เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 242 โชว์เวทีแบบเดียวกัน
ตอนที่ 242 โชว์เวทีแบบเดียวกัน
ตอนค่ำ จงเทียนอวี่ไม่ได้ไปกินข้าวกับหลี่เฉิง แต่อยู่ในห้องหนังสือคิดถึงเรื่องวันนี้
ก้นบุหรี่กองเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ ในที่เขี่ยบุหรี่ด้านหน้า มีควันบุหรี่คละคลุ้งในห้องหนังสือ
ท่าทางของเขาแทบจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
เดิมเขาคิดว่าตนเองเข้าใกล้ตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์แล้ว คว้าหลิงเข่อเอ๋อร์ได้ เข้าตระกูลหลิง ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นทายาทสายตรงของอาจารย์…
จงเทียนอวี่รู้ ที่จริงอาจารย์ไม่เคยถ่ายทอดความรู้ที่แข็งแกร่งที่สุดให้ลูกศิษย์เลย ก็เหมือนกับเทคนิคควบคุมไฟ ถ้าไม่ใช่เขาดอดเข้าห้องหนังสือของหลิงเจิ้นไปแอบเรียน คงไม่ได้รู้ว่ามีเทคนิคที่ร้ายกาจนี้ในบรรดาเทคนิคการทำอาหารด้วย
สำหรับเขา ที่หลิงเจิ้นไม่ได้ถ่ายทอดให้ เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา หลิงเจิ้นต้องการเลือกคนที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่งและคุ้มค่าที่จะเชื่อมั่นที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ จากนั้นค่อยถ่ายทอดเทคนิคชั้นสูงเหล่านี้ให้
แต่เขาห่างจากตำแหน่งนั้นแค่ก้าวเดียว ขอแค่ได้หัวใจของเข่อเอ๋อร์ ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งสองสามปีมานี้เขามีสัมพันธ์อันดีกับเข่อเอ๋อร์มาโดยตลอด คาดว่าถ้าเจาะหน้าต่างกระดาษนี่สำเร็จ เขาก็จะได้สิ่งที่ตนเองอยากได้
ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ โดยไม่ต้องพยายาม ยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของทางเหนือหรือกระทั่งทั้งประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของซ่งจื่อเซวียน ทั้งหมดนี้จึงเปลี่ยนไป
นับตั้งแต่หลิงเข่อเอ๋อร์เปลี่ยนใจ จนมาถึงการเห็นด้วยของหลิงเจิ้น สุดท้าย…เขาก็กลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนตระกูลหลิงทั้งหมด
ตอนนี้ เขารู้สึกว่าตนก็เหมือนตัวตลก ขอแค่ออกจากสำนักไป สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือคำติฉินนินทาลับหลังของทุกคน
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะซ่งจื่อเซวียน
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ถลึงตากัดฟันกรอด จนเลือดออกในปาก
เกิดเสียงเคาะประตูสองสามที หลี่เฉิงเดินถือถาดเข้ามา มีจานวางอยู่ในนั้น
