เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 235 ฉันขอท้านาย
ตอนที่ 235 ฉันขอท้านาย
จากนั้น หลิงเจิ้นจึงสั่งให้พวกลูกศิษย์นั่งเก้าอี้ นี่ถือเป็นงานเลี้ยงที่หาได้ยากสำหรับบ้านตระกูลหลิง
เนื่องจากฝีมือการทำอาหารของหลิงเจิ้นอยู่ขั้นสุดยอดแล้ว ความดึงดูดใจของอาหารเลิศรสจึงไม่เหมือนก่อน
แทบจะไม่มีอาหารชนิดไหนถูกปากเขา
จึงเป็นเหตุผลที่เขาอยากให้ซ่งจื่อเซวียนช่วยประเมิน
อาหารแบบนี้สำหรับหลิงเจิ้นแล้วเขาไม่อยากชิมเลยด้วยซ้ำ เขายอมที่จะดื่มเหล้าขาว กินกับแกล้มดีกว่า
พอยกแก้วขึ้นมา ก็ถือว่าได้เริ่มทานอาหารอย่างเป็นทางการ
หลิงเจิ้นขยับเข้าไปใกล้ซ่งจื่อเซวียนแล้วพูดเสียงเบาว่า “จื่อเซวียน นาย…ให้คะแนนหน่อยไหม”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความหมายของหลิงเจิ้นทันที เมื่อครู่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ตัวเองพูด แต่กลับมากระซิบถามตอนนี้เพราะไม่อยากทำร้ายความกระตือรือร้นของลูกศิษย์
ซ่งจื่อเซวียนป้องปากพูด “จงเทียนอวี่มีพรสวรรค์ไม่เลว ท่านผู้เฒ่าหลิง ถ้าผมเดาไม่ผิด…ลูกชิ้นหัวสิงโตตงไห่มีวิธีการปรุงที่ไม่ง่าย และต้องมีพลังช่วยเสริม”
หลิงเจิ้นได้ยินคำตอบก็แอบยิ้ม ซ่งจื่อเซวียนพูดถูก ตอนที่จงเทียนอวี่ทำลูกชิ้นหัวสิงโต มีการใช้กำลังภายในอยู่
ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ฝีมือการทำอาหารของจงเทียนอวี่พัฒนาขึ้นเร็วมาก กระทั่งสามารถปล่อยกำลังภายในออกมาเพื่อช่วยในการปรุงอาหารได้
จึงเป็นเหตุผลที่ลูกชิ้นหัวสิงโตมีรสชาติดี เพราะไม่ว่าขั้นตอนการกวนไส้หรือการนึ่งในหม้อให้สุก อีกฝ่ายเค้นกำลังภายในออกมาด้วย
“จื่อเซวียน ฉันรู้อยู่แล้วว่านายไม่ธรรมดา เข้าใจการปล่อยกำลังภายในออกมาข้างนอกด้วยสินะ ข้าวผัดจักรพรรดิของนายก็เป็นแบบนี้เหมือนกันใชไหม”
หลิงเจิ้นพูดจบก็ทำให้ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง นับว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ เขาเคยคิดว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่สามารถควบคุมกำลังภายในได้ ไม่น่าเชื่อว่าลูกศิษย์ของหลิงเจิ้นจะทำเป็นเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าหลิงเจิ้นก็ทำเป็นเช่นกันอย่างแน่นอน
“เหอะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิง โดนคุณจับได้ซะแล้ว”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่รู้ว่าข้าวผัดจักรพรรดิมีการใช้กำลังภายในมาเสริม แต่ไม่รู้สูตรอาหาร และแกะเคล็ดลับของนายไม่ได้หรอก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินประโยคนี้ก็วางใจ ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะตนก็ทำตามสูตรอาหาร
ถึงแม้พ่อครัวคนอื่นจะรู้ว่าต้องใช้กำลังภายในมาเสริม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหากอยากจะใช้วิธีการเสริมพลังเช่นนี้มาแกะสูตรอาหาร
“เหอะๆ ลองพูดของอีกสองคนหน่อยสิ”
“ตู้ปั๋วน่าจะทำอาหารตามสูตรทั่วไป รสชาติไม่ผิดเพี้ยน แต่ไม่มีจุดเด่น น่าจะเป็นตามลักษณะนิสัยเขาครับ”
