เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 232 ผู้ถูกคัดเลือกรับเป็นศิษย์
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 232 ผู้ถูกคัดเลือกรับเป็นศิษย์
ตอนที่ 232 ผู้ถูกคัดเลือกรับเป็นศิษย์
พอตื่นขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนก็บิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ ดูเหมือนความเหนื่อยล้าทั้งหมดจะหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้นอนสักตื่น
พอมองนาฬิกา เขาอดตกใจไม่ได้ “เพิ่งนอนไปแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเองเหรอ”
เนื่องจากพอได้นอนหลับซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกเหมือนนอนหลับไปทั้งคืน รู้สึกทั่วทั้งตัวเปี่ยมไปด้วยพลังและจิตวิญญาณ
“สงสัยการนั่งสมาธิจะช่วยยกระดับคุณภาพการนอนหลับได้จริงๆ”
สาเหตุที่ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ก็มาจากทฤษฎีของแพทย์แผนจีนเหมือนกัน สงบจิตใจคือการฝึกปฏิบัติอย่างหนึ่ง ยามที่คนเราหลับตาทำสมาธิ ร่างกายจะมีการซ่อมแซมให้ดีขึ้น
เขาลุกขึ้นขยับตัว เพิ่งจะเดินออกไปห้องก็ได้ยินเสียงกรนของฟางรุ่ย ฟังดูแล้วคงนอนหลับลึกมาก
อย่างไรอีกฝ่ายก็ขับรถมาตลอดคืน ย่อมเหนื่อยมากอยู่แล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ปลุกเขา ในเมื่อรับปากท่านผู้เฒ่าหลิงว่าจะนอนค้างหนึ่งคืน เขาจึงปล่อยให้ฟางรุ่ยได้พักผ่อนมากๆ
พอเดินออกจากห้อง ซ่งจื่อเซวียนก็ได้เห็นทิวทัศน์โดยรอบ รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
บ้านตระกูลหลิงเหมือนจวนอ๋องร่วมสมัย หรืออาจจะพูดได้ว่าถึงแม้จะไม่มีบรรยากาศของจวนอ๋องในสมัยก่อน แต่ความประณีตกลับไม่ด้อยไปกว่ากันแม้แต่นิดเดียว
สะพานหิน สายน้ำไหลและพุ่มดอกไม้ ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงเป็นคนมีรสนิยมจริงๆ
ขณะที่กำลังเดินเล่น เขาเห็นคนสองคนเดินเข้ามา นั่นคือจงเทียนอวี่กับหลี่เฉิง
“เหอะๆ คุณซ่ง พักผ่อนเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายิ้มพูดว่า “ครับ สวัสดีพวกคุณทั้งสองนะครับ”
จงเทียนอวี่เอ่ยว่า “ข้าวผัดจักรพรรดิของคุณซ่งดังมากในตู้เหมิน…ผัดให้พวกเราสองพี่น้องได้เห็นเป็นบุญตาหน่อยได้ไหม”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ฟังออกว่าอีกฝ่ายอยากหาเรื่องในทันที จึงตอบไปว่า “เหอะๆ เป็นแค่อาหารธรรมดาเท่านั้น ทั้งสองคนเป็นลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่าหลิง ข้าวผัดของผมไม่ควรค่าแก่การพูดถึงหรอกครับ”
“ฮ่าๆๆ คุณซ่งถ่อมตัวมากจริงๆ แต่แบบนี้จะขี้เหนียวเกินไปไหม พวกเราแค่อยากเห็นเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ไม่ได้อยากจะเรียนจากคุณเสียหน่อยนะครับ” หลี่เฉิงเอ่ย
“ไม่จำเป็นครับ อะแฮ่ม ทั้งสองคนครับ ผมอยากไปหาท่านผู้เฒ่าหลิง ไม่ทราบว่าห้องหนังสือของเขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
ภายในลานบ้านตระกูลหลิงมีบ้านสี่หลัง หากไม่มีคนนำทาง ซ่งจื่อเซวียนอาจจะตามหาหลิงเจิ้นลำบากจริงๆ
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ผมคิดว่า…ในเมื่อคุณซ่งมาที่บ้านตระกูลหลิงแล้ว สำหรับพวกเราถือว่ายากที่จะมีโอกาสนี้ ถ้างั้น..ลองมาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการทำอาหารหน่อยดีไหมครับ” จงเทียนอวี่พูด
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มตอบ “ผมไม่ค่อยสนใจการแลกเปลี่ยนความรู้เท่าไรครับ แค่ทำอาหารเลี้ยงชีพเท่านั้น รบกวนพวกคุณสองคนพาผมไปหาท่านผู้เฒ่าหลิงด้วยนะครับ”
ได้ยินดังนั้น จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงจึงไม่พูดอะไร ได้แต่สบตากันเล็กน้อยแล้วหัวเราะแห้งๆ
“ซ่งจื่อเซวียน นายไม่ควรมาที่นี่เลย!” จู่ๆ จงเทียนอวี่ก็พูดขึ้นมา
