เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 234 ลูกชิ้นหัวสิงโตตงไห่
ตอนที่ 234 ลูกชิ้นหัวสิงโตตงไห่
ตอนเย็น หลิงเจิ้นสั่งลูกศิษย์สามคนของตัวเองเข้าไปทำอาหารที่ครัวด้านหลัง ขณะที่ต้อนรับซ่งจื่อเซวียน ก็ให้เขาได้ชิมอาหารจีนซานตงแบบต้นตำรับไปด้วย
ภายในห้องอาหาร มีของกินเล่นสองสามอยู่บนโต๊ะก่อนแล้ว
แค่ของกินเล่นสองสามอย่างนี้ ก็สวยงามประณีตเป็นอย่างมากแล้ว
หลิงเจิ้นหยิบเหล้าเก่าที่ตัวเองเก็บไว้นานหลายปีออกมารินให้ซ่งจื่อเซวียนหนึ่งแก้ว “จื่อเซวียน ตอนเจอกันที่ตู้เหมินฉันเห็นนายดื่มเหล้าเก่งเหมือนกัน วันนี้พวกเราดื่มกันให้สุดๆ ไปเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ “ท่านผู้เฒ่าหลิงทำดีกับผมเกินไปแล้วครับ ผมได้ยินตู้ปั๋วพูดว่าคุณหยิบเหล้าที่เก็บสะสมออกมา จื่อเซวียนรู้สึกละอายใจมากครับ”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องพูดจาสุภาพขนาดนั้นหรอก นายตามหาเข่อเอ๋อร์ของฉันจนเจอ ฉันควรจะขอบใจนายดีๆ อีกทั้งฉันกับนายมีวาสนาต่อกันขนาดนี้ เหล้านี้ถือว่าใช้ต้อนรับแขกคนสำคัญ นายก็คือคนสำคัญคนนั้น!”
หลิงเจิ้นพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกอายอยู่บ้าง เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ถ้างั้นผมขอดื่มคารวะก่อน ในอาณาจักรของคุณ ผมขอดื่มให้คุณหนึ่งแก้วครับ”
หลังจากพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ดื่มหมดแก้ว หลิงเจิ้นพยักหน้ายิ้ม “เด็กดี เยี่ยมมาก!”
จากนั้น หลิงเจิ้นก็ดื่มหมดแก้วเช่นกัน “จื่อเซวียน เมืองหนานไถของพวกเราไม่ใช่เมืองใหญ่เหมือนตู้เหมิน แต่กลับเป็นต้นกำเนิดของอาหารซานตง นายอยากลองชิมอาหารก่อนไหม”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “ท่านผู้เฒ่าหลิงเกรงใจเกินไปแล้วครับ ของกินเล่นสองสามอย่างนี้ก็ทำให้ผมตาลายแล้ว ไม่รู้ว่ากินอันไหนก่อนดี”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดเกินไป ตระกูลหลิงเป็นตระกูลใหญ่ในมณฑลตงไห่ อาหารหนึ่งมื้อของคนตระกูลใหญ่แทบจะมากพอเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งสัปดาห์ของคนทั่วไปได้
อย่ามองว่าเป็นของกินเล่นธรรมดาเท่านั้น เพราะของกินเล่นพวกนี้มีความประณีตอย่างมาก แค่มองก็ทำให้คนอยากอาหารแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนคีบหอยที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ขึ้นมา พยักหน้าเอ่ยว่า “พ่อครัวที่บ้านของท่านผู้เฒ่าหลิงเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงเหมือนกันใช่ไหมครับ หอยทะเลมีรสสัมผัสแบบนี้ได้ แถมยังสดใหม่ไม่เลี่ยน ยอดเยี่ยมมากเลยครับ”
หลิงเจิ้นได้ยินแล้วก็กระซิบพูดข้างหูซ่งจื่อเซวียน “จื่อเซวียน ถ้านายไม่รีบกลับ ฉันสามารถสอนนายทำอาหารซานตงได้สองสามอย่างนะ”