หลิงเจิ้นพยักหน้าช้าๆ อันที่จริงไม่ได้ชิมเขาก็พอเดาออก ด้วยนิสัยของตู้ปั๋ว สามารถทำอาหารได้ระดับนี้ ถือว่าสุดยอดแล้ว
ถ้าอยากจะทำลายคอขวดก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ด้วยนิสัยของตู้ปั๋วแล้วถือว่ายากเกินไปจริงๆ
“ส่วนหลี่เฉิง…เหอะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิง ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี”
หลิงเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “กินไม่ได้เลยใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและพยักหน้าเบาๆ
หลิงเจิ้นก็หัวเราะออกมา “หลี่เฉิงน่ะ ไม่เหมาะกับอาชีพพ่อครัวเลยด้วยซ้ำ นายคงไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงรับเขาเป็นศิษย์ใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า
“มีครั้งหนึ่งที่หน่วยราชการมณฑลตงไห่ต้องต้อนรับแขกต่างประเทศ เลยให้ฉันไปทำอาหารสองสามอย่าง ผลปรากฏว่าไอ้เด็กคนนี้คอยเป็นลูกมือช่วยฉันตลอด เรียกฉันว่าอาจารย์ ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่สุดท้าย…เขาก็กลายเป็นลูกศิษย์ของฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนอดแปลกใจไม่ได้ “หืม คุณก็ยอมรับไปเลยเหรอครับ”
“ฮ่าๆๆ ไอ้หนุ่ม นายลองคิดดูนะ ตอนนั้นมีผู้นำหลายคนอยู่ ไอ้เด็กคนนี้กลับพรุ่งตรงเข้ามาหาฉัน ฉันเห็นว่าฉลาดทีเดียวก็เลยรับมา แต่ใครจะไปคิดว่า…ทักษะการทำอาหารไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความฉลาดเลยด้วยซ้ำ ต้องมีพรสวรรค์ด้วยต่างหาก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ ในเรื่องการทำอาหาร ความฉลาดเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง แต่ตัวช่วยที่แท้จริงยังต้องดูที่พรสวรรค์
คนคนนี้ไม่เหมาะทำอาชีพพ่อครัว ต่อให้ฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
ทว่าเรื่องนี้ทำให้หลิงเจิ้นจนใจเหมือนกัน ลูกศิษย์ก็รับมาแล้ว แต่ทำอาหารดีๆ ออกมาไม่ได้เลยจริงๆ จึส่งต่อเขาให้จงเทียนอวี่ สั่งให้จงเทียนอวี่มาสอน จะได้ให้หลี่เฉิงเป็นลูกมือของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ
พูดตามตรงคือหลิงเจิ้นยอมทิ้งหลี่เฉิงไปนานแล้ว
ดังนั้นที่พูดออกมาตอนนี้ ตัวของหลิงเจิ้นเองก็ยังมองเป็นเรื่องตลกเหมือนกัน พูดแซวตัวเองเป็นบางครั้งเพื่อความสุข
จากนั้นจึงชนแก้วอีกครั้ง หลิงเจิ้นมองไปที่ทุกคน
“เรื่องที่ฉันประกาศต่อไปนี้ก็คือ หลิงเข่อเอ๋อร์หลานสาวสุดที่รักของฉัน วันนี้ได้คารวะพ่อครัวซ่งจื่อเซวียนเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการแล้ว ฉันขอใช้โอกาสงานเลี้ยงของพวกเราในครั้งนี้ ทำพิธีคารวะอาจารย์ให้พวกเขา”
พอเขาพูดจบ ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไป
ซึ่งรวมถึงซ่งจื่อเซวียนกับหลิงเข่อเอ๋อร์ด้วย
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าชายชราคนนี้จะมัดมือชกทันที คารวะอาจารย์…แถมยังต้องทำพิธีด้วย?