“ศิษย์พี่ ข้าวเย็นก็ไม่ไปกิน ฉันเอามาให้พี่แล้วนะ”
จงเทียนอวี่ตวัดมองหลี่เฉิง โบกมือ “ไม่กินแล้ว วางไว้ตรงนั้นแหละ”
หลี่เฉิงถอนหายใจ วางของกินลง เดินเข้าไปหาจงเทียนอวี่
“ศิษย์พี่ เมื่อกี้…อาจารย์ว่ายังไงบ้าง”
จงเทียนอวี่แค่นหัวเราะ “เหอะๆ วางใจเถอะ ฉันไม่ได้ถูกไล่ออกจากตระกูลหลิง”
“งั้นก็ดีแล้วนี่พี่ วันข้างหน้าฉันยังติดตามศิษย์พี่ได้”
จงเทียนอวี่โบกมือพูด “แต่ว่านายเรียกฉันว่าศิษย์พี่ไม่ได้อีกแล้วนะ”
“หืม ศิษย์พี่ มัน…”
“เพราะอาจารย์ยังอยากให้ฉันออกจากสำนัก” จงเทียนอวี่ยิ้มขื่น มองออกว่าเขาจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
ถึงอย่างไรคารวะเป็นอาจารย์มาสิบกว่าปี ใจจริงเขาก็ไม่อยากออกจากสำนักแบบนี้
แต่ไม่มีทางเลือก อาจารย์ออกคำสั่งแล้ว เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ
ที่ตระกูลหลิง คำพูดของหลิงเจิ้นถึงจะถือเป็นคำขาด
“ศิษย์พี่ นี่หมายความว่ายังไง”
จงเทียนอวี่ถอนหายใจ “อาจารย์ยืนยันจะให้ฉันออกจากสำนัก แต่ยอมให้ฉันอยู่ในตระกูลหลิงต่อไป เหอะๆ งั้นฉันเป็นอะไรล่ะ คนใช้ของตระกูลหลิงเหรอ หรือว่าเป็นนักเรียนที่มาขอเรียนพวกนั้น”
“ศิษย์พี่อย่าคิดแบบนั้นสิ อาจารย์เขาก็คงมีความคิดอยู่ ถึงยังไงเรื่องก็ใหญ่โตขนาดนี้…”
“นั่นสิ เขามีความคิดของเขาอยู่แล้ว เขาต้องการรักษาหน้าของเขา แล้วฉันล่ะ เหอะๆ ก็เป็นแค่เครื่องมือรักษาหน้าของเขาเท่านั้น!”
ขณะที่พูด ท่าทางของจงเทียนอวี่ก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นบึ้งตึง
เขาไม่คิดว่าเป็นเพราะตนเองรับปากเดิมพันกับซ่งจื่อเซวียนในตอนแรก และตอนนี้เขาก็โยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้เป็นความเห็นแก่ตัวของหลิงเจิ้น
“ศิษย์พี่…”
“พอแล้วล่ะหลี่เฉิง นายออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
หลี่เฉิงเห็นดังนั้นก็ทำได้แค่พยักหน้า “ก็ได้ศิษย์พี่ ฉันวางข้าวไว้ให้พี่ตรงนั้นนะ หิวก็กินสักหน่อย มีอะไรก็เรียกฉันได้”
พูดจบ หลี่เฉิงก็เดินออกจากห้องหนังสือของจงเทียนอวี่ไป
จงเทียนอวี่จุดบุหรี่ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างแล้วสูบเฮือกหนึ่ง
พ่นควันออกด้านนอกหน้าต่าง จู่ๆ เขาก็รู้สึกอย่างหนึ่ง เหมือนกับตนเองพ่นอากาศเสียอยู่ในสวนของตระกูลหลิง
คิดถึงตรงนี้ เขาก็เผยรอยยิ้มบ้าคลั่งออกมา
“ไอ้แก่ แกไม่ปรานีก็อย่าหาว่าข้าไม่เป็นธรรมแล้วกัน
คนอย่างจงเทียนอวี่ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้มา ในเมื่อแกไม่ให้…หึ งั้นข้าก็จะเอามาเอง!”