ซ่งจื่อเซวียนตะลึงไปเล็กน้อย ต้องบอกเลยว่านี่คือสิ่งล่อใจที่แท้จริง
ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลิงเจิ้น พ่อครัวในวงการจะมีสักกี่คนที่โชคดีขนาดนี้
แต่พอลองคิดดู เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่จังหวะอาจจะไม่ถูกต้อง
ทางตู้เหมิน ถึงแม้จะมอบบริษัทให้ซ่งอีหนานดูแลแล้ว แต่ถ้าเกิดเรื่องใหญ่ ก็ต้องให้เขาเป็นคนแก้ปัญหา
อีกอย่างร้านอาหารร่ำรวยจะเว้นการทำข้าวผัดจักรพรรดิไปนานไม่ได้ บวกกับสวนสวินเฟิงก็เพิ่งเปิดกิจการ…
เรื่องเหล่านี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนหนักใจ เขารู้สึกว่าการทุ่มเทแรงกายแรงใจเรียนทำอาหารนั้นยากจริงๆ…
“ท่านผู้เฒ่าหลิง ผมขอรับน้ำใจของคุณไว้นะครับ แต่เรื่องที่ตู้เหมินมีเยอะมากจริงๆ ผม…เกรงว่าต้องกลับไปจัดการก่อน”
“เฮ้อ จื่อเซวียน พ่อครัวจีนที่มีชื่อเสียงมีไม่น้อย มีคนไหนบ้างไม่มีลูกศิษย์ทั่วประเทศ มีเพียงฉันหลิงเจิ้นคนเดียวที่ไม่เป็นแบบนั้น ใครก็รู้ว่าอยากจะคารวะเข้าประตูของฉันยากเหมือนขึ้นสวรรค์
ฉันมีลูกศิษย์สามคน แต่พรสวรรค์มีจำกัด ตอนที่เจอนายฉันก็มีความรู้สึกว่า ในที่สุดศิษย์คนโปรดของทั้งชีวิตหลิงเจิ้นคนนี้ก็ปรากฏตัวแล้ว แต่นายดัน…เฮ้อ…”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกผิดอยู่ในใจ เพราะหลิงเจิ้นถูกตัวเองปฏิเสธน้ำใจครั้งแล้วครั้งเล่า จึงรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูกอยู่บ้าง
หลิงเข่อเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “นี่นายท่านรอง ความจริงต่อให้คุณมีฝีมือการทำอาหารมาก แต่คารวะเป็นศิษย์ของคุณปู่ฉันก็ไม่เสียหายนี่นา อย่างน้อยพูดชื่อนี้ออกไปก็ถือว่าดังอยู่นะคะ”
หลิงเจิ้นพยักหน้า “พูดแบบนี้ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร แต่ก็ถูกต้อง ถึงแม้นายจะเป็นลูกศิษย์ของฉันแค่ในนาม ฉันก็ดีใจแล้ว”
“เอ่อ…ท่านผู้เฒ่าหลิง เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรครับ มาครับ พวกเราดื่มเหล้ากันเถอะ”
เห็นซ่งจื่อเซวียนเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น หลิงเจิ้นจึงส่ายหน้าด้วยความจนใจก่อนยกเหล้าดื่มหมดแก้ว
เวลานี้ ลูกศิษย์ทั้งสามคนของหลิงเจิ้นเดินมาที่ห้องอาหารแล้ว ทว่าพวกเขาไม่ได้เดินไปที่โต๊ะอาหารในทันทีแต่รอให้หลิงเจิ้นเรียกก่อน
นี่คือกฎของตระกูลใหญ่ หลิงเจิ้นไม่พูด พวกเขาก็ยังไม่สามารถเสิร์ฟอาหารได้