จงเทียนอวี่เบิกตาโตมองหลิงเจิ้น จากนั้นก็มองซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเปลี่ยนจากตกใจเป็นความโกรธเคือง
อาจารย์สติฟั่นเฟือนไปแล้วแหรอ รั้งคนคนนี้ให้อยู่ต่อหนึ่งวันก็พอแล้ว ตอนนี้ยังสั่งให้เข่อเอ๋อร์คารวะเขาเป็นอาจารย์อีก
ถ้าอย่างนั้น…ก็เท่ากับยอมรับให้เข่อเอ๋อร์ไปจากตงไห่ ตามคนคนนี้ไปยังตู้เหมิน
จงเทียนอวี่ขมวดคิ้ว ไม่ได้ ฉันชอบเข่อเอ๋อร์มาตั้งหลายปี เธอเป็นของฉัน…ไม่มีใครจะพาเธอไปไหนได้!
“อาจารย์ คารวะอาจารย์งั้นเหรอ” จงเทียนอวี่ลุกขึ้นพูด
หลิงเจิ้นพยักหน้า “ใช่ ฉันตัดสินใจแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เข่อเอ๋อร์จะเป็นลูกศิษย์ของซ่งจื่อเซวียน”
พูดจบ หลิงเจิ้นก็มองไปที่หลิงเข่อเอ๋อร์ “สาวน้อย คารวะอาจารย์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อาจารย์ก็เหมือนพ่อ เธอยินดีคารวะเป็นศิษย์ของซ่งจื่อเซวียนหรือเปล่า”
หลิงเข่อเอ๋อร์พยักหน้าเต็มที่ “คุณปู่ หนูยินดีค่ะ”
หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาช่วงหนึ่ง หลิงเข่อเอ๋อร์เคารพซ่งจื่อเซวียน กระทั่งเลื่อมใสในตัวเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือเงื่อนไขที่สำคัญของการคารวะเป็นอาจารย์
“โอเค อย่างนั้นก็ทำพิธียกน้ำชาเลย”
หลิงเจิ้นพูดและทำสัญญาณมือไปด้านข้าง คนใช้คนหนึ่งถือชาหนึ่งถ้วยเดินมาตรงหน้าหลิงเข่อเอ๋อร์
“ค่ะ คุณปู่”
หลิงเข่อเอ๋อร์ตอบรับพลางลุกขึ้นไปยกน้ำชา
แต่ในตอนนี้เอง จงเทียนอวี่กลับลุกขึ้นพูดว่า “อาจารย์ ผมคิดว่า…อาจารย์น่าจะลองพิจารณาอีกครั้งนะครับ”
ทุกคนล้วนมองไปที่จงเทียนอวี่
หลิงเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบตามองจงเทียนอวี่ “เที่ยนอวี่ นายหมายความว่ายังไง นายกำลังสงสัยการตัดสินใจของฉันงั้นเหรอ”
“อาจารย์ เทียนอวี่ไม่กล้าหรอกครับ แต่เทียนอวี่คิดว่าคนตระกูลหลิงของพวกเราคารวะคนนอกเป็นอาจารย์ ถ้าพูดเรื่องนี้ออกไป จะไม่เป็นเรื่องตลกในวงการเหรอครับ” จงเทียนอวี่พูด
หลิงเจิ้นขึงตามองจงเทียนอวี่ “ถ้างั้นนายคิดว่าต้องทำยังไง”
“ตระกูลหลิงคือยอดฝีมือเรื่องทำอาหารในประเทศจีน ถึงแม้เข่อเอ๋อร์จะไม่คารวะอาจารย์ที่นี่ ก็สามารถเรียนรู้ทักษะการทำอาหารขั้นสุดยอดของจีนได้ ทำไมต้องคารวะคนคนนี้เป็นอาจารย์ด้วยล่ะครับ” จงเทียนอวี่พูดพลางมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
เห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ
เขารู้ว่าท่านผู้เฒ่าหลิงจะช่วยพูดหลังจากนี้
“ทักษะการทำอาหารของตระกูลหลิงถ่ายทอดให้ผู้ชายไม่ถ่ายทอดให้ผู้หญิง ถ่ายทอดข้างนอกไม่ถ่ายทอดข้างใน ฉันเลยอยากหาอาจารย์ที่ดีสักคนให้กับเข่อเอ๋อร์” หลิงเจิ้นพูด
จงเทียนอวี่ฟังน้ำเสียงหมดความอดทนของหลิงเจิ้นออก
หากเป็นเรื่องอื่น ตอนนี้เขาจะปิดปากเงียบไม่พูด เพื่อไม่ให้อาจารย์โกรธ
