เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 240 มีแต่แกคนเดียวเหรอที่โวยวายได้
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 240 มีแต่แกคนเดียวเหรอที่โวยวายได้
ตอนที่ 240 มีแต่แกคนเดียวเหรอที่โวยวายได้
ผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเทน้ำครึ่งตะหลิวลงในกระทะ
เนื่องจากอาหารซานตงเน้นการผัดแบบรวดเร็วด้วยน้ำมันร้อนจนอาหารสุก แล้วตักออกจากกระทะทันที
วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้วัตถุดิบสุก แต่ยังคงความหอมจากการผัด และรักษาเนื้อสัมผัสที่กรอบเด้งไว้ได้
เช่นเดียวกับผัดสามสหายของจงเทียนอวี่ ที่ตักวัตถุดิบออกจากกระทะโดยเร็วหลังจากผัดไปประมาณยี่สิบวินาที หากผัดนานเกินไปจะส่งผลต่อรสชาติ
ดังนั้นการกระทำของซ่งจื่อเซวียนในตอนนี้จึงทำให้ทุกคนไม่เข้าใจ การใส่น้ำลงไปในขณะผัด จะไม่ส่งผลต่อรสชาติของอาหารหรือไง
แต่หลิงเจิ้นมองแผนของซ่งจื่อเซวียนออก
แม้ว่าเมื่อคืนจะได้เรียนรู้การทำอาหารซานตงจากหลิงเจิ้นมาหลายอย่าง แต่ไม่ได้ทำตามอย่างเคร่งครัด ทว่าเลือกที่จะเรียนรู้หลักการสำคัญและนำมาปรับใช้
นี่คือวิธีที่เขาใช้ในการปรุงอาหารในตอนนี้
คนอื่นๆ ต่างพูดว่าวิธีนี้ขัดต่อหลักการทำอาหารผัด แต่ไม่มีใครคิดว่าจริงๆ แล้วซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตั้งใจจะผัด แต่ตั้งใจจะตุ๋นมากกว่า!
ปลิงทะเลหั่นฝอยผ่านการผัดและต้มน้ำร้อนมาแล้ว ทำให้มีรสสัมผัสที่แตกต่างกันสองแบบ หลังจากตุ๋นต่ออีกสักพัก รสสัมผัสจะยังแตกต่างกันอยู่
เมื่อรวมกับความสดชื่นของหน่อไม้และความกลมกล่อมของซอสปรุงรส รสชาติและเนื้อสัมผัสจะแตกต่างจากการผัดโดยสิ้นเชิง แต่อร่อยไม่แพ้กัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลิงเจิ้นก็พยักหน้าช้าๆ เจ้าเด็กนี่เก่งจริงๆ นี่แหละพรสวรรค์และความสามารถในการปรับตัวที่พ่อครัวควรมี
แต่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สายตาเหลือบมองนาฬิกาจับเวลา ใกล้จะหมดเวลาแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็รีบคนวัตถุดิบในกระทะ
ตอนนี้ ไม่ใช่การผัดแบบรวดเร็วอีกต่อไป แต่เขาใช้กำลังภายในเพิ่มความแรงของเปลวไฟ ผสมกับการคนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รสชาติของวัตถุดิบและซอสผสมผสานกันอย่างลงตัว
สำหรับซ่งจื่อเซวียน ทุกวินาทีมีค่า
เหลือเวลาอีกแค่สิบวินาที ทุกคนต่างจับจ้องซ่งจื่อเซวียน แล้วหันไปมองนาฬิกาจับเวลาอีกครั้ง
จงเทียนอวี่รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา เขาเบิกตากว้างจ้องเขม็งไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ไม่มีทางที่จะเร็วขนาดนั้นได้…นี่มันแค่…สองนาทีเองนะ”
ตั้งแต่เนื้อวัวสุก ไปจนถึงช่วงที่ประกายไฟพลิกกระทะคว่ำ และหลิงเข่อเอ๋อร์ทายาให้ซ่งจื่อเซวียน ก็กินเวลาไปมากโข
กว่าซ่งจื่อเซวียนจะได้ตั้งต้นใหม่ ก็เหลือเวลาเพียงสามสี่นาทีเท่านั้น
จงเทียนอวี่ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำอาหารจานนี้เสร็จภายในเวลาอันสั้นได้
แต่ในตอนที่เวลานับถอยหลังเหลือเพียงสี่วินาที ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มตักอาหารใส่จาน
ติ๊ง!