“หืม” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “หมายความว่ายังไงครับ”
“ฉันรู้ดี พวกเราเพิ่งจะเคยเจอกัน แม้แต่ชื่อของพวกเรานายก็จำไม่ได้ แต่นายก็ควรจะจำสักหน่อยไหม” จงเทียนอวี่พูด
“เชิญพูดครับ” ซ่งจื่อเซวียนจำชื่อสองคนนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะเขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานหลายวัน ตอนที่ท่านผู้เฒ่าหลิงแนะนำ เขาจึงฟังแบบขอไปที
“ฉันชื่อจงเทียนอวี่ เขาชื่อหลี่เฉิง เรียนกับอาจารย์หลิงเจิ้น”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “จำไว้แล้วครับ”
“ซ่งจื่อเซวียน จุดประสงค์ที่นายมาบ้านตระกูลหลิงคงเพราะอยากคารวะเป็นศิษย์ของอาจารย์ แต่…ฉันขอบอกว่านายกลับไปทำงานที่ตู้เหมินเหมือนเดิมเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะกับนาย”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนยิ้มบางๆ “โห ทำไมเหรอครับ”
“ที่นี่ไม่เหมาะกับนาย นายอย่าคิดว่านายทำอาหารจานเด็ด อาหารขึ้นชื่อได้แล้ว จะก้าวขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของวงการอาหารได้ ลองเรียกลูกศิษย์คนไหนในบ้านของท่านผู้เฒ่าหลิงมาสักคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นพ่อครัวส่วนตัวก็ยังเก่งกว่านาย!”
ขณะที่พูด จงเทียนอวี่แทบจะกัดฟัน มากพอที่จะมองออกว่าเขากีดกันซ่งจื่อเซวียน
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับส่ายหน้าหัวเราะ ในสายตาของเขา ไม่เคยคิดใฝ่สูงอะไรเลย ต่อให้ตอนแรกท่านผู้เฒ่าหลิงจะเสนอให้เขาเป็นลูกศิษย์จริงๆ แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธไปแล้ว
“คุณจง ผมจำคำพูดของคุณไว้แล้วครับ มีเรื่องอะไรอีกไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเล็กน้อยพลางพูด
จงเทียนอวี่มองซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ตรงหน้า แอบรู้สึกแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้
ตามหลักแล้วอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี ทำไมถึงมีนิสัยที่สุขุมใจเย็นได้ขนาดนี้
จงเทียนอวี่ปีนี้อายุยี่สิบหกปี และในคนรุ่นราวคราวเดียวกันถือว่ามีความเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับซ่งจื่อเซวียน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีความสุขุมมากกว่า
แต่พอลองคิดดู จงเทียนอวี่ก็ยิ้มออกมา อย่างไรเด็กคนนี้ก็เพิ่งจะเข้าสังคม ตอนนี้คงกำลังเสแสร้งอยู่เป็นแน่
“ไม่มีอะไรแล้ว แค่อยากให้นายรีบออกไปจากตระกูลหลิง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นายควรจะอยู่”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “หืม คุณก็น่าจะรู้นี่นา ความจริงผมตั้งใจจะไปอยู่แล้ว แต่ท่านผู้เฒ่าหลิงเป็นคนรั้งผมไว้”
“หึ นั่นเป็นเพราะอาจารย์ของฉันพูดด้วยความเกรงใจเท่านั้น นายกลับคิดจริงจังงั้นเหรอ และก็…นายอย่าคิดว่าฉันมองไม่ออก นายแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วจะฉวยโอกาสทีหลัง”
จงเทียนอวี่ทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา “ภายนอกนายทำเป็นปฏิเสธ แต่ความจริงคือทำให้ดูเหมือนว่าเป็นฝ่ายที่ต้องยอม ก็จะยิ่งทำให้ทุกคนคิดว่าอาจารย์ของฉันเป็นคนรั้งนายไว้ต่างหาก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร เขาพลันรู้สึกว่าจงเทียนอวี่เป็นคนเขียนบทที่ไม่เลวคนหนึ่ง สามารถเขียนความในใจของตัวละครออกมาได้ด้วยซ้ำ…
“แล้วแต่ว่าคุณจะคิดยังไงเลยครับ เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับผม”
ซ่งจื่อเซวียนไม่อยากให้พวกเขาช่วยนำทางแล้ว จึงปลีกตัวเดินออกไป
“ซ่งจื่อเซวียน ฉันหวังว่าอย่างช้าที่สุดนายจะออกไปวันพรุ่งนี้ ไม่งั้น…นายก็มีแต่จะเสียเวลาเท่านั้น!”