เห็นพวกตู้ปั๋วแล้วหลิงเจิ้นก็ยิ้มบางๆ “จื่อเซวียน ลูกศิษย์ทั้งสามคนของฉันทำอาหารคนละอย่างมา นายลองชิมดู แล้วช่วยฉันตัดสินหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนหันไปมองคนทั้งสาม ตู้ปั๋วยังคงยิ้มอย่างคนซื่อเหมือนเดิม แต่จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงไม่ใช่แบบนั้น ทั้งสองคนไม่ค่อยอยากทำอาหารให้ซ่งจื่อเซวียนอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะจงเทียนอวี่ กระทั่งมองด้วยสายตาของศัตรูเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ตัวเขายืนอยู่ตรงนั้น แต่สายตาที่มองมายังซ่งจื่อเซวียนเหมือนกับใบมีดที่แหลมคม แฝงความคิดอยากโจมตีและยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจเขา หันไปมองหลิงเจิ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่าหลิงพูดจริงจังเกินไปแล้วครับ คุณเป็นถึงพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนือ ลูกศิษย์ของคุณจะให้ผมเป็นคนตัดสินได้ยังไงครับ”
พอได้ยินประโยคนี้ จงเทียนอวี่ก็หัวเราะเยาะหนึ่งที แอบพูดในใจว่า ‘หึ ถือว่านายรู้จักกาลเทศะ อย่างนายคู่ควรจะตัดสินอาหารของฉันเหรอ’
หลิงเจิ้นกลับยิ้มให้ “นายมีตรงไหนที่แย่กว่าพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนืออย่างฉันบ้างล่ะ”
พอเขาพูดเช่นนี้ออกไป ก็เกิดความตกตะลึงไปทั่วทั้งห้อง
พูดได้เลยว่า นอกจากฟางรุ่ยกับหลิงเข่อเอ๋อร์ ทุกคนล้วนตกตะลึงสุดขีด
ฟางรุ่ยติดตามซ่งจื่อเซวียนมาตลอด ในสายตาของเขา ซ่งจื่อเซวียนคือพ่อครัวขั้นเทพ ส่วนคนอื่นไม่มีชื่อเสียงอะไรเขาจึงไม่สนใจ เพราะซ่งจื่อเซวียนเก่งที่สุดแล้ว
ส่วนหลิงเข่อเอ๋อร์ในช่วงที่อยู่ตู้เหมินก็ได้สัมผัสความมหัศจรรย์ในฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนอย่างลึกซึ้งแล้ว อาหารเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้ร้านหนึ่งโด่งดังได้
ไม่ว่าจะเป็นที่ต้าสือไต้หรือร้านอาหารร่ำรวย เธอได้เป็นพยานแล้ว ฝีมือการทำอาหารแบบนี้…มีไม่มากในประเทศจีน
แต่คนของตระกูลหลิงไม่เหมือนกัน ในสายตาของพวกเขา ฝีมือการทำอาหารของหลิงเจิ้นคือระดับปรมาจารย์ นอกจากโอวหยางเฟิ่งเหยาพ่อครัวขั้นเทพแห่งภาคใต้แล้ว ใครจะยังเทียบเคียงได้อีก
คิดไม่ถึงเลย หลิงเจิ้นกลับพูดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพ่อครัวขั้นเทพทางเหนืออย่างเขางั้นเหรอ
แบบนี้มันโอเวอร์เกินไปแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนอึ้งไป “เอ่อ…ท่านผู้เฒ่าหลิงอยากให้ผมตัดสินยังไงครับ”
“เหอะๆ ง่ายมาก ฉันทำยังไงที่ตู้เหมิน ตอนนี้นายก็ทำแบบนั้น ไม่ต้องให้คะแนน แต่ต้องช่วยฉันทดสอบคุณภาพของเด็กสามคนนี้”
ซ่งจื่อเซวียนลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ได้ครับท่านผู้เฒ่าหลิง งั้นผมจะลองชิมดูครับ”
หลิงเจิ้นยิ้มให้เล็กน้อย “เอาล่ะ พวกนายสามคนเอาอาหารมาวางข้างๆ ซ่งจื่อเซวียนเถอะ”
พวกเขาวางอาหารไว้ตรงหน้าซ่งจื่อเซวียน โดยตู้ปั๋วเป็นคนนำมาด้านหน้าสุด ตามมาด้วยจงเทียนอวี่และหลี่เฉิงตามลำดับ