เสียงนาฬิกาจับเวลาดังกังวานชัด พร้อมกับซ่งจื่อเซวียนที่ตักอาหารใส่จานเรียบร้อย
“เฮ้ย ทำเสร็จแล้วเหรอ ศิษย์พี่ อาหารของไอ้หมอนี่สุกไหมเนี่ย”
หลี่เฉิงถามด้วยความประหลาดใจ
จงเทียนอวี่แค่นเสียงเอ่ย “ใครจะไปรู้ เตรียมวัตถุดิบไปจนถึงจัดเสิร์ฟภายในสามนาที จะทำอาหารชั้นเลิศออกมาได้ยังไง”
“นั่นสิ อาจารย์กินของมันเข้าไปไม่อ้วกแตกกันพอดีเหรอ”
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนให้ฟางรุ่ยนำจานอาหารไปวางตรงหน้าหลิงเจิ้นแล้ว
หลิงเจิ้นได้กลิ่นอาหารแล้วก็พยักหน้า
เขารู้ดีแก่ใจว่าการแข่งขันครั้งนี้…ซ่งจื่อเซวียนชนะแล้ว
หลิงเข่อเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างใจร้อน “คุณปู่ รีบชิมสิคะ”
“ใจร้อนเหลือเกินนะนังหนู” หลิงเจิ้นพูดพลางขยิบตาให้กับเธอ
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารใส่ปากหนึ่งคำ เคี้ยวอยู่นาน แล้วพยักหน้าช้าๆ
ไม่เลว ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจหลักการของการตุ๋นอาหารอย่างถ่องแท้
น้ำซอสจานนี้เป็นสไตล์อาหารซานตง เน้นเค็มนำ หวานตาม
รสหวานหอม แต่ไม่เลี่ยนจนเกินไป
ปลิงทะเลหั่นฝอยมีรสสัมผัสที่หลากหลาย เนื่องจากผ่านทั้งการผัดและต้มน้ำร้อน ทำให้มีเนื้อสัมผัสทั้งกรอบและนุ่ม
ปลิงทะเลหั่นฝอยแบบนุ่มรสชาติเข้มข้นเข้าเนื้อ ราวกับเอ็นที่ตุ๋นจนเปื่อย ผสานเข้ากับซอสที่เข้มข้นอย่างลงตัว
ส่วนปลิงทะเลหั่นฝอยแบบกรุบกรอบ เพิ่มรสสัมผัสให้กับอาหาร ผสมผสานกับความสดชื่นของหน่อไม้ เข้ากันได้อย่างลงตัว
หลิงเจิ้นอดไม่ได้ที่จะคีบอาหารเข้าปากอีกคำ แม้จานนี้จะไม่คลาสสิกเท่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย แต่ก็เปรียบเสมือนน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายฉบับย่อ
“คุณปู่ เป็นไงบ้างคะ ใครชนะล่ะคะ”
หลิงเข่อเอ๋อร์ถามอย่างใจร้อน
หลิงเจิ้นยิ้ม “ลองชิมเองสิ”
หลิงเข่อเอ๋อร์จ้องเขม่นใส่ “ยังจะอุบเอาไว้อีก ขี้เหนียวจริงๆ เลยนะคะ!”
พูดจบ หลิงเข่อเอ๋อร์ก็หยิบตะเกียบของหลิงเจิ้นขึ้นมาคีบอาหารทั้งสองจานเข้าปาก
“โอ้โห อร่อย อร่อยมากๆ เลยค่ะ!”