สายตาของจงเทียนอวี่มีทอประกายแสงเส้นหนึ่งวาดผ่านขณะที่พูด ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา
เช้าวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็พาหลิงเข่อเอ๋อร์กับฟางรุ่ยออกจาคฤหาสน์ไป
อย่างไรก็อยู่มาสองคืนแล้ว บวกกับเวลาที่ใช้บนท้องถนน ก็เท่ากับสามวันแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทชิงอวี่ ร้านอาหารร่ำรวย และยังมีสวนสวินเฟิงที่เพิ่งเปิดกิจการอีก ล้วนทำให้ซ่งจื่อเซวียนเป็นห่วง
ดังนั้นเมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเขาก็เตรียมตัวเดินทางกลับ
ในลานบ้านขนาดใหญ่ของตระกูลหลิง หลิงเจิ้นพาพวกตู้ปั๋วและหลี่เฉิงออกมาส่ง
แต่มีแค่จงเทียนอวี่ที่ไม่ได้มาปรากฏตัว
“สาวน้อย จดจำไว้ว่าต้องเชื่อฟังอาจารย์นะ อาจารย์ก็เหมือนพ่อ อาชีพพ่อครัวเป็นสายอาชีพดั้งเดิม หนูจะงอนอีกไม่ได้แล้วนะ” หลิงเจิ้นพูด
“โธ่ หนูรู้แล้วค่ะคุณปู่ ปู่วางใจเถอะ หนูไปกับอาจารย์หนูแล้วนะคะ!”
หลิงเข่อเอ๋อร์พูดพลางเปิดประตูรถด้านหลังขึ้นไปนั่ง
หลิงเจิ้นจับมือซ่งจื่อเซวียนทันที พูดว่า “จื่อเซวียน ต้องมอบเข่อเอ๋อร์ให้นายแล้วนะ”
ขณะที่พูด หลิงเจิ้นก็น้ำตารื้น
ที่จริงคราวก่อนที่หลิงเข่อเอ๋อร์ออกจากบ้านเขาไม่ได้ร้องไห้เลยสักนิดเดียว แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน ครั้งนี้เขาส่งหลานสาวสุดที่รักไปเองกับมือ
“วางใจเถอะครับท่านผู้เฒ่าหลิง ผมจะดูแลเข่อเอ๋อร์อย่างดี แถมคนที่ร้านอาหารก็ยอมเธอหมด ไม่มีทางขาดตกบกพร่อง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หลิงเจิ้นถอนหายใจ “นี่ก็เป็นสิ่งที่ตาแก่กังวลใจ เด็กคนนี้เกเรจนเป็นนิสัย อย่าถ่วงธุรกิจของนายแล้วกัน ถ้ามีเรื่องลำบากอะไร นายก็โทรหาฉันได้โดยตรงนะ เดี๋ยวฉันจัดการเด็กคนนี้เอง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เขารู้ว่าประโยคนี้ของหลิงเจิ้นก็แค่พูดเฉยๆ จัดการหลิงเข่อเอ๋อร์เหรอ ปู่คนนี้ก็เก่งเกินไปแล้ว
ความหมายของประโยคนี้ที่จริงก็คือถ้าเด็กคนนี้ดื้อ นายอย่าทำโทษเธอนะ พาเธอกลับมาก็พอ
ซ่งจื่อเซวียนจะไม่เข้าใจความคิดนี้ของคนแก่ได้อย่างไร เขารู้ดีทะลุปรุโปร่งเลย
“ได้ครับ ท่านผู้เฒ่าหลิง คุณก็ต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพเยอะๆ นะครับ มีเวลาผมจะพาเข่อเอ๋อร์กลับบ้านมาหาคุณบ้าง คุณก็มาที่ตู้เหมินได้ ผมจะดื่มเป็นเพื่อนสองแก้วเลย!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หลิงเจิ้นพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ ได้สิ จื่อเซวียน ให้นายดูแลเด็กคนนี้ตาเฒ่าก็วางใจ”
“ท่านผู้เฒ่าหลิง งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ ขับรถไปอีกหลายชั่วโมง เราต้องออกเร็วหน่อย”
“ได้ ขอให้เดินทางปลอดภัยกันนะ”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็บอกลาคนอื่นๆ แล้วขึ้นรถออกจากตระกูลหลิงไป
บนถนน สภาพจิตใจของหลิงเข่อเอ๋อร์ดีเยี่ยม ไม่เหมือนตอนมาที่มึนตึง
เพราะตอนนั้นในใจเด็กคนนี้ยังไม่รู้ว่าจะขอโทษปู่อย่างไร ค่อนข้างเขินอายไม่มากก็น้อย
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เรื่องราวได้รับการแก้ไขทั้งหมด ปู่ก็ยอมปล่อยตัวเธอออกมาจากตระกูล รู้สึกมีอิสระเสรีจริงๆ
“อาจารย์ ขอบคุณนะคะ!”
