เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 236 ไฟความหวังเพิ่งจะลุกโชน แต่ไม่ทันไรก็มอดดับเสียแล้ว
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 236 ไฟความหวังเพิ่งจะลุกโชน แต่ไม่ทันไรก็มอดดับเสียแล้ว
ตอนที่ 236 ไฟความหวังเพิ่งจะลุกโชน แต่ไม่ทันไรก็มอดดับเสียแล้ว
หลายคนตะลึงเมื่อได้ยินว่าจงเทียนอวี่ตกลงรับข้อเสนอของซ่งจื่อเซวียน
เขากำลังเล่นกับไฟอยู่งั้นเหรอ ถ้าแพ้ เขาจะต้องออกจากสำนักเชียวนะ
หลิงเจิ้นหน้าดำคร่ำเครียดไปด้วย เจ้าเด็กนี่เป็นอะไรถึงต้องแข่งกับซ่งจื่อเซวียนเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น แม้ว่าจะต้องออกจากตระกูลหลิงเนี่ยนะ
ในแถบตงไห่ ตระกูลหลิงถือเป็นตระกูลทรงอิทธิพล การได้อาศัยอยู่ที่นี่และเป็นลูกศิษย์ของหลิงเจิ้นถือเป็นความฝันของเหล่าเชฟนับพัน
แต่ตอนนี้จงเทียนอวี่กลับยอมเอาสิ่งนี้มาเป็นเดิมพันงั้นเหรอ
ในมุมมองของหลิงเจิ้น ซ่งจื่อเซวียนน่าจะเสนอการประลองเช่นนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าจงเทียนอวี่ไม่รู้จักกาลเทศะ อีกฝ่ายจึงต้องการสั่งสอนเขา
แม้ว่าจงเทียนอวี่จะเป็นลูกศิษย์ของหลิงเจิ้น แต่ฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง ถือได้ว่าเป็นเชฟชื่อดังอย่างแท้จริง
ดังนั้น ในเมื่อเขาล่วงเกินซ่งจื่อเซวียนแบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนจะสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาบ้างก็พอเข้าใจได้
หรือไม่ซ่งจื่อเซวียนก็ต้องการให้เขาถอดใจ เขาเสนอวิธีประลองเช่นนี้ คิดว่าจงเทียนอวี่คงไม่กล้าเสี่ยงและถอนตัวไปเอง
แต่เขาไม่คาดคิดว่าจงเทียนอวี่จะรับคำท้า
หลิงเจิ้นส่ายหน้าอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขาก็ผิดหวังในตัวจงเทียนอวี่อย่างยิ่ง
ซ่งจื่อเซวียนจ้องมองจงเทียนอวี่แล้วพยักหน้าช้าๆ “ได้ แล้ว…เราจะแข่งกันยังไง”
“ฮ่าๆ ถ้าฉันทำอาหารซานตงคงจะเป็นการเอาเปรียบนาย นายเองก็ไม่จำเป็นต้องงัดข้าวผัดจักรพรรดิออกมาโชว์หรอก เอาอย่างนี้ดีกว่า เรามาเลือกส่วนผสม แล้วมาดูกันว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน ให้อาจารย์เป็นคนตัดสิน” จงเทียนอวี่พูดจบก็มองไปยังหลิงเจิ้น
สายตาที่มองหลิงเจิ้นในตอนนี้บ่งบอกชัดเจนว่าต้องการให้หลิงเจิ้นเป็นกลาง แม้ว่าคุณจะมีความสัมพันธ์กับซ่งจื่อเซวียน แต่ผมก็คือลูกศิษย์ของคุณ
“ได้สิ แล้ว…จะใช้ส่วนผสมอะไร”
จงเทียนอวี่ยิ้ม “อาจารย์ครับ ตามกฎของการแข่งขันทำอาหาร อาจารย์เป็นผู้กำหนดได้เลยครับ”
หลิงเจิ้นเหลือบมองจงเทียนอวี่แล้วพยักหน้า “ดี ในเมื่อนายยอมสละความเป็นศิษย์กับฉันเพื่อแข่งกับซ่งจื่อเซวียน ในฐานะอาจารย์ฉันก็จะสนับสนุน”
คำพูดของหลิงเจิ้นทำเอาจงเทียนอวี่รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เพื่อที่จะรั้งหลิงเข่อเอ๋อร์ไว้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
“ขอบคุณอาจารย์ครับ”
หลิงเจิ้นกลอกตาใส่เขา “เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันไม่อยากให้เสียบรรยากาศงานเลี้ยงวันนี้ การแข่งขันระหว่างนายกับซ่งจื่อเซวียน เอาเป็นพรุ่งนี้เย็นโอเคไหม”
เดิมทีซ่งจื่อเซวียนตั้งใจจะออกเดินทางพรุ่งนี้ แต่เนื่องจากรับคำท้าไว้แล้ว จึงได้แต่พยักหน้า
“ในเมื่อพวกนายไม่มีใครคัดค้าน งั้นก็ตกลงตามนี้ เอาล่ะ พวกนายออกไปได้แล้ว ฉันกับจื่อเซวียนจะดื่มกันต่อ!”