หลิงเจิ้นหัวเราะ “เธอชิมเองก็รู้แล้วนี่”
“อาหลี่ ที่บ้านมีข้าวเปล่าไหมคะ ตักให้หนูสักถ้วยสิคะ!”
หลิงเข่อเอ๋อร์พูดกับคนรับใช้ประจำตระกูลหลิง
“ฮะ? มีครับคุณหนู รอสักครู่นะครับ ผมจะไปตักมาให้!”
พูดจบ คนรับใช้ก็รีบวิ่งไปที่ห้องครัวประจำตระกูล
หลิงเจิ้นยิ้ม “ยายหนู ทำไมถึงทำตัวไม่มีสง่าราศีเอาซะเลย ออกไปข้างนอก ใครเขาจะเชื่อว่าเป็นหลานสาวของหลิงเจิ้น”
“คุณปู่อย่าว่าหนูเลยค่ะ ประเด็นคือจานนี้มันอร่อยสุดๆ ต่างหากล่ะคะ…”
ปู่หลานคุยหงุงหงิงกันอยู่สองคน ทำให้ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก
ตกลงว่าจานไหนกันแน่ที่พวกเขาบอกว่าอร่อยนักหนา
จงเทียนอวี่พูดขึ้น “อาจารย์ครับ เชิญ…ประกาศผลเถอะครับ”
อันที่จริงจงเทียนอวี่ยังพอมั่นใจอยู่บ้าง
ซ่งจื่อเซวียนทำอาหารแบบตะกุกตะกัก แต่เขาทำได้ราบรื่น
แม้ว่าตอนท้าย ซ่งจื่อเซวียนจะสร้างเรื่องให้เขาบ้าง แต่โดยรวมแล้วอาหารจานของเขายังถือว่าสมบูรณ์แบบ
ส่วนซ่งจื่อเซวียน เนื่องด้วยเวลาที่จำกัด คงยากที่จะทำอาหารออกมาให้ดีที่สุด ดังนั้น จากข้อนี้เขาจึงมีโอกาสชนะมากกว่า
หลิงเจิ้นมองเขาแล้วพูดว่า “จะรีบไปไหนล่ะ นายคิดว่าฉันจะลำเอียงงั้นเหรอ”
“ไม่เลยครับ…เทียนอวี่ไม่ได้กล้า”
พูดจบ จงเทียนอวี่ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาสังเกตเห็นว่าอาจารย์ไม่พอใจ จึงไม่อยากพูดต่อ
ไม่นานนัก อาหลี่ก็วิ่งหน้าตั้งออกมาจากคฤหาสน์ พร้อมกับชามข้าวในมือ
ตระกูลหลิงอย่างไรก็เป็นตระกูลหลิงอยู่วันยังค่ำ แม้แต่การเสิร์ฟข้าวก็ยังไม่ธรรมดา
อาหลี่ใช้มือข้างหนึ่งประคองถาดรอง และมืออีกข้างจับฝาปิดเก็บความร้อน ถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นอาหารมื้อพิเศษสไตล์ฝรั่งเศสด้วยซ้ำ
เมื่อยกมาถึง อาหลี่ก็เปิดฝาออก เผยให้เห็นแท่นวางสแตนเลส เขาหยิบจานข้าวจากแท่นนั้น ส่งให้หลิงเข่อเอ๋อร์
หลิงเข่อเอ๋อร์รับจานข้าวมา แล้วก็ตักอาหารที่ซ่งจื่อเซวียนทำใส่จานบางส่วน แล้วจึงเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
หญิงสาวที่ดูเหมือนเด็กสาวบ้านข้างบ้านธรรมดา เริ่มกินข้าวต่อหน้าสาธารณชนทั้งหลาย…
เมื่อเห็นหลานสาวมีท่าทางเช่นนั้น หลิงเจิ้นไม่โกรธ แต่ยังมองด้วยสายตาเอ็นดูและพยักหน้า ระบายยิ้มบางไม่หยุด
ดูท่าทางชาตินี้หลิงเจิ้นคงไม่มีวันเลิกนิสัยตามใจหลานสาวได้
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่า หลิงเจิ้นและหลิงเข่อเอ๋อร์ได้ประกาศผลการแข่งขันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จงเทียนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่มัน…ไม่เข้าท่าเลยนะ เขา…เขาทำอาหารอร่อยกว่าของผมได้ยังไง ในเวลาแค่นั้น”
หลิงเจิ้นก็ลุกขึ้นยืนและประกาศว่า “เอาล่ะ การแข่งขันครั้งนี้สิ้นสุดแล้ว ฉันขอประกาศว่าผู้ชนะคือซ่งจื่อเซวียน!”
