เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 239 หนึ่งนาทีสุดท้าย
ตอนที่ 239 หนึ่งนาทีสุดท้าย
หลิงเจิ้นโกรธมาก เขาไม่คิดมาก่อนว่าจงเทียนอวี่จะใช้ไฟทำร้ายซ่งจื่อเซวียนระหว่างการแข่งขัน
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือ เขาไม่เคยสอนจงเทียนอวี่เกี่ยวกับการควบคุมไฟด้วยกำลังภายในเลย
เขาไม่เชื่อว่าจงเทียนอวี่จะฝึกฝนวิชานี้ด้วยตัวเอง จะต้องแอบเรียนรู้สิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากที่เขาสอนแน่ๆ
การส่งกำลังภายในออกมาควบคุมเปลวไฟให้ได้นั้น พ่อครัวไม่เพียงแต่ต้องเชี่ยวชาญในการควบคุมการไหลเวียนกำลังภายใน แต่ต้องควบคุมได้อย่างอิสระ และสุดท้ายจึงจะประสานพลังเข้ากับเปลวไฟได้
เคล็ดวิชาลับนี้เขาเก็บไว้ในห้องหนังสือ ไม่เคยสอนจงเทียนอวี่ อีกฝ่ายต้องแอบเข้าไปในห้องหนังสือของตนอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้หลิงเจิ้นก็ได้แต่ส่ายหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจถูกที่ไม่ถ่ายทอดวิชาทำอาหารชั้นสูงให้กับจงเทียนอวี่
เจ้าเด็กคนนี้…ช่างไร้คุณธรรม!
อีกด้านหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด กุมมือที่เป็นแผลไว้แน่น ไม่สนใจกระทะที่กองอยู่บนพื้นเลยแม้แต่น้อย
น้ำร้อนจากกระทะหกราดลงบนเท้าของเขา ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเจ็บทั้งมือและเท้า
“นายท่านรอง…” ฟางรุ่ยสีหน้าเป็นกังวล
“น้ำร้อนลวก รุ่ยจื่อ ไปขอยาทาแผลไฟไหม้จากท่านผู้เฒ่าหลิงมาให้หน่อย” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างใจเย็น
“ได้ครับนายท่านรอง!”
ในตอนนี้เองหลิงเจิ้นก็สั่งให้หลิงเข่อเอ๋อร์ไปเอายาทาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกมา ไม่นานหลิงเข่อเอ๋อร์ก็กลับมา
เมื่อเธอเดินเข้ามาในเต็นท์ หลิงเข่อเอ๋อร์จ้องมองจงเทียนอวี่ตาขวาง “ทำไมถึงสะเพร่าขนาดนี้ ทำไมไม่เช็กเตาให้ดีๆ ก่อน”
ในมุมมองของเธอ เปลวไฟที่ลุกโชนนั้นถือเป็นอุบัติเหตุ
ทว่าซ่งจื่อเซวียนรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นการจงใจ
ตอนที่จงเทียนอวี่ควบคุมกระทะ เขาจงใจสะบัดข้อมืออย่างแรง และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เปลวไฟพวยพุ่งออกมา
“นายท่านรองเจ็บไหมคะ” หลิงเข่อเอ๋อร์ถามด้วยความห่วงใย เธอทายาให้พร้อมกับเป่าแผลไปด้วย
เมื่อเห็นฉากนี้ จงเทียนอวี่รู้สึกเลือดขึ้นหน้า
เขาอยากจะยิงไฟเผาซ่งจื่อเซวียนให้ตายสักที แต่หลิงเข่อเอ๋อร์อยู่ตรงนั้น เขาทำไม่ได้
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า ไม่พูดอะไร ในใจนึกถึงการกระทำของจงเทียนอวี่เมื่อครู่
ถ้าพูดกันในแง่ฝีมือการทำอาหาร เขาซ่งจื่อเซวียนไม่เคยเป็นรองใคร แม้แต่เชฟอัจฉริยะอย่างท่านเป้ยเล่อ เขาก็เคยเอาชนะมาแล้ว
ต่อให้เป็นเมนูอื่น เขาก็สามารถประยุกต์เอาคำสอนของท่านผู้เฒ่าหลิง ผสานกับคำแนะนำของหยางต้าฉุยเมื่อก่อน บวกกับเนื้อหาในตำราอาหารราชวงศ์ชิงมาใช้เป็นตัวช่วยในการทำอาหารได้
แต่ในแง่ของกำลังภายใน…เขายังไม่สามารถควบคุมการปลดปล่อยพลังออกมาได้ แต่จงเทียนอวี่คนนี้ไม่เพียงปลดปล่อยพลังออกมาได้ แต่ยังสามารถควบคุมไฟได้อีกด้วย