แต่เรื่องนี้…เขาทนไม่ได้
เพราะวันนี้เขาจะไม่ยอมให้เข่อเอ๋อร์คารวะคนคนนี้เป็นอาจารย์!
“อาจารย์พูดถูก แต่มีเชฟคนไหนในตระกูลหลิงที่สู้ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้บ้างล่ะครับ”
หลิงเจิ้นมองไปยังจงเทียนอวี่ ไม่พูดอยู่นาน แต่แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความโกรธและตำหนิ
ทุกคนมองล้วนมองสีหน้าของหลิงเจิ้นออก เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธแล้ว
เวลานี้ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ จงเทียนอวี่ก็เช่นกัน
ซ่งจื่อเซวียนนั่งมองอยู่ข้างๆ ต่อไป พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า
“อาจารย์ เทียนอวี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น หลักๆ แล้วคือเขาเป็นห่วงเข่อเอ๋อร์ เพราะงั้น…”
ตู้ปั๋วอยากจะพูดอธิบาย หลิงเจิ้นหันไปถลึงตาใส่เขา เขาจึงหยุดทันที
หลิงเจิ้นค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปข้างหลังจงเทียนอวี่
เวลานี้ จงเทียนอวี่รู้สึกเหงื่อเต็มหลัง ต้องพูดว่า ถึงแม้จงเทียนอวี่จะมีนิสัยโอหัง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ กลับโดนอีกฝ่ายสยบราบคราบ
“จงเทียนอวี่ นายอยากจะทำอะไร”
“อาจารย์ ผม…” จงเทียนอวี่ก็ลุกขึ้นเหมือนกัน เพราะอาจารย์เดินมาแล้ว เขาไม่สามารถนั่งพูดกับอาจารย์ได้
“ผมไม่อยากให้เข่อเอ๋อร์ไปกับคนแปลกหน้า ความกังวลของอาจารย์ก่อนหน้านี้พวกเราก็เห็นอยู่กับตา และ…พวกเราก็ไม่รู้จักคนคนนี้เลยด้วยซ้ำ”
หลิงเจิ้นพยักหน้าเบาๆ “ไม่รู้จักงั้นเหรอ นั่นมันนายต่างหาก เข่อเอ๋อร์อยู่ตู้เหมินก็รู้จักกับซ่งจื่อเซวียนมากพอแล้ว ฉันก็เห็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือฝีมือการทำอาหาร เขาสามารถเป็นอาจารย์ของเข่อเอ๋อร์ได้”
จงเทียนอวี่ฟังออกว่าอาจารย์ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
แต่เขาไม่อยากให้ความพยายามมานานหลายปีของตัวเองต้องเสียเปล่า หากไม่ได้คบหากับหลิงเข่อเอ๋อร์ เขาไม่สามารถเข้าตระกูลหลิงได้อย่างแน่นอน
“นิสัยผมไม่รู้ แต่ฝีมือการทำอาหาร…อาจารย์ เกรงว่าคนในตระกูลหลิงที่เก่งกว่าเขาก็น่าจะมีอยู่นะครับ”
จงเทียนอวี่รวบรวมความกล้าพูดออกไป
หลิงเจิ้นหรี่ตามองจงเทียนอวี่ ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่าลูกศิษย์ของตัวเองเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
เขาไม่เคยเห็นจงเทียนอวี่ต่อต้านเขาอย่างเด็ดเดี่ยวแบบนี้มาก่อน ไปกินหัวใจหมีดีเสือดาวมาเหรอ
“ได้สิ งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน อย่าโทษว่าอาจารย์ไม่ให้โอกาสนาย เทียนอวี่ นายไปหาคนในตระกูลหลิงมาหนึ่งคน ถ้ามีคนที่เอาชนะซ่งจื่อเซวียนเรื่องการทำอาหารได้ ฉันก็จะถอนคำพูดในวันนี้!”