จู่ๆ หลิงเข่อเอ๋อร์ก็พูดออกมา ทำให้ซ่งจื่อเซวียนอึ้งไป
“เหอะๆ ขอบคุณอะไรล่ะ”
“เมื่อก่อนคุณปู่คิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยมาตลอด ฉันคิดว่าเป็นเพราะอาจารย์ที่ทำให้เขายอมตกลงให้ฉันออกจากตงไห่” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เหอะๆ เป็นฉันที่ไหนล่ะ เธอเองต่างหาก ท่าทีของเธอโตกว่าเมื่อก่อนมาก ท่านผู้เฒ่าหลิงถึงได้เชื่อเธอไง”
“ยังไงก็ฉันก็ต้องขอบคุณอาจารย์ค่ะ มีความสุขจัง ฮ่าๆๆ”
“เด็กคนนี้…จริงสิ หลังจากนี้เธอก็เป็นศิษย์น้องหญิงของซางเทียนซั่วแล้วสิใช่ไหม”
“ใช่แล้วๆ ฮ่าๆ โคตรดีเลย คราวนี้ตานั่นก็จะจีบฉันไม่ได้แล้ว อาจารย์รู้ไหมว่าฉันรำคาญจะตายแล้วน่ะ” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด
“หา? มีคนตามจีบยังรำคาญเหรอ นี่หมายความว่าเธอมีเสน่ห์ไง ฮ่าๆ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด
หลิงเข่อเอ๋อร์มุ่ยปาก “แต่ฉันไม่ชอบเขานี่ กะล่อน แถมยัง…โธ่ ยังไงก็ไม่ชอบ!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยที่ขับรถอยู่ก็หัวเราะออกมา ดูท่าเรื่องที่ซางเทียนซั่วจีบหลิงเข่อเอ๋อร์จะไม่มีโอกาสจริงๆ…
ประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ รถยนต์ก็แล่นมาถึงเมืองตู้เหมิน และสถานที่แรกที่จะไปก็คือร้านอาหารร่ำรวย
ถึงอย่างไรก็ต้องไปส่งหลิงเข่อเอ๋อร์ก่อน
……………………………..
ที่ร้านอาหารร่ำรวย
ซางเทียนซั่วนั่งตบแมลงวันรออยู่ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์อย่างเบื่อหน่าย ถึงแม้ในร้านจะไม่มีแมลงวันเลยก็ตาม
ส่วนพวกโจวเผิงกับหยางกังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ
แม้กระทั่งหัวหน้าเชฟอย่างหูเจิ้นและพวกเชฟก็นั่งเล่นโป๊กเกอร์กันอยู่ที่โต๊ะอาหารด้านหน้า
ไม่ใช่เพราะซ่งจื่อเซวียนให้พวกเขาลาหยุดพักร้อน ที่สำคัญที่สุดคือ…ร้านอาหารร่ำรวยไม่มีลูกค้าจริงๆ
“แม่งเอ๊ย เบื่อโว้ย สองวันนี้ รายได้ยังไม่ถึงห้าร้อยหยวนเลย แบบนี้ยังเรียกว่าค้าขายได้อยู่ไหมเนี่ย” ซางเทียนซั่วพูด
โจวเผิงเหลือบตามองเขา “เหอะๆ ไม่มีทางเลือกนี่ ใครใช้ให้เราขายไม่ได้ล่ะ”
“คิงบอมบ์[1]” หูเจิ้นทิ้งไพ่ลงบนโต๊ะ หันหน้ามามองซางเทียนซั่วทันที “เทียนซั่ว สวนชุนสยานี่มาจากไหน ทำไมถึงดังขนาดนั้น”
ร้านอาหารสวนชุนสยาที่หูเจิ้นพูดถึง ก็คือร้านตรงข้ามร้านอาหารร่ำรวยนั่นเอง