เรื่องนี้…เขาประเมินจงเทียนอวี่ต่ำไป
แต่ในตอนนี้ การกระทำของจงเทียนอวี่เมื่อครู่กลับวนเวียนอยู่ในหัวของซ่งจื่อเซวียน
เขาคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อมโยงกับการควบคุมกำลังภายในขณะที่เขาทำสมาธิ จนกระทั่งเขารู้สึกถึงบางอย่าง
แม้จะไม่มีความมั่นใจขนาดหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาก็มีแรงจูงใจที่จะลอง
เขาขยับมือข้างเดียวกับจงเทียนอวี่ แม้จะขยับได้ไม่มากนัก แต่ก็ผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ
เขาพยักหน้าช้าๆ บางที…นี่อาจจะเป็นวิธี
บางครั้งเรื่องบางเรื่องก็เป็นเหมือนกับกระดาษปะหน้าต่าง เมื่อถูกเจาะก็จะทะลุออก แต่หากเจาะไม่ทะลุ…กระดาษแผ่นนั้นก็แข็งแกร่งเทียมเหล็กกล้า
หลิงเข่อเอ๋อร์เห็นท่าทางของซ่งจื่อเซวียน จึงรีบพูดว่า “ไอ้หยา นายท่านรองอย่าขยับเลยค่ะ แค่นี้ก็บาดเจ็บอยู่แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่เป็นไร แผลแค่ผิวๆ เอง ทายาก็ดีขึ้นแล้ว”
ยาทาแผลไฟไหม้มีฤทธิ์เย็น ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก
“ไม่ได้ค่ะ ตาจงเทียนอวี่ก็เหลือเกินจริงๆ ทำอาหารแค่นี้ยังปล่อยให้มีสะเก็ดไฟอีก” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด พร้อมกับจ้องมองจงเทียนอวี่อย่างกรุ่นโกรธ “นายท่านรอง ตอนนี้บาดเจ็บแล้วไม่ต้องแข่งต่อหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ ตกลงกันแล้วว่าจะแข่ง จะมาถอนตัวกลางคันได้ยังไง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจว่า ไม่ใช่แค่ต้องต้องแข่ง แต่ต้องแข่งให้สุดฝีมือด้วย
สะเก็ดไฟของจงเทียนอวี่ปลุกให้ไฟในตัวของเขาลุกโชน แทบรอไม่ไหวอยากจะลองใช้กำลังภายในควบคุมไฟดูบ้าง
เขาเอื้อมมือไปหยิบกระทะที่ตกอยู่บนพื้น
น้ำในกระทะหกหมดแล้ว เนื้อวัวหั่นฝอยในกระทะก็ตกพื้นไปแล้วเช่นกัน วัตถุดิบเหล่านี้ถือว่าเสียเปล่าไปแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนมองไปยังปลิงทะเลและหน่อไม้หั่นฝอยที่เหลือ ก่อนจะยิ้มออกมา “ยังพอทำได้อยู่!”
“นายท่านรองจะทำต่อเหรอ ตอนนี้ไม่แข่งต่อก็ไม่ถือว่าแพ้หรอกนะคะ ก็คุณได้รับบาดเจ็บนี่นา”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ขอบคุณนะเข่อเอ๋อร์ที่ช่วยทายาให้ เธอออกไปก่อนเถอะ!”
“นายท่านรอง…”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจ เขาจุดไฟอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่ได้ต้มน้ำ แต่กลับใช้น้ำมันแทน เขาตักปลิงทะเลหั่นฝอยที่แช่น้ำไว้ครึ่งหนึ่งขึ้นมา
หลิงเจิ้นมองดูเขาด้วยความสงสัย
ทำไมถึงตักปลิงทะเลหั่นฝอยออกมาแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้เนื้อวัวก็ไม่มีแล้ว ซ่งจื่อเซวียนเสียเปรียบ แล้วทำไมยังต้องประหยัดปลิงทะเลหั่นฝอยอีก
จงเทียนอวี่ที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา “หึๆ ซ่งจื่อเซวียน แกนี่มันสู้ไม่ถอยจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ต้องขอบคุณคุณนั่นแหละ เหอะๆ!”
“เหอะ หัวเราะไปเถอะ แต่อย่าลืมดูเวลาด้วยแล้วกัน!”