จงเทียนอวี่กัดฟันเงียบไปครู่หนึ่ง
คนที่อยู่โดยรอบยิ่งไม่มีใครกล้าพูด ยังไม่ต้องพูดว่าพวกเขาแพ้ฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนหรือไม่ แต่ตอนนี้หลิงเจิ้นกำลังโมโหอยู่ เวลานี้ใครจะกล้าออกหน้ากัน
“ได้ครับอาจารย์ ถ้างั้นผมจะลองดู” จงเทียนอวี่พูดพลางมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ซ่งจื่อเซวียน ฉันขอท้านาย!”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มให้ “ท้าผมงั้นเหรอ ได้สิ ว่าแต่ชนะแล้วจะเป็นยังไง แพ้แล้วจะเป็นยังไงเหรอ”
“ถ้านายชนะฉัน นายก็พาเข่อเอ๋อร์ไปได้ และฉันจะยอมให้เธอเป็นลูกศิษย์ของนาย แต่ถ้านายแพ้…ซ่งจื่อเซวียน ฉันอยากให้นายล้มเลิกความคิดนี้ อย่าคิดจะคารวะอาจารย์เข้าตระกูลหลิงอีก!”
ชัดเจนว่าจงเทียนอวี่มั่นอกมั่นใจคิดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของซ่งจื่อเซวียนคือการได้เป็นลูกศิษย์ของหลิงเจิ้น
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เหอะๆ ผมเข้าใจแล้ว พูดตรงๆ ก็คือไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็เป็นเรื่องของผมคนเดียว คุณไม่มีอะไรได้เสียเลยใช่ไหม”
“แล้วนายจะเอายังไง” จงเทียนอวี่ถาม
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าคุณชนะก็ทำตามที่คุณพูด แต่ถ้าผมชนะ…”
พูดถึงตรงนี้ ทุกคนมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน อย่างไรนี่ก็คือการท้าแข่ง จึงต้องพูดบทลงโทษเมื่อพ่ายแพ้ออกมา
ซ่งจื่อเซวียนเผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา “คุณต้องออกจากสำนักของอาจารย์!”
เขาพูดประโยคนี้จบ ทุกคนก็พ่นลมหายใจเย็นออกมา ต้องพูดเลยว่า ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้จะโหดไปนิดหน่อย แต่เพราะนี่คือการเดิมพัน ก็ต้องมีการวางเดิมพันอยู่แล้ว
ทุกคนมองไปยังจงเทียนอวี่ ท่าทีต่อจากนี้ของเขาจะเป็นการสื่อว่าว่าการแข่งขันนี้จะได้เริ่มขึ้นหรือไม่
จงเทียนอวี่หัวเราะอย่างร้ายกาจแล้วกัดฟันพูด “ได้เลย ทำตามที่นายพูดนั่นแหละ!”
………………………………………………….