เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 237 ฉันจะฆ่าแก
ตอนที่ 237 ฉันจะฆ่าแก
ในห้องสมุด
จงเทียนอวี่นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โต๊ะ ตอนนี้เขาคงไม่มีเวลาไปอ่านตำราอาหารแล้ว วิธีอัดตำราเข้าหัวแบบนั้นเป็นอะไรที่โง่เขลาสิ้นดี
สิ่งที่เขากำลังคิดคือฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนนั้นเก่งกาจแค่ไหน เขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างไร
จงเทียนอวี่เป็นคนที่นิสัยสุขุม แม้แต่ตอนนี้ก็เช่นกัน หลังออกจากห้องอาหาร หลี่เฉิงและคนอื่นๆ ต่างไปทานอาหารกัน แต่เขากลับตรงไปที่ห้องหนังสือทันที
เขานั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหนนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว คิดหาแต่วิธีจัดการกับซ่งจื่อเซวียน
เขาดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ ซึ่งตอนนี้อัดแน่นไปด้วยก้นบุหรี่จนกองพะเนิน
“ซ่งจื่อเซวียน…นายไม่น่ามาที่นี่เลย…”
สายตาของจงเทียนอวี่เต็มไปด้วยความอาฆาตขณะที่พูด
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยหลี่เฉิงที่เดินเข้ามา
“ศิษย์พี่ ทำไมไม่ไปกินข้าวล่ะ ตอนอยู่ที่ห้องอาหารพวกเราไม่ได้กินอะไรกันเลยนะ” หลี่เฉิงพูดพร้อมกับเดินเข้ามานั่งที่โซฟาข้างๆ
จงเทียนอวี่เหลือบมองเขา “กินไม่ลง พอนึกถึงอาหารที่ทำให้หมอนั่นกินเย็นนี้ ฉันก็รู้สึกอัปยศ!”
หลี่เฉิงยิ้มแล้วกล่าว “ฉันไม่เห็นจะซีเรียสเลย ทำอาหารให้ใครก็เหมือนกัน ฝีมือฉันก็แค่นี้”
“อย่างนายจะไปเทียบกับฉันได้ยังไง”
ได้ยินดังนั้น หลี่เฉิงก็รู้สึกกระอักกระอ่วน เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและพูดว่า “ศิษย์พี่ เมื่อกี้…ฉันเห็นอาจารย์กับซ่งจื่อเซวียนออกมาจากห้องอาหาร พวกเขาเหมือนจะไปที่ห้องครัวด้วยกันเลย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จงเทียนอวี่ก็ตกตะลึง “ว่าไงนะ ไปที่ห้องครัวงั้นเหรอ นายเห็นหรือเปล่าว่าพวกเขาทำอะไรบ้าง”
หลี่เฉิงส่ายหน้า “ไม่เห็น ฉันก็อยากจะดูเหมือนกัน แต่แป๊บๆ พวกเขาก็เดินออกมา แล้วก็ไปที่บ้านอาจารย์”
“ไปที่บ้านอาจารย์เหรอ” จงเทียนอวี่หรี่ตา พลางพูดลอดไรฟัน “ไอ้เวรนั่นมันไปที่ห้องครัวของอาจารย์แน่!”