คำพูดของหลิงเจิ้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาไล่คนอื่นออกไปหมดยกเว้นซ่งจื่อเซวียน
หลังจากคนอื่นๆ ออกไปแล้ว หลิงเจิ้นพูดว่า “ขอโทษด้วยนะจื่อเซวียน ฉันสั่งสอนลูกศิษย์ไม่ดีเอง วันนี้ถึงได้สร้างความรำคาญให้กับนาย”
“ฮ่าๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ ดูเหมือนจงเทียนอวี่จะ…ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไร ไม่แปลกหรอกครับที่ทำแบบนี้” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมยิ้มให้
หลิงเจิ้นยกแก้วขึ้นดื่มแล้วพูดต่อว่า “เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอก สิ่งสำคัญคือมันเสียบรรยากาศงานเลี้ยงของเราต่างหาก”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา “ท่านผู้เฒ่าหลิงช่างมีอารมณ์ขันจริงๆ นะครับ แต่ว่าคุณไม่กังวลเลยหรือว่า…จงเทียนอวี่จะแพ้ผมน่ะ”
“เรื่องนั้นน่ะเหรอ…ฮ่าๆ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทียนอวี่ ปกติแล้ว…เขาไม่น่าจะทำแบบนี้”
“แต่จากฝีมือการทำอาหารของจงเทียนอวี่ก็รู้แล้วล่ะครับว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดของคุณ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางกับคีบลูกชิ้นหัวสิงโตใส่ปาก รสชาติอร่อยจริงๆ
หลิงเจิ้นพยักหน้า “เรื่องนี้ฉันรู้ดี จริงๆ แล้ว…ฉันรู้มาตลอด แต่ว่าจื่อเซวียน นายรู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงพาตู้ปั๋วไปไหนมาไหนด้วยเสมอ แทนที่จะเป็นจงเทียนอวี่น่ะ”
“ทำไมครับ”
“เด็กคนนี้เป็นคนเก่ง ขยันขันแข็ง แต่…ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนมากเล่ห์ร้อยกล บางทีฉันอาจจะคิดมากไปในฐานะอาจารย์ก็ได้ แต่ก็ด้วยเหตุนี้เอง ฉันเลยไม่กล้ามอบหมายงานสำคัญให้กับเขา”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างช้าๆ ความจริงตระกูลหลิงไม่ได้ผลิตแค่พ่อครัวออกมาเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่หลายแห่งที่ประสบความสำเร็จในมณฑลตงไห่
พูดกันตามตรง หลิงเจิ้นก็เหมือนกับนักธุรกิจใหญ่ การที่เขามอบหมายงานสำคัญให้กับใคร ไม่ได้แปลว่าเขายอมรับในฝีมือของคนคนนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องรู้สึกว่าคนคนนั้นไว้ใจได้
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ตู้ปั๋วมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
“ฮ่าๆ ถ้าท่านผู้เฒ่าหลิงต้องการ ผมยอมแพ้เขาก็ได้นะครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หลิงเจิ้นได้ยินก็หัวเราะออกมา “นี่นาย…มั่นใจมากสินะว่าศิษย์ของหลิงเจิ้นคนนี้จะแพ้น่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเองก็หัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน “เอ๋ ดูเหมือนท่านผู้เฒ่าหลิงจะมั่นใจในตัวจงเทียนอวี่มากเหมือนกันนะครับ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ว่า… สำหรับฉันแล้วนี่ก็เป็นโอกาสดี ที่ลูกศิษย์ของฉันจะได้ประมือกับยอดฝีมือ ฉันในฐานะอาจารย์ก็จะได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของเขาด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
เอาจริงๆ แล้ว เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก
ช่วงนี้ เขาเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทกับการบริหารร้านอาหารและบริษัท ทำให้ไม่มีเวลาฝึกปรือฝีมือการทำอาหารสักเท่าไร
พอนึกย้อนกลับไปในช่วงที่ผ่านมา เขาก็ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนทำข้าวผัดจักรพรรดิและน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเท่านั้น ไม่ได้ฝึกฝนอาหารประเภทอื่นๆ นัก
ดังนั้น การแข่งขันครั้งนี้…จึงถือว่าเป็นการเดิมพันที่แท้จริงสำหรับเขา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ คราวนี้ผมถูกคุณรั้งตัวไว้ตั้งหนึ่งวัน ผมว่า…จะขอเรียนรู้สูตรอาหารซานตงจากคุณสักสองสามเมนูจะได้ไหมครับ”
ได้ยินประโยคดังกล่าว หลิงเจิ้นก็หรี่ตาลงมองซ่งจื่อเซวียน จนซ่งจื่อเซวียนเริ่มรู้สึกอึดอัด
“ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ คือว่า…”
หลิงเจิ้นจึงเผยรอยยิ้มออกมา “นายนี่หัวหมอจริงนะ มาขอเรียนพิเศษตอนนี้ ตั้งใจจะเอาชนะลูกศิษย์ฉันหรือไง”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ ก่อนหน้านี้คุณบอกเองว่าจะสอนผมทำอาหารซานตง ตอนนี้ผมมีเวลาแล้ว คุณกลับบอกว่าผมมีเจตนาแอบแฝงงั้นเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมยิ้มให้
“ฮ่าๆๆๆ ซ่งจื่อเซวียน นายนี่เป็นคนเฮฮาจริงๆ ไปกันเถอะ ฉันจะพานายไปดูที่ห้องครัว!”