ซ่งจื่อเซวียนหยุดเดิน ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “งั้นเหรอครับ ผมคิดว่าผมรับปากคุณได้นะ ที่นี่น่ะ…ผมไม่คิดจะอยู่นาน”
“แล้วก็นะ! นายอย่าคิดจะพาเข่อเอ๋อร์ไปด้วยล่ะ เธอไร้เดียงสามาก นายคิดว่าเธอหลอกง่ายมากใช่ไหม ฉันจะบอกนายให้นะ ถ้าเข่อเอ๋อร์ถูกเอาเปรียบเมื่อไร ฉันจะไม่ปล่อยนายไปเด็ดขาด!”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่รู้ว่าหลิงเข่อเอ๋อร์คิดจะกลับตู้เหมินไปกับเขา จึงคิดว่าจงเทียนอวี่อาจจะคิดมากเกินไป
“นั่นเป็นเรื่องของเธอครับ!”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ตู้ปั๋วลูกศิษย์คนโตของหลิงเจิ้นก็เดินออกมาจากภายในตึก เขาเห็นซ่งจื่อเซวียน จึงรีบเดินไปรับทันที
“คุณซ่ง คุณพักผ่อนดีแล้วเหรอครับ”
ตู้ปั๋วเป็นคนชื่อๆ ปกติก็เป็นมือซ้ายมือขวาของหลิงเจิ้น ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อซ่งจื่อเซวียนจึงมีความเกรงใจเป็นอย่างมาก
“แหะๆ คุณตู้” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ
“อาจารย์รอคุณอยู่ในห้องหนังสือ สั่งผมว่าถ้าคุณตื่นแล้ว ให้เรียกคุณไปหาเขาที่ห้องหนังสือครับ” ตู้ปั๋วพูด
“ถ้างั้นรบกวนคุณนำทางด้วยครับ”
จากนั้น ตู้ปั๋วจึงพาซ่งจื่อเซวียนเดินไปที่ห้องหนึ่ง
ห้องนี้ไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกับที่พวกเขาทานข้าว มีกลิ่นน้ำหมึกฉุนมาก อีกทั้งยังให้ความรู้สึกของบ้านได้มากพอ
พอเดินเข้าไปก็มีความรู้สึกเหมือนเข้าไปในบ้านของมหาบัณฑิต
“เหอะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงมีรสนิยมมาก เก็บสะสมของล้ำค่าไว้เยอะเลย”
“คุณซ่ง อาจารย์ชอบเก็บของสะสมครับ เขาพูดอยู่เสมอว่าถึงแม้พวกเราจะเป็นคนจับตะหลิว แต่ระดับและภาพลักษณ์สามารถส่งผลต่อคุณภาพของอาหารได้เหมือนกันครับ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงพยักหน้าช้าๆ “มีเพียงนักชิมอาหารรุ่นใหญ่อย่างท่านผู้เฒ่าหลิงที่มีมุมมองแบบนี้”
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปชั้นสอง ประตูที่ใหญ่ที่สุดในโถงทางเดินก็คือห้องหนังสือของหลิงเจิ้น
ตู้ปั๋วเคาะประตูสองที พอได้ยินเสียงอีกด้านบอกให้เข้ามา เขาก็ผลักประตูแล้วให้ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไป ส่วนตัวเองก็ปลีกตัวออกไป
การกระทำเช่นนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนสัมผัสได้ถึงกฎระเบียบของบ้านตระกูลหลิง ในยุคปัจจุบัน มีเพียงตระกูลใหญ่เท่านั้นที่จะมีกฎระเบียบเช่นนี้
ตอนนี้ หลิงเจิ้นกำลังวาดภาพอยู่ในห้องหนังสือ เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเข้ามา เขาจึงรีบวางพู่กันลงทันที
“จื่อเซวียน ตื่นไวจัง”
“แหะๆ ไม่ได้เหนื่อยเท่าไรครับ ท่านผู้เฒ่าหลิงชอบวาดภาพเหมือนกันเหรอครับ มีอารมณ์สุนทรีดีนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะพูด
“ฉันแค่วาดเล่นเท่านั้น มาๆๆ นั่งสิ พวกเราสองคนมานั่งคุยกันหน่อย!”