“หา ไม่หรอกมั้ง ห้องครัวของอาจารย์ไม่เคยให้ใครเข้าไปเลยนะ จำได้ไหมเมื่อก่อนพวกเราเคยไปครั้งหนึ่ง อาจารย์ด่าพวกเราชุดใหญ่ เกือบจะไล่พวกเราออกไปเลยด้วยซ้ำ” หลี่เฉิงพูด
จงเทียนอวี่พยักหน้า “นั่นสิ ว่าแต่ทำไมไม่ทันไรพวกนั้นก็เข้าไปในห้องครัวของอาจารย์ได้ล่ะ ทั้งๆ ที่เพิ่งเจออาจารย์เอง”
หลี่เฉิงจุดบุหรี่ พูดพลางยักไหล่ “ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์กับซ่งจื่อเซวียนอะไรนั่นจะมีเรื่องให้คุยกันเยอะเลย เฮ้อ ศิษย์พี่ ทำไมถึงต้องไปหาเรื่องทะเลาะกับเขาด้วยล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จงเทียนอวี่ก็เงยหน้ามองหลี่เฉิง สีหน้าของเขาพลันเยือกเย็นลง
“ตระกูลหลิง ฉันพยายามมาหลายปีก็เพื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิง ตอนนี้คนนอกคิดจะมาแย่งตำแหน่ง จะให้ฉันยอมได้ไง “
หลี่เฉิงได้ยินดังนั้นก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว ราวตกใจกับความโกรธของจงเทียนอวี่
“คือว่า…ศิษย์พี่ มัน…มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ เดี๋ยวซ่งจื่อเซวียนนั่นก็จะกลับไปที่ตู้เหมินแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากเข้าตระกูลหลิงของเราจริงๆ ก็ได้” หลี่เฉิงพูด
“หึ นายจะรู้อะไร นี่คือกลยุทธ์ถอยเพื่อรุก ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์อยากรับมันเป็นศิษย์ แต่มันดันปฏิเสธ ไอ้เด็กนั่นมันบ้าจริงๆ!” จงเทียนอวี่กัดฟันพูด
หลี่เฉิงพยักหน้า “ใช่ หน้าด้านซะไม่มี มันคิดว่าตัวเองทำอาหารเก่งกว่าอาจารย์หรือไง”
จงเทียนอวี่หัวเราะเยาะ “ฮ่าๆ นั่นแหละความฉลาดของมัน เบื้องหน้ามันทำเป็นปฏิเสธอาจารย์ แต่นายต้องรู้เอาไว้ว่า อะไรที่คว้ามาไม่ได้ มันยิ่งอยากได้ และซ่งจื่อเซวียน…ก็จับจุดอาจารย์ซะอยู่หมัด”
“ศิษย์พี่หมายความว่ามันใช้วิธีปล่อยไปก่อนแล้วค่อยหาโอกาสงั้นเหรอ”
จงเทียนอวี่พยักหน้า “ใช่ ถือว่าพอมีสมองอยู่บ้าง แต่ก็น่ารังเกียจพอตัว มันทำให้อาจารย์ยิ่งอยากรับเป็นศิษย์มากขึ้น ไอ้หอกหัก ทำตัวเป็นโสเภณีอยากสร้างผายฟาง [1]!”
“ศิษย์พี่ พอศิษย์พี่พูดแบบนี้แล้ว…ไอ้เด็กนั่นมันก็เจ้าเล่ห์จริงๆ อยากเป็นศิษย์อาจารย์แต่ยังทำเป็นเล่นตัว ล้อกันเล่นหรือไง”
หลี่เฉิงเห็นด้วย อันที่จริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลี่เฉิงมักจะมีนิสัยแบบนี้ หลิงเจิ้นไม่ค่อยสนใจเขา ตู้ปั๋วก็ไม่มีเวลา เขาจึงเชื่อฟังจงเทียนอวี่แทบทุกอย่าง
จงเทียนอวี่ลุกขึ้นยืน เดินไปสองสามก้าวแล้วพูดว่า “มันใช้วิธีนี้ ปฏิเสธอาจารย์ก่อน แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นไปทำอีท่าไหนถึงไปรับเข่อเอ๋อร์เป็นศิษย์ได้ วิธีนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของมันกับตระกูลหลิงแนบแน่นยิ่งขึ้น
หลังจากสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว อาจารย์ก็สอนมันทำอาหารโดยไม่มีเงื่อนไข โดนมันหลอกใช้ง่ายขึ้น ไอ้เด็กนั่น… หลอกอาจารย์ได้ คิดว่าจะหลอกฉันได้เหรอ”
“ศิษย์พี่ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะทีนี้”
“ทำยังไงน่ะเหรอ เหอะ ครั้งนี้ฉันยอมเสี่ยงออกจากสำนักเพื่อแข่งกับมัน นายคิดว่าไงล่ะ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องเอาชนะมันให้ได้!” จงเทียนอวี่พูด!