ตอนที่นำอาหารมาเสิร์ฟ จงเทียนอวี่กัดฟันแน่น เสิร์ฟอาหารให้คนแบบนี้ ทำให้ส่วนลึกในใจของเขารู้สึกโดนดูถูก
และซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นท่าทางนี้แล้ว
เพียงแต่ในสายตาของซ่งจื่อเซวียน ทั้งสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย บางทีชาตินี้คงไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว เขาจึงไม่คิดสน
เขามองอาหารทั้งสามอย่างตรงหน้า ตู้ปั๋วทำผัดเปรี้ยวหวานปลาหลี่ฮื้อ จงเทียนอวี่ทำลูกชิ้นหัวสิงโตตงไห่ ส่วนหลี่เฉิงทำปลิงทะเลเคี่ยวต้นหอม
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้รีบร้อนหยิบตะเกียบ แต่มองก่อน ผัดเปรี้ยวหวานปลาหลี่ฮื้อสีสันไม่เลว ไม่ได้อาศัยน้ำมะเขือเทศทำเป็นสีแดง แต่เป็นสีเหลืองอำพัน ทำให้ยิ่งรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นอย่างชัดเจน
ในยุคปัจจุบันอาหารที่ทำจากมะเขือเทศมีมากขึ้นเรื่อยๆ อาหารที่มีสีแดงเป็นความงามที่เห็นจนเบื่อแล้ว แต่ผัดเปรี้ยวหวานปลาหลี่ฮื้อนี้ชนะในเรื่องสีสันมากกว่าจริงๆ
ลูกชิ้นหัวสิงโตตงไห่ของจงเทียนอวี่กลับด้อยกว่า ไม่มีความฉ่ำบนพื้นผิว ลูกชิ้นจึงดูแห้งไปนิด น้ำซุปที่อยู่ก้นจานก็ไม่มีสีสัน ทำให้ยิ่งจืดชืดเสียความได้เปรียบอย่างชัดเจน
สุดท้ายปลิงทะเลเคี่ยวต้นหอมของหลี่เฉิง พื้นผิวมีความมันชัดเจน ทำให้ปลิงทะเลดูสดใหม่และมีรสสัมผัสที่ดี ต้นหอมใช้ต้นหอมสีขาวและสีเขียวมาประดับตกแต่ง
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า สีสัน รสชาติและกลิ่น ด้านสีสันจงเทียนอวี่น่าจะด้อยกว่า
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงหยิบตะเกียบขึ้นมา เนื่องจากมีอาหารเต็มโต๊ะ กลิ่นอาหารปะปนกันหมดแล้ว จึงเปรียบเทียบเรื่องกลิ่นไม่ได้ เขาจึงเลือกชิมในทันทีแทน
ผัดเปรี้ยวหวานปลาหลีฮื้อกรอบนอกนุ่มใน มีรสชาติเปรี้ยวหวานชัดเจน แต่พอทานเป็นเมนูแรกจึงรู้สึกหวานเลี่ยนไปเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ หากคนเป็นคนทำ อาจจะใส่เกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ ก็จะสามารถแก้ความหวานเลี่ยนได้
รสชาติไม่เลว แต่ทำตามแบบแผนไป ซ่งจื่อเซวียนมองตู้ปั๋วหนึ่งที รู้สึกว่าอาหารจานนี้เข้ากับนิสัยของตู้ปั๋ว
ทุกอย่างดูมั่นคงมาก แต่ทำตามรูปแบบเดิมเกินไป ไม่ได้ใส่ความคิดของตัวเองลงไปด้วย
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่ลูกชิ้นหัวสิงโตตงไห่ของจงเทียนอวี่
แต่เนื่องจากสีสันด้อยกว่า ซ่งจื่อเซวียนจึงข้ามไปคีบปลิงทะเลมากินหนึ่งคำ
เห็นการกระทำเช่นนี้ จงเทียนอวี่ก็หรี่ตาเล็กน้อย ทำเสียงฮึดฮัดหนึ่งที
เป็นคนนอกวงการอย่างที่คิดจริงๆ ยังจะมาแสร้งทำตัวเป็นยอดเชฟอะไรอีก!