คำพูดของหลิงเจิ้นทำเอาซ่งจื่อเซวียนงุนงง ตาแก่คนนี้…อารมณ์แปรปรวนซะจริง…
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตามหลิงเจิ้นไปที่ห้องครัว
ความจริงแล้วในตระกูลหลิง หลิงเจิ้นมีห้องครัวและอุปกรณ์ทำครัวส่วนตัว รวมถึงตู้ปั๋ว จงเทียนอวี่ หรือหลี่เฉิงต่างก็มีห้องครัวส่วนตัวของตัวเองเหมือนกัน
แต่ห้องครัวที่พวกเขากำลังจะไปตอนนี้ เป็นห้องครัวที่พ่อครัวตระกูลหลิงใช้
ซ่งจื่อเซวียนมองไปรอบๆ แล้วก็เข้าใจทันที หลิงเจิ้นน่าจะระแวงเขาอยู่ไม่น้อย
“ฮ่าๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ ปกติแล้วคุณฝึกฝีมือการทำอาหารที่นี่เหรอครับ”
หลิงเจิ้นอึ้งกับคำถาม เพราะเขาไม่คาดคิดว่าซ่งจื่อเซวียนจะถามคำถามนี้
“เอ่อ… ไม่เสมอไปหรอก ทำไมรึ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ จื่อเซวียนมันคนต่ำต้อย มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือชอบดูของดีๆ ผมคิดว่า…ห้องครัวของคุณน่าจะมีแต่คอลเลกชันของสะสมใช่ไหมครับ”
หลิงเจิ้นมองซ่งจื่อเซวียนแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาพยักหน้า “ฮ่าๆๆ งั้น…ไปห้องครัวของฉันดีไหม”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ!” ซ่งจื่อเซวียนกำหมัดคารวะ
หลิงเจิ้นรู้สึกชอบซ่งจื่อเซวียนอย่างไม่อาจปิดบัง และยิ่งนานวันก็ยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ
ในมุมมองของเขา พ่อครัวคนหนึ่งควรจะมีพรสวรรค์ สติปัญญา และไหวพริบ สิ่งที่เรียกว่าไหวพริบก็คือความเฉลียวฉลาด
และซ่งจื่อเซวียนก็มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วนทั้งสามประการ
เด็กหนุ่มคนนี้ดูซื่อสัตย์ แต่ความจริงเขามีไหวพริบ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะถูกเอาเปรียบ
นั่นเป็นเหตุผลที่หลิงเจิ้นชอบเขาเป็นพิเศษ เขาคิดเสมอว่าถ้าพ่อครัวคนไหนซื่อสัตย์เกินไป ไม่สนว่าจะถูกเอาเปรียบหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจคือพวกเขาจะไม่สามารถคิดค้นอะไรใหม่ๆ ได้
เหมือนกับตู้ปั๋ว เขาซื่อสัตย์ต่ออาจารย์อย่างสุดซึ้ง แต่ด้วยนิสัยแบบนั้น ทั้งชีวิตจึงไม่มีวันเป็นยอดฝีมือในสายอาชีพของตนได้
…
แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนอาจจะยังไปไม่ถึงระดับสุดยอดในตอนนี้ แต่หลิงเจิ้นมั่นใจว่า ในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะเป็นบุคคลสำคัญในวงการอาหาร
เมื่อเข้าไปในห้องครัวส่วนตัวของหลิงเจิ้น ซ่งจื่อเซวียนก็ต้องเบิกตากว้าง นี่ไม่ใช่ห้องครัว แต่เป็นพิพิธภัณฑ์เลยก็ว่าได้
บนผนังติดตั้งชั้นวางของสามชั้น มีแต่มีดประมาณสิบเล่ม และจากภายนอกก็รู้ได้ว่าไม่ใช่วัสดุทั่วไป
อีกด้านหนึ่งเป็นกระทะและตะหลิวที่แขวนไว้เป็นชุด ดูแล้วสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือกระทะและตะหลิวที่ทำจากเหล็กเมฆม่วงแขวนอยู่บนผนัง สะท้อนแสงเงาเหมือนกระจก