วันนี้เปิดร้านวันที่สอง แต่นับตั้งแต่วันแรก ธุรกิจของร้านอาหารร่ำรวยก็ซบเซาแล้ว
“ใครจะไปรู้ล่ะ แม่งเอ๊ย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาก็ขายข้าวผัดจักรพรรดิ นี่มันจงใจแข่งกับเราชัดๆ” หยางกังพูด
ซางเทียนซั่วพูด “ฉันจะบอกนายไว้นะหยางกัง ถ้านายไม่ห้ามฉันไว้ ฉันได้ไปท้าชนพวกมันแน่”
“เอาน่าพี่ซั่ว คนเขาไม่ได้มาหาเรื่องพี่ พี่จะไปหาเรื่องเขาทำไมเล่า เรียกตำรวจมาก็ได้วุ่นวายไปกันใหญ่” หยางกังพูด
หูเจิ้นหันหน้ากลับมาพูด “นั่นสิ อย่าเพิ่งลงมือไปก่อนเลย รอนายท่านรองกลับมาค่อยว่ากันดีกว่า”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ก็เห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีแชมเปญมาจอดที่ริมถนน พวกซ่งจื่อเซวียนทั้งสามคนลงมาจากรถ
“เช็ดเข้ นายท่านรอง นายท่านรองกลับมาแล้ว!” หยางกังลุกขึ้นพูดทันที
พวกที่เล่นไพ่กันอยู่ก็รีบวางไพ่ในมือ หูเจิ้นไม่ลืมเก็บไพ่โป๊กเกอร์มา
ซางเทียนซั่วลุกขึ้นแล้วพุ่งออกไปทันที “อาจารย์มาได้ซักที!”
ซ่งจื่อเซวียนมองร้านอาหารร่ำรวยก็รู้สึกว่าผิดปกติ เอ่ยถามว่า “เทียนซั่ว เกิดอะไรขึ้น ทุกคนมัวแต่ทำอะไรกันอยู่”
“อย่าพูดถึงเลย มาเถอะ อาจารย์เข้ามาก่อน ผมจะเล่าให้ฟัง!”
จากนั้น พวกเขาก็เข้ามาในร้าน พวกซางเทียนซั่วกับหยางกังแย่งกันเล่าเรื่องไปรอบหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนค่อนข้างแปลกใจ ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูแล้วมองร้านอาหารสวนชุนสยาฝั่งตรงข้าม
ขนาดร้านใหญ่กว่าร้านอาหารร่ำรวยเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็ทำร้านอาหาร จากนั้นทำต่อไม่ไหวจึงปิดไป
คิดไม่ถึงว่าสองวันนี้จะเปิดร้านแล้ว
อีกทั้งมองผ่านกระจกไปดูด้านใน ถึงการตกแต่งจะไม่นับว่าหรูหราเท่าไร แต่ก็ค่อนข้างพิถีพิถัน
“ดูท่าพวกเขาจะแอบตกแต่งกันตอนกลางคืนนะ จู่ๆ ก็เปิดร้าน แถมยังขายข้าวผัดจักรพรรดิอีก…เหอะๆ จะโชว์เวทีแบบเดียวกันสินะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหรี่ตาลงนิดๆ มองร้านอาหารฝั่งตรงข้าม รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
……………………………………………….
[1] คิงบอมบ์ (王炸) คือการมีไพ่โจ๊กเกอร์อยู่ในมือสองใบ ซึ่งไพ่โจ๊กเกอร์ในเกมโป๊กเกอร์เป็นไพ่ที่แทนไพ่ใดก็ได้