จากนั้นทุกคนก็ปรบมือกันเกรียวกราว
แม้จะไม่ได้ลิ้มลองด้วยตนเอง แต่คำพูดของหลิงเจิ้นก็ถือเป็นคำตัดสินชี้ขาด เขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านอาหารจีนอย่างไม่มีข้อกังขา
“จื่อเซวียน คืนนี้พักผ่อนที่นี่อีกคืนหนึ่งก็แล้วกัน ให้หลิงเข่อเอ๋อร์ช่วยรินชาให้นายด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า “เช่นนั้นจื่อเซวียนขอรับเกียรตินี้ไว้ด้วยความยินดีครับ ท่านผู้เฒ่าหลิง”
“ฮ่าๆๆ ดี ดีมาก”
พูดจบหลิงเจิ้นก็เตรียมจะเดินจากไป
ที่จริงแล้วเขาต้องการให้โอกาสจงเทียนอวี่ยอมแพ้อย่างเงียบๆ
เนื่องจากพวกเขาเดิมพันกันไว้ว่า หากจงเทียนอวี่แพ้ เขาจะต้องออกจากสำนัก หลิงเจิ้นจึงไม่พูดถึงเรื่องนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้จงเทียนอวี่ไปสงบสติอารมณ์และกลับมาฝึกฝนเพิ่มเติม
แต่จงเทียนอวี่ดูเหมือนจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ
เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “เดี๋ยวก่อนครับอาจารย์ ผมไม่ยอมรับผลการตัดสินนี้!”
สายตาของทุกคนจับจ้องที่จงเทียนอวี่เป็นตาเดียว
หลิงเจิ้นหันกลับมาด้วยสีหน้าเอือมระอา “ไม่ยอมรับเหรอ เหอะๆ นายกำลังสงสัยในตัวอาจารย์หรือไง”
“เทียนอวี่ไม่บังอาจครับ ผม…ไม่สงสัยในฝีมือทำครัวและการชิมของอาจารย์ แต่…ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมต่อเทียนอวี่!” จงเทียนอวี่กล่าว
“โอ้ เพราะอะไรล่ะ”
“เพราะผมรู้สึกว่าอาหารของผมน่าจะอร่อยกว่าของซ่งจื่อเซวียนครับ!” จงเทียนอวี่เบิกตาจ้องเขม็ง พูดจบก็หันไปส่งสายตาเคียดแค้นให้ซ่งจื่อเซวียน
คำพูดดังกล่าวทำให้คนรอบข้างเริ่มเกิดความสงสัย เพราะพวกเขารู้ดีว่าฝีมือของจงเทียนอวี่เป็นเช่นไร
แม้ซ่งจื่อเซวียนจะเก่งกาจ แต่วันนี้เขาก็ไม่ได้ทำข้าวผัดจักรพรรดิที่เป็นสูตรเด็ดของเขา และด้วยเวลาการปรุงอาหารที่สั้นเพียงสามถึงสี่นาทีเท่านั้น เขาสามารถทำอาหารออกมาได้อร่อยกว่าจงเทียนอวี่จริงๆ หรือ
หลิงเจิ้นพยักหน้าฟังเสียงวิจารณ์รอบข้าง แล้วพูดขึ้น “ก็ได้ ถ้าไม่พอใจผลการตัดสินนักล่ะก็…นายก็ชิมเอาเอง”
จงเทียนอวี่ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว หยิบตะเกียบขึ้นมาชิมอาหารที่ตนทำ
เมื่ออาหารเข้าปาก เขาก็ต้องขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
นี่…มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมอาหารของฉันถึงสุกเกินไป แต่ฉันควบคุมเวลาตักอาหารออกจากกระทะแบบเป๊ะๆ แล้วนี่
แล้วเขาก็นึกถึงเปลวไฟของซ่งจื่อเซวียนขึ้นมา
“ใช่แล้ว ต้องเป็นเพราะมันแน่! ถึงตอนนั้นผมจะทำอาหารสำเร็จแล้ว แต่ก็ถูกความร้อนของมันทำลายเอา!