“แต่ว่า…แต่ว่าตอนนี้อาจารย์กำลังสอนมันทำอาหารอยู่เลย ศิษย์พี่ต้องระวังนะ”
จงเทียนอวี่เดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกแล้วยิ้มอย่างเย็นชา
ไอ้แก่ ช่วยคนนอกเล่นงานฉันเหรอ พรุ่งนี้ไว้ฉันเอาชนะซ่งจื่อเซวียนได้แล้ว จะมาคิดบัญชีกับแกทีหลัง!
ความพยายามหลายปีที่ผ่านมาของฉันจงเทียนอวี่จะต้องไม่สูญเปล่า ไม่มีใครขัดขวางแผนของฉันได้ ไม่มี!
……..
ห้องครัวส่วนตัวของหลิงเจิ้น
ซ่งจื่อเซวียนสูดกลิ่นหอมจากกระทะ พยักหน้าซ้ำๆ เขาจดจำทุกขั้นตอนการทำอาหารของหลิงเจิ้นไว้ในใจ
ด้วยประสบการณ์การทำอาหารในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้เขาเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ไม่เหมือนกับตอนที่เรียนกับหยางต้าฉุยที่ได้แต่มองผิวเผิน
แต่ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนจดจำทุกขั้นตอนของหลิงเจิ้นได้ รวมถึงแรงบิดของแขนและข้อมือ เวลาและปริมาณของเครื่องปรุงรสที่ใส่ลงไป เขาจำได้อย่างแม่นยำเกือบทั้งหมด
“จื่อเซวียน เข้าใจหรือยัง”
“ครับท่านผู้เฒ่าหลิง จื่อเซวียนเข้าใจแล้วครับ!”
อาหารในกระทะมีชื่อว่าผัดสองกรอบ[2] แม้ว่าจะเป็นอาหารซานตง แต่ก็ไม่ใช่เมนูที่ยากมาก
หลิงเจิ้นทำเช่นนี้เพื่อความเป็นธรรม ก่อนที่ซ่งจื่อเซวียนและจงเทียนอวี่จะประลองกัน ถ้าเขาดูแลซ่งจื่อเซวียนอย่างดีเป็นพิเศษ ย่อมเป็นการทำผิดต่อลูกศิษย์ของเขา
แต่อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อซ่งจื่อเซวียนมาก
เพราะว่าเขาไม่ได้ดูแค่ว่าอาหารชนิดนี้ทำอย่างไร แต่ดูว่าหลิงเจิ้นใช้เทคนิคการทำอาหารและคุมไฟอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นหัวใจสำคัญของการทำอาหาร
การเรียนทำอาหารเพียงเมนูเดียวไม่เพียงพอที่จะยกระดับฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียน เขาต้องเข้าใจวิธีการต่างๆ จึงจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
หลิงเจิ้นพยักหน้าช้าๆ “ดี จานนี้เสร็จแล้ว มาทำอีกจานกัน!”
พูดจบ หลิงเจิ้นก็ตักอาหารออกจากกระทะ และเตรียมวัตถุดิบอื่นๆ
ในห้องครัว ซ่งจื่อเซวียนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเป็นส่วนใหญ่ เขาไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว เพราะเคยทำแบบนี้มาแล้วตั้งแต่อยู่ร้านชุนเซียง
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการเป็นลูกมือให้กับเทพเจ้าแห่งอาหารภาคเหนือ สำหรับใครหลายๆ คน นี่ถือเป็นความฝันเลยก็ว่าได้
ซ่งจื่อเซวียนส่งส่วนผสมทั้งหลายให้หลิงเจิ้น ชิมผัดสองกรอบอีกครั้ง เขาก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมพ่อครัวทั่วไปถึงถูกเรียกว่าเชฟ แต่หลิงเจิ้นถูกเรียกว่าพ่อครัวขั้นเทพ…
เมื่อตักอาหารเข้าปาก ก็รับรู้ได้ว่าทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสล้วนแต่อยู่ในระดับล้ำเลิศ ชวนให้ดื่มด่ำไปกับมันได้
“ไอ้หนู รู้ไหมว่าปกติมีใครที่ได้กินอาหารของฉันบ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “คงจะเป็นนายกเทศมนตรีเมืองหนานไถใช่ไหมครับ”
“ฮ่าๆ พวกนั้นน่ะเหรอ ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ผู้ว่าการมณฑลยังพอใช้ได้ นอกจากผู้นำพวกนี้แล้ว ก็มีแค่ญาติสนิทมิตรสหายของฉันเท่านั้นที่ได้กิน จื่อเซวียน นายคือเพื่อนรักของฉันนะ!”
ประโยคนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอบอุ่นใจ
หลิงเจิ้นมีนิสัยตรงไปตรงมา เวลาพูดจาก็เหมือนกัน
ด้วยสถานะของเขาซึ่งเป็นถึงพ่อครัวขั้นเทพแห่งภาคเหนือ โดยทั่วไปแล้วซ่งจื่อเซวียนไม่น่าจะผูกสัมพันธ์กับเขาได้ แต่ ณ ตอนนี้หลิงเจิ้นกลับแสดงความจริงใจออกมาอย่างสุดซึ้ง
“ท่านผู้เฒ่าหลิง ผมเกรงใจจริงๆ เลยครับ”
“ฮ่าๆ เกรงใจอะไรกัน ดูให้ดี ฉันจะเริ่มแล้วนะ!”
จนกระทั่งดึกดื่น หลิงเจิ้นและซ่งจื่อเซวียนจึงออกมาจากห้องครัว
หลังจากใช้งานเตาแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ทำความสะอาดห้องครัวจนกลับมาเงาวับปราศจากฝุ่นละอองเหมือนเดิม
…….
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในตระกูลหลิงก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
หัวข้อสนทนาที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือการแข่งขันระหว่างซ่งจื่อเซวียนกับจงเทียนอวี่ในวันนี้
ซ่งจื่อเซวียนเดินลงมาจากห้องได้ประมาณสองสามก้าว ก็เห็นหลิงเข่อเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆ มาหาเขา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะอาจารย์!”
หลิงเข่อเอ๋อร์ดูสวยเป็นพิเศษยามแสงแดดตกกระทบ ผิวพรรณของเธอขาวผ่องจนแทบจะโปร่งแสงได้
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ ไม่แปลกใจที่ซางเทียนซั่วจะหลงผู้หญิงคนนี้ ก็เธอสวยจริงๆ นี่นา
“อรุณสวัสดิ์เข่อเอ๋อร์ แต่ว่า…ฉันยังไม่ใช่อาจารย์ของเธอเลยนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดแกมยิ้ม
“ฮ่าๆ ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะค่ะ ถ้าวันนี้คุณชนะจงเทียนอวี่ได้ คุณก็จะเป็นอาจารย์ของฉันแล้ว!” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกงุนงง “แต่ว่าเธอไม่ใช่เพื่อนกับจงเทียนอวี่หรอกเหรอ ทำไมถึงอยากให้เขาแพ้ล่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย แต่การแข่งขันทำอาหารมันวัดกันที่ฝีมือ เขามีฝีมือพอที่จะท้าชนกับนายท่านรอง แต่ถ้าฝีมือไม่ถึงขั้นจะแพ้ก็สมควรแล้วล่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ เธอนี่มันผู้หญิงไร้หัวใจจริงๆ ฉันว่าเขาดีกับเธอมากเลยนะ ไม่งั้นเขาจะอาลัยอาวรณ์เธอทำไม เธอยังกล้าพูดถึงเขาแบบนี้อีกเหรอ”
“ช่างมันสิ ฉันจะอยู่หรือจะไปมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ” พูดจบ หลิงเข่อเอ๋อร์ก็โน้มตัวเข้าหาซ่งจื่อเซวียน ป้องปากกระซิบที่ข้างหูเขา “ฉันจะบอกอะไรให้นะคะ ต่อให้เขาชนะฉันก็จะไปกับนายท่านรองอยู่ดีค่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าจงเทียนอวี่รู้ว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หลิงเข่อเอ๋อร์ก็จะไปตู้เหมินกับเขาอยู่ดี อีกฝ่ายคงโกรธจนควันออกหูแน่ๆ
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ จงเทียนอวี่และหลี่เฉิงก็เฝ้าดูพวกเขาจากระยะไกล
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน จงเทียนอวี่ก็โกรธขึ้นมา
“บ้าเอ๊ย กล้าทำแบบนี้ในตระกูลหลิงงั้นเหรอ หน้าไม่อายจริงๆ!”