ตอนนี้เอง ตู้ปั๋วก็ยกน้ำชามาสองถ้วย แล้ววางลงบนโต๊ะ
“จื่อเซวียน นายลองชิมชาของฉันสิ เพื่อนสนิทคนหนึ่งเอามาจากภูเขาหิมะที่อยู่ตรงชายแดนน่ะ”
“ท่านผู้เฒ่าหลิงมีรสนิยมมากเลยนะครับ”
หลิงเจิ้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จริงสิจื่อเซวียน ถึงแม้นายจะไม่ยอมบอกว่าอาจารย์เป็นใคร แต่ข้าวผัดจักรพรรดิกับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายของนายเรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกันใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าแล้วยิ้มให้ “ใช่แล้วครับ”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ เหอะๆ ทุกคนรู้ดีว่าประเทศจีนมีพ่อครัวขั้นเทพแห่งภาคเหนือและภาคใต้ แต่กลับไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านี้ปลีกวิเวกไปนานแล้ว จื่อเซวียน อาจารย์ของนายจะต้องเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร
“อาจารย์ของนายน่าจะอายุมากแล้วใช่ไหม” หลิงเจิ้นถาม
“อายุเก้าสิบกว่าปีแล้วครับ แต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
หลิงเจินพยักหน้าช้าๆ “ถ้างั้นก็เป็นผู้อาวุโส จื่อเซวียน นายได้คารวะเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงนะเนี่ย”
“ฮ่าๆๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ มีใครไม่รู้บ้างว่าฝีมือการทำอาหารของท่านผู้เฒ่าหลิงแห่งภาคเหนือของจีนยากที่จะมีคนเทียบเทียม”
“ชื่อเสียงปลอมๆ เท่านั้นแหละ นายกับฉันนั่งอยู่ตรงนี้สองคน ทำไมต้องพูดเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ”
หลิงเจิ้นพูดประโยคนี้จบ ทั้งสองคนจึงหัวเราะออกมา
หลิงเจิ้นหรี่ตาทั้งสองข้าง เอ่ยว่า “จริงๆ นะ จื่อเซวียน ฝีมือการทำอาหารของนายในตอนนี้ก็สามารถรับลูกศิษย์ได้แล้ว”
“เอ่อ…” ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพราะเขาไม่เคยนึกถึงปัญหานี้เลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงเขาก็มีลูกศิษย์อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะซางเทียนซั่วพนันต่างหาก จึงไม่นับว่าเป็นลูกศิษย์ที่แท้จริง
“แหะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิง จื่อเซวียนไม่เคยนึกถึงปัญหานี้เลยจริงๆ ครับ”
หลิงเจิ้นหัวเราะเล็กน้อย “ฮ่าๆๆๆ อย่างนั้นก็ลองคิดดู ฉันได้ยินว่านายบริหารบริษัทแห่งหนึ่งอยู่ด้วย มีขนาดใหญ่เหมือนกัน รับลูกศิษย์สักคนมาช่วยงานไม่ดีเหรอ”
“หืม” ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ เรื่องนี้ท่านเป้ยเล่อต้องเป็นคนบอกหลิงเจิ้นแน่นอน คิดไม่ถึงว่าท่านเป้ยเล่อที่ปกติเป็นคนเย็นชาจะชอบพูดนินทาเหมือนกัน…
“ความจริงแล้วผมก็มีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่งครับ สามารถช่วยงานได้ แต่ผมก็ยังไม่เคยสอนอะไรเขาเหมือนกัน” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หลิงเจิ้นได้ยินก็พยักหน้า “เฮ้อ ฉันก็มีคนที่คัดเลือกไว้เหมือนกัน นายลองฟังว่าเป็นยังไงดีไหม”
“ท่านผู้เฒ่ามีคนที่คัดเลือกไว้แล้วเหรอครับ เหอะๆ คุณให้ความสนใจว่าผมจะรับลูกศิษย์ไหมตั้งแต่เมื่อไรเหรอครับ”
“วงการนี้ก็เป็นแบบนี้ คนที่ถูกเรียกว่าเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง จะต้องมีความสามารถมาก และซ่งจื่อเซวียนนายน่ะจะต้องมีแน่นอน!” หลิงเจิ้นเอ่ยยิ้มๆ
“หืม? อย่างนั้นผมก็อยากลองฟังชื่อคนที่คุณเลือกดูครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงเจิ้นจึงยิ้มอย่างมีลับลมคมใน จากนั้นเดินไปที่หน้าโต๊ะหนังสือแล้วเปิดลิ้นชักออกมา
“จื่อเซวียน นายลองดูของชิ้นนี้ก่อน”
ขณะพูด เขาก็เดินมาตรงหน้าซ่งจื่อเซวียน วางสิ่งที่ห่อด้วยผ้าสีดำลงบนโต๊ะน้ำชา
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นหลิงเจิ้นเปิดผ้าสีดำออก เผยให้เห็นหินประกายม่วงที่อยู่ในนั้นทันที
“ท่านผู้เฒ่าหลิง นี่คือ…”
……………………………………………….