้
เขาหยิบนามบัตรบนโต๊ะมาดู เฉินอีหลง ผู้จัดการบริษัทเทคโนโลยีหมิงเยวี่ยมณฑลตงไห่ จำกัด
เหอะๆ บริษัทแบบนี้ซ่งจื่อเซวียนได้ยินมาไม่น้อย ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก อาศัยสมองน้อยๆ ของพวกเขาหลอกบริษัทใหญ่ๆ ได้
“ผู้จัดการซ่ง ผมคิดว่าส่วนแบ่งห้าต่อห้าก็ไม่ได้เกินไปนะครับ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนทำธุรกิจอีคอมเมิร์ชอยู่แล้ว นอกจากต้องหักค่าธรรมเนียม กำไรอย่างอื่นก็น่าจะครึ่งต่อครึ่ง” เฉินอีหลงพูด
ซ่งอีหนานคิด “แหะๆ ฉันคิดว่าต้นทุนของตลาดเราอยู่ตรงนั้น ยากที่จะยอมรับส่วนแบ่งแบบนี้ของคุณได้นะคะ”
ได้ยินดังนั้น เฉินอีหลงและอีกคนก็สบตากัน พูดว่า “เอาอย่างนี้ครับผู้จัดการซ่ง ตอนนี้ผมให้ส่วนแบ่งขั้นต่ำที่สุดกับคุณได้ คือสี่ต่อหกครับ พวกเรารับสี่ส่วน ถ้ายังไม่โอเค…ผมคิดว่าพวกเราต้องหาพันธมิตรร่วมมือรายอื่นๆ แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยยิ้มๆ “พี่ ห้าโมงแล้ว เลิกงานได้แล้ว เราไปกันเถอะ”
“หา?” ซ่งอีหนานชะงัก แต่ไม่นานก็เข้าใจสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนจะสื่อ “อ้อๆ ได้ นายรอฉันเก็บของแป๊บนะ”
พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ เริ่มเก็บของและกระเป๋าสะพายของตนเอง
พวกเฉินอีหลงมองกันอย่างมึนงง
“ผู้จัดการซ่ง นี่คุณหมายความว่ายังไงครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ขอโทษด้วยนะครับทั้งสองท่าน บริษัทเรามีกฎว่าทำโอทีไม่ได้ เถ้าแก่เป็นคนตั้งเอง เพราะงั้นพี่สาวผมต้องไปแล้ว เชิญทั้งสองท่านเข้ามาพบใหม่พรุ่งนี้เช้านะครับ”
พวกเฉินอีหลงอึ้ง มีบริษัทแบบนี้ด้วยเหรอ บอกว่าเลิกงานก็เลิกงานเลย นี่ยังมีแขกอยู่นะ…
แต่เห็นซ่งจื่อเซวียนกับซ่งอีหนานจะไปจริงๆ พวกเขาก็ทำได้แค่ลุกขึ้นยืนเดินออกไป ทว่าน่าขายหน้าจริงๆ
ออกจากบริษัทแล้วซ่งอีหนานก็พูดขึ้นว่า “จื่อเซวียน นายทำอะไรของนายเนี่ย ฉันยังคุยไม่จบเลยนะ”
“เหอะๆ ไม่ต้องรีบๆ พี่ ผมจะคุยเรื่องใหญ่กับพี่หน่อยน่ะ”
………………………………………………….