แสงสีม่วงอ่อนๆ คล้ายกับจะแฝงพลังบางอย่างไว้ ทำให้ซ่งจื่อเซวียนไม่อาจละสายตา
“ฮ่าๆ เลิกดูได้แล้ว เดี๋ยวต่อไปนายก็ต้องมีสักชุดเหมือนกัน”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจคำพูดของหลิงเจิ้น แต่เดินไปที่เครื่องครัวเหล็กเมฆม่วง
เห็นได้ชัดว่ากระทะนี้แตกต่างจากกระทะอื่นๆ ไม่มีคราบสกปรกและน้ำมันจากการทำอาหาร ถูกเช็ดทำความสะอาดจนสะอาดเอี่ยมอ่อง
ด้ามจับของกระทะและตะหลิวมีลายนูนคล้ายกัน เหมือนจะเป็นลายเมฆมงคล เพื่อให้พ่อครัวสามารถจับได้มั่นคงขึ้น ไม่ลื่นหลุดมือ
แม้ว่าพ่อครัวที่เชี่ยวชาญจะไม่มีวันทำหลุดมือ แต่งานฝีมือนี้ก็ถือว่าช่วยให้สามารถใช้งานได้จนถึงขีดสุด งดงาม ยอดเยี่ยมจริงๆ!
วัสดุของฝาปิดกระทะน่าจะเป็นไม้หนานมู่เนื้อทอง ไม้หนานมู่เนื้อทอง ได้รับการยกย่องว่าเป็นไม้ที่ไม่เน่าเปื่อย ดังนั้นในสมัยโบราณจึงถูกนำมาใช้เป็นวัสดุทำโลงศพชั้นดี
โบราณวัตถุบางชิ้นถูกเก็บไว้ในกล่องไม้หอมทอง และยังคงสภาพสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือข้อดีของไม้หนานมู่เนื้อทอง
บนด้ามจับฝาปิดมีโลหะยึดไว้สองสามจุด น่าจะทำไปเพื่อป้องกันรอยแตก และวัสดุคือเหล็กเมฆม่วงเช่นกัน
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนจ้องมองด้วยความหลงใหล หลิงเจิ้นก็พยักหน้าอย่างช้าๆ พ่อครัวที่ไม่หลงใหลในเครื่องครัว แสดงว่าระดับยังไม่สูง
“ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ กระทะนี้…ทำขึ้นมาได้ยังไงครับ หาช่างตีเหล็กมาทำให้ก็พอแล้วเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ฮ่าๆ ดูถูกกระทะเหล็กเมฆม่วงนี้มากไปซะแล้วละมั้ง”
หลิงเจิ้นยิ้มแล้วพูดต่อว่า “การผลิตแบบสมัยใหม่จะคู่ควรกับเหล็กเมฆม่วงได้ยังไง มันต้องใช้เทคนิคดั้งเดิม บวกกับความชำนาญในการตีเครื่องครัว แถมต้องมีความคิดสร้างสรรค์สูง ถึงจะทำได้”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็รู้สึกท้อแท้ทันที เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะได้ครอบครองเครื่องครัวชั้นเลิศแบบนี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าการจะสร้างมันขึ้นมาจะยากเย็นถึงเพียงนี้
“ท่านผู้เฒ่าหลิงครับ กระทะนี้ของคุณ…”
“เมฆม่วงของฉันทำขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อน จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ที่ตู้เหมินบ้านพวกนายน่ะ”
“อ้าว ตู้เหมิน? ร้านไหนเหรอครับ ขากลับผมจะรีบแวะไปเลย!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความตื่นเต้น
หลิงเจิ้นส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ช่างคนนั้นแซ่เฉียน ตอนที่เขาตีกระทะนี้ให้ฉัน อายุเขาก็หกสิบสองปีเข้าให้แล้ว ถ้ายังอยู่ถึงตอนนี้ ก็น่าจะเกินร้อยปีได้ คง…ทำให้ไม่ได้แล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเหมือนไฟความหวังเพิ่งจะลุกโชน แต่ไม่ทันไรก็มอดดับเสียแล้ว…
……………………………………………..