ไอ้ชาติชั่ว…ต่ำช้า…” จงเทียนอวี่พึมพำด้วยความโกรธเกรี้ยว
ขณะเดียวกัน หลิงเข่อเอ๋อร์ตักอาหารใส่จานเพิ่ม เธอกินไปพลางพูดไปพลางว่า “ลองชิมอาหารของนายท่านรองด้วยสิ อย่าชิมเยอะล่ะ เหลือไว้ให้ฉันบ้าง”
จงเทียนอวี่ถึงกับมึนงง หลิงเข่อเอ๋อร์นับว่าเคยกินแล้ว มันอร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ…
ฉันไม่อยากชิมอาหารของมันด้วยซ้ำ!
“อาจารย์ครับ ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรม!”
หลิงเจิ้นยิ้มเย็นยะเยือก “ชิมอาหารของจื่อเซวียนก่อนแล้วค่อยพูด!”
จงเทียนอวี่ถอนหายใจเฮือก พยักหน้ารับ แล้วก็ลองชิมอาหารของซ่งจื่อเซวียนหนึ่งคำ
เมื่อได้ลิ้มรสชาติ เขาก็ตะลึงไปชั่วขณะ
รสชาตินี้…สุดยอดจริงๆ ว่าแต่มันทำได้ยังไงในเวลาสั้นๆ แค่นั้น
จงเทียนอวี่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รสชาติของน้ำซอสช่างหอมหวาน วัตถุดิบก็สุกได้ที่ รสเข้มข้น
“นี่มัน…เป็นไปได้ยังไง…”
หลิงเจิ้นยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เทียนอวี่ นายแพ้แล้ว”
“ผม…ผมไม่ยอม อาจารย์ ถ้าไม่ใช่เพราะมันใช้ไฟก่อกวนผม อาหารของผมคงไม่สุกเกินไปแบบนี้ ไม่ยุติธรรม!” จงเทียนอวี่เถียง
หลิงเจิ้นได้ยินดังนั้นก็พ่นลมหายใจเย็นชา แล้วเอ่ย “เหอะ! ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ยุติธรรมงั้นเหรอ วันนี้มีสายตากี่คู่ที่จับจ้องพวกนาย ใครกันแน่ที่ใช้ไฟโจมตีคู่แข่งก่อน”
จงเทียนอวี่พูดไม่ออก เขารู้ดีว่าคนที่ก่อกวนก่อนคือเขาเอง
“วัตถุดิบของจื่อเซวียนถูกนายทำลายไปจนเสียเปล่า ไม่เห็นนายบอกว่าไม่ยุติธรรมบ้างเลย พออาหารของนายสุกเกินไป นายกลับคิดว่าไม่ยุติธรรม มีแต่แกคนเดียวเรอะที่ตีอกชกหัวได้”
“ผม…” จงเทียนอวี่พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ในสายตาของเขา อาจารย์เหมือนตาแก่สติเลอะเลือน ทำไมถึงช่วยคนนอกมาเล่นงานลูกศิษย์ตัวเอง
แต่เขาลืมไปว่า นับตั้งแต่วินาทีที่การแข่งขันจบลง เขาก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของหลิงเจิ้นอีกต่อไป
“อยากได้ความยุติธรรมนักใช่ไหม ดี ฉันจะให้ทุกคนมาชิมแล้วตัดสินอีกรอบ เอ้า หาคนมาชิมอาหารสามคนซิ!”
…………………………………………………