พอปลิงทะเลเข้าปาก ซ่งจื่อเซวียนก็ขมวดคิ้ว เมื่อเทียบกันแล้ว ด้อยกว่าปลาหลีฮื้ออยู่ไม่น้อย
ถึงแม้ตู้ปั๋วจะทำตามแบบแผน แต่รสชาติกลับอยู่เหนือกว่า ส่วนปลิงทะเลนี้…
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบตามองหลี่เฉิง หรือว่าอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ เขาจึงจับแก่นแท้ของอาหารจานนี้ไม่ได้
ปลิงทะเลรสชาติไม่ถึง ความพิถีพิถันของเมนูนี้คือความอ่อนนุ่ม หอม แต่หลี่เฉิงกลับเน้นเรื่องสีสัน ต้องใช้แรงเคี้ยวปลิงทะเลเยอะเกินไป รสชาติไม่ได้ สูญเสียจิตวิญญาณของเมนูนี้ไป
อาหารจานนี้เกรงว่าถ้าอยู่ในร้านอาหารใหญ่คงไม่ผ่านมาตรฐาน
เขาไม่เข้าใจ คนแบบนี้กลับเป็นลูกศิษย์ของพ่อครัวขั้นเทพแห่งภาคเหนือได้…
สุดท้าย ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่ลูกชิ้นหัวสิงโต
เขาหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตัดลูกชิ้น เห็นเพียงน้ำมันส่วนหนึ่งไหลออกมาทันที
ซ่งจื่อเซวียนเห็นก็เบิกตาโต ลูกชิ้นนี้ดูเหมือนจะธรรมดา ที่แท้กลับมีบางสิ่งอยู่ข้างใน
เขาตัดลูกชิ้นออกมา พบว่าข้างในใส่วัตถุดิบอย่างเนื้อหอยเชลล์ หอยทะเลหั่นชิ้น เนื้อกุ้งสดและกุยช่ายฝรั่ง วัตถุดิบเหล่านี้ผสมรวมกันเป็นไส้ รวมเป็นก้อนเดียวกันไม่แตกกระจาย
ดูจากความละเอียดของไส้ น่าจะใส่ไข่ขาวลงไปด้วย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ แค่พิจารณาจากมุมมองของความใส่ใจ จงเทียนอวี่ก็น่าจะได้คะแนนไม่น้อย
เขาชิมหนึ่งคำทันที เป็นดังคาด พอกัดเข้าไปไส้อาหารทะเลก็เข้าปาก ความมันเยิ้มเต็มโพรงปากในทันที
ความหอมและสดใหม่ผสมเข้าด้วยกัน แต่ไม่ชวนให้รู้สึกถึงความเลี่ยน
ความรู้สึกแบบนี้แปลกมาก ซ่งจื่อเซวียนอดนึกถึงน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไม่ได้ นั่นคืออาหารที่มีความหอมมันแบบดั้งเดิมแต่ไม่เสียรสชาติความสดใหม่
พอวางช้อน ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่หลิงเจิ้น
“ท่านผู้เฒ่าหลิง ฝีมือการทำอาหารของทั้งสามคนนนี้ไม่ต่างกัน เยี่ยมยอดมากๆ เลยล่ะครับ”
หลิงเจิ้นได้ยินก็ส่ายหน้าหัวเราะ “ฮ่าๆๆ จื่อเซวียน อยู่กับฉันทำไมต้องพูดจาเกรงใจตามมารยาทด้วยล่ะ มาๆ ลองจัดอันดับหน่อยสิ”
ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะเหมือนกัน “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าหลิงต้องการเช่นนั้น ผู้น้อยคนนี้ก็ขอประเมินหน่อยนะครับ”
จากนั้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่สลับตำแหน่งของลูกชิ้นหัวสิงโตกับปลาหลีฮื้อ
หลิงเจิ้นหรี่ตาทั้งสองข้าง ยิ้มบางๆ พร้อมเอ่ยว่า “ดี ถ้างั้นพวกเรากินข้าวกันเถอะ ตู้ปั๋ว พวกนายก็มานั่งด้วยกันสิ ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องพูด”
ประโยคนี้ทำให้พวกจงเทียนอวี่แปลกใจ พวกเขากำลังรอซ่งจื่อเซวียนอธิบายว่าเหตุใดถึงจัดอันดับเช่นนี้ แต่…หลิงเจิ้นกลับไม่ให้ซ่งจื่อเซวียนพูดเสียอย่างนั้น
……………………………………………….