“ศิษย์พี่ หมอนั่น…ชอบหลิงเข่อเอ๋อร์เหรอครับ” หลี่เฉิงถาม
“ไร้สาระ ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกเลย ไปกันเถอะ!”
ทั้งสองเดินตรงเข้าไปหาซ่งจื่อเซวียน จงเทียนอวี่พูดขึ้นว่า “ฮ่าๆ ทั้งสองคนคุยอะไรกันตั้งแต่เช้าเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็ได้กลิ่นของความหึงหวง เขาเอ่ยยิ้มๆ “ทำไมเหรอจงเทียนอวี่ การแข่งขันของเรามีกฎข้อไหนห้ามไม่ให้ผมคุยกับหลิงเข่อเอ๋อร์ด้วยเหรอ”
“ไม่มีหรอก แต่…ฉันหวังว่านายจะรักษาสัญญานะ” จงเทียนอวี่พูด
“ผมรักษาสัญญาอยู่แล้ว”
หลิงเข่อเอ๋อร์พูดขึ้น “จงเทียนอวี่ นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ไปท้านายท่านรองทำไม ไม่ว่านายจะแพ้หรือชนะ ฉันก็จะไปตู้เหมินอยู่ดี”
“ว่าไงนะ เธอ…เข่อเอ๋อร์ ทำไมเธอถึงคะยั้นคะยอจะไปกับเขาให้ได้ ตระกูลหลิงไม่มีใครสอนเธอได้เลยเหรอ” จงเทียนอวี่พูด
“นั่นมันเรื่องของฉัน ฉันพอใจแบบนี้ ฉันชอบแบบนี้ คุณปู่ยังไม่ห้ามฉันเลย แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมายุ่งด้วย นายท่านรองอย่าสนใจเขาเลยค่ะ ไปกันเถอะ!”
พูดจบ หลิงเข่อเอ๋อร์ก็พาซ่งจื่อเซวียนออกไป
จงเทียนอวี่โกรธมาก เขากำหมัดแน่น พร้อมกับเอ่ยลอดไรฟันออกมา “ไอ้ซ่งจื่อเซวียน ไอ้บัดซบ แกหลอกใช้เข่อเอ๋อร์ใช่ไหม ไอ้คนชั้นต่ำ วันนี้ฉันไม่รามือแน่!”
ส่วนซ่งจื่อเซวียนและหลิงเข่อเอ๋อร์ที่เดินไปพลันหันกลับมามองจงเทียนอวี่ แล้วยิ้มให้เขาเหมือนกับดูถูก
“ฉัน…ฉันจะฆ่าแก!” จงเทียนอวี่พึมพำกับตัวเอง
……………………………………..
[1] โสเภณีอยากสร้างผายฟาง (表字立牌坊) เป็นสำนวนจีนมีความหมายในเชิงดูถูก หมายถึงคนที่ทำเรื่องผิดศีลธรรมแต่กลับอยากให้คนอื่นมานับหน้าถือตา โดยผายฟาง (牌坊) หมายถึงซุ้มประตูที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงบุคคลผู้สร้างคุณงามความดีต่อประเทศชาติ
[2] ผัดสองกรอบ(爆双片/油爆双脆) เป็นอาหารดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงของซานตงที่ทำมาจากกึ๋นไก่และผ้าขี้ริ้ววัว หรือกระเพาะแกะผัดรวมกัน ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารจีนที่ทำยาก เนื่องจากต้องใช้ทักษะการควบคุมไฟที่แม่นยำ ใช้เวลาผัดที่พอดี เครื่องในที่นำมาผัดจึงจะกรอบ อร่อย เคี้ยวเพลิน หากผัดไม่นานก็จะไม่สุก ผัดนานเกินไปก็จะเหนียว ไม่อร่อย