จงเทียนอวี่พูดพลางพลิกตะหลิวผัดอาหารไปด้วย
ตอนนี้อาหารในกระทะของเขาสุกดีแล้ว สีสันสวยงาม
เมื่อเห็นดังนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม และเริ่มควบคุมกำลังภายในของเขาไปด้วย
ณ ขณะนี้ ผลการการทำสมาธิ เนื้อหาเกี่ยวกับการควบคุมกำลังภายในจากสูตรอาหารราชวงศ์ชิง รวมไปถึงท่าทางของจงเทียนอวี่เมื่อครู่ ล้วนปรากฏขึ้นในใจของซ่งจื่อเซวียน
กำลังภายในที่ไหลเวียนตามธรรมชาติ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นโหมกระหน่ำ
เมื่อรู้สึกถึงพลังนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมา
ทันใดนั้น เขามองจงเทียนอวี่ด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แล้วสะบัดข้อมืออย่างรุนแรง พลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย
พลังนั้นทะลุผ่านกระทะ ตรงไปยังเปลวไฟจนลุกโชนขึ้นโจมตีจงเทียนอวี่ราวกับมีชีวิต
สิ่งนี้เกินความคาดหมายของจงเทียนอวี่ เขาไม่คิดว่าซ่งจื่อเซวียนจะควบคุมเปลวไฟด้วยกำลังภายในได้
แม้แต่เขาเองยังต้องแอบไปเรียนในห้องหนังสือของหลิงเจิ้นตอนกลางคืน
ตูม!
เปลวไฟพุ่งเข้าใส่กระทะของจงเทียนอวี่!
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนต่างตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น ทำไมการแข่งขันวันนี้ถึงเกิดอุบัติเหตุบ่อยจัง
อย่างไรก็ตาม คนที่มีไหวพริบพอจะเดาได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขารู้แล้วว่า บางที…นี่อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุ
หลิงเจิ้นหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพยักหน้า
หึๆ ฉันน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ฝีมือการทำอาหารระดับจื่อเซวียนแถมยังมีอาจารย์ลึกลับของเขาอีก ถ้าเขาใช้กำลังภายในควบคุมไฟได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เอาเถอะ ถือว่าช่วยฉันสั่งสอนลูกศิษย์ก็แล้วกัน
เหอะ จงเทียนอวี่ แกบังอาจแอบเรียนวิชาในห้องหนังสือของฉัน เรื่องนี้ฉันจะจัดการกับแกทีหลัง!
ขณะที่เปลวไฟพุ่งเข้าใส่จงเทียนอวี่ เขายังตั้งตัวไม่ทัน เปลวไฟจึงพุ่งชนกับกระทะอย่างรุนแรง
จงเทียนอวี่รีบคว้าด้ามจับกระทะไว้แน่น เพราะว่าอาหารในกระทะสุกแล้ว ถ้าพลิกคว่ำตอนนี้คงสูญเปล่า
แต่พลังของเปลวไฟนั้นรุนแรงเกินไป แม้ว่าเขาจะพยายามยื้อจนสุดแรง แต่ก็ยังพลิกคว่ำจนได้
โชคดีที่กระทะคว่ำลงบนจานพอดี อาหารและน้ำซุปบางส่วนกระฉอกออกมา แต่ยังพอจัดเสิร์ฟได้
จงเทียนอวี่มองไปยังอาหารในจาน ถอนหายใจ แล้วจ้องมองซ่งจื่อเซวียน
“หึๆ เก่งนี่ คิดไม่ถึงว่าแกจะควบคุมไฟได้ด้วย!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ก็ต้องขอบคุณคุณนั่นแหละ”
“ช่างเถอะ อาหารของฉันเสร็จแล้ว เหลือเวลาอีกแค่สามนาที แกจะทำเสร็จทันเหรอ ฮ่าๆ…” จงเทียนอวี่พูดแกมหัวเราะ
จากนั้น จงเทียนอวี่ก็ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดน้ำซุปที่ขอบจาน เมนูสามสหายผัดน้ำมันก็เสร็จสมบูรณ์
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่นาฬิกาจับเวลาข้างๆ หลิงเจิ้น เหลือเวลาเพียงไม่ถึงสามนาทีตามคาด
เขาหันมาจดจ่อกับกระทะตรงหน้า ปลิงทะเลหั่นฝอยครึ่งหนึ่งถูกผัดในน้ำมันจนสุก แล้วตักขึ้นจากกระทะอย่างรวดเร็ว
จากนั้น เขาเทก็น้ำมันในกระทะออก เติมน้ำครึ่งกระทะ ระหว่างขั้นตอนนี้ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะล้างกระทะ
โดยทั่วไปแล้ว ในการทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันระดับนี้ จำเป็นต้องล้างกระทะระหว่างขั้นตอนต่างๆ
เพื่อให้มั่นใจว่ากระทะจะสะอาดเมื่อปรุงอาหารทุกชนิด
แต่ตอนนี้ น้ำในกระทะยังมีคราบน้ำมันลอยอยู่
เห็นซ่งจื่อเซวียนท่าทางเร่งร้อน จงเทียนอวี่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “หึๆ ฉันจะคอยดู ว่าแกจะทำอะไรออกมาในสองนาทีนี้!”
พูดจบ เขาก็ส่งจานอาหารให้หลี่เฉิง ให้หลี่เฉิงนำจานไปวางตรงหน้าหลิงเจิ้น
โดยปกติแล้ว คณะกรรมการควรชิมอาหารทั้งสองจานพร้อมกัน แต่ตอนนี้อาหารของซ่งจื่อเซวียนยังไม่เสร็จ ยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบด้วยซ้ำ หากรอต่อไปจนอาหารของจงเทียนอวี่เย็นลง รสชาติอาจเปลี่ยนแปลง ย่อมไม่ยุติธรรม
นี่เป็นเพราะพวกเขาเลือกจัดการแข่งขันกลางแจ้ง ถ้าจัดการแข่งในที่ร่มและมีฝาปิด อาหารก็จะเย็นช้าลง
หลิงเจิ้นหยิบตะเกียบคีบขึ้นมาชิมคำหนึ่ง แล้วก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เปลวไฟของซ่งจื่อเซวียน แม้จะไม่ทำให้อาหารของจงเทียนอวี่พลิกคว่ำ แต่ความร้อนสูงทำให้อาหารร้อนขึ้นไปอีก ส่งผลต่อรสชาติอย่างเห็นได้ชัด
หากจะตัดสินจากรสชาติของจานนี้เพียงอย่างเดียว หลิงเจิ้นคงจะลงคะแนนให้จงเทียนอวี่ตกรอบ
แต่เนื่องจากเป็นการแข่งขัน จึงต้องรออาหารของซ่งจื่อเซวียนก่อน หากเขาไม่สามารถทำอาหารให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด แม้ว่าอาหารจานนี้รสชาติจะไม่ผ่าน แต่จงเทียนอวี่ก็จะเป็นผู้ชนะการแข่งขันในวันนี้อยู่ดี
ตอนนี้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ซ่งจื่อเซวียน โดยเฉพาะหลิงเจิ้น เขารู้ดีว่ากุญแจสำคัญของการตัดสินในวันนี้ ขึ้นอยู่ที่ว่าซ่งจื่อเซวียนจะสามารถทำสำเร็จหรือไม่
ซ่งจื่อเซวียนนำปลิงทะเลหั่นฝอยที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไปแช่น้ำร้อน หน่อไม้ก็เช่นกัน
เมื่อเห็นขั้นตอนนี้ หลิงเจิ้นพลันยิ้มบางๆ ออกมา เขาเข้าใจเจตนาของซ่งจื่อเซวียนแล้ว
อุบัติเหตุเมื่อครู่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนขาดวัตถุดิบอย่างเนื้อวัว เขาจึงใช้วิธีผัดน้ำมันและต้มเพื่อให้ปลิงทะเลหั่นฝอยมีรสสัมผัสที่แตกต่างกันสองแบบ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถือว่าแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่ทันไรเขาก็มีวัตถุดิบสามชนิดอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่เฉิงพูดว่า “เหอะ เล่นอะไรของมัน จำเป็นต้องปรุงปลิงทะเลแยกกันสองรอบด้วยเหรอ…”
“หึๆ ช่างหัวมันปะไร เหลือเวลาไม่ถึงนาทีแล้ว” พูดจบ จงเทียนอวี่ก็มองไปยังนาฬิกาจับเวลาอีกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ทักษะการทำอาหารที่สั่งสมมานานถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ แม้แต่เปลวไฟก็ยังโหมแรงขึ้นจากแรงกระตุ้นด้วยกำลังภายใน
ซ่งจื่อเซวียนใช้ตะหลิวตักน้ำร้อนใส่กระทะ สร้างความงุนงงให้กับเหล่าพ่อครัวที่ยืนดูอยู่
“ผัดไฟแรงทำไมต้องใส่น้ำด้วย” จงเทียนอวี่พึมพำกับตัวเองอย่างงุนงง
ทว่าหลังจากหลิงเจิ้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
………………………………………..