เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 231 บุคคลอันตราย
ตอนที่ 231 บุคคลอันตราย
หลังจากทานข้าวเรียบร้อย คนใช้ของบ้านตระกูลหลิงก็รีบเก็บจานชาม ทางท่านผู้เฒ่าหลิงจัดเตรียมให้ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยพักผ่อนในห้องพักแขก
หลังจากนั่งสมาธิมาหนึ่งคืน ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกหิวและง่วงอยู่บ้าง พอกินข้าวอิ่มก็เข้าห้อง แล้วนอนหลับไปทันที
แต่หลิงเข่อเอ๋อร์ไม่ค่อยง่วงเท่าไร เพราะเธอนอนหลับมาตลอดทาง ตอนนี้จึงวิ่งไปที่ห้องหนังสือของปู่
หลิงเจิ้นรักหลานสาวคนนี้มากเป็นพิเศษ แต่หลังจากผ่านเรื่องราวในครั้งนี้ เขาตัดสินใจว่าจะไม่ตามใจเธออีกแล้ว
“เข่อเอ๋อร์ หลานสาวสุดที่รักของฉัน ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”
หลิงเข่อเอ๋อร์ก้มหน้าเล็กน้อย “คุณปู่ หนูผิดไปแล้วค่ะ”
“เหอะๆ ซ่งจื่อเซวียนมีวิธีจริงๆ ฉันควบคุมเธอไม่อยู่ แต่เขากลับควบคุมได้ พูดมาตามตรงเลยนะ ชอบไอ้หนุ่มคนนั้นใช่ไหม”
หลิงเข่อเอ๋อร์อึ้งไป “หา? ชอบเหรอคะ”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนี่นา เด็กหนุ่มคนนี้ฉลาด มีความสามารถและมีอิทธิพล เหอะๆ ถ้าเธอชอบเขาจริงๆ ปู่จะช่วยเป็นพ่อสื่อให้”
หลิงเจิ้นไม่ได้คัดค้านอะไร อย่าว่าแต่หลิงเข่อเอ๋อร์เลย แม้แต่เขาก็ยังชอบซ่งจื่อเซวียน
“คุณปู่อย่าล้อหนูเล่นสิ หนูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับนายท่านรองเลย ก็แค่ชื่นชมเขา เคารพเลื่อมใสเขามากเท่านั้นเอง” หลิงเข่อเอ่อร์ได้ยินแบบนั้นก็รีบอธิบาย
“หือ? เจอคนหนุ่มที่ดีขนาดนี้ หลานสาวของฉันยังไม่ชอบอีกเหรอ ใช้ได้เลยนี่ หรือว่าอยากจะหาที่ดีกว่านี้” หลิงเจิ้นเอ่ยยิ้มๆ
“คุณปู่…อย่าแซวหนูสิ ยังไง…ยังไงหนูก็ไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้น แต่…”
หลิงเจิ้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แต่อะไร”
“แต่หนูยังอยากกลับไปตู้เหมินค่ะ คุณปู่ หนูรู้สึกว่า…หนูควรจะหาประสบการณ์ด้วยตัวเองสักหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงเจิ้นหรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย อันที่จริงเขาอยากจะปฏิเสธไปเลย อย่างไรหลานสาวสุดที่รักของตัวเองก็กลับมาแล้ว เขาไม่อยากปล่อยเธอไปไหนอีก
แต่เมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของซ่งจื่อเซวียน เขาจึงไม่ได้ให้คำตอบในทันที
“ค่ะ หนูคิดว่าหนูสามารถเรียนรู้จากนายท่านรองได้ ยังไม่ต้องพูดถึงฝีมือการทำอาหารนะคะ อย่างน้อยก็เรียนรู้การเป็นคน นายท่านรองไว้ใจได้ค่ะ!” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด
“เรียนรู้การเป็นคนงั้นเหรอ เหอะๆ หรือว่าอยู่ในบ้านของพวกเราจะเรียนรู้การเป็นคนไม่ได้ ปู่ของเธอไม่น่าเชื่อถืออย่างนั้นเหรอ” หลิงเจิ้นยิ้มเล็กน้อยพลางพูด
อันที่จริงในใจของเขาไม่อยากให้หลานสาวจากไปอีกจริงๆ แต่…ถึงแม้จะตกปากยอมรับ เขาก็อยากให้หลิงเข่อเอ๋อร์บอกเหตุผลที่น่าเชื่อถือสักอย่างกับเขา
“เอ่อ…คุณปู่อ้ะ หนูไม่สน หนูคิดดีแล้วค่ะ หนูโตแล้ว จะอยู่ที่บ้านอย่างเดียวไปตลอดไม่ได้ หนูต้องออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองค่ะ!” หลิงเข่อเอ๋อร์กล่าว
หลิงเจิ้นพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “เรื่องนี้…ปู่รับปากเธอได้”
“หืม จริงเหรอคะ ฮ่าๆๆ คุณปู่ตกลงแล้วจริงๆ นะคะ” หลิงเข่อเอ๋อร์พูดด้วยความดีใจ
“ใช่แล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่ตกลง แต่ปู่ลองคิดดูก็เข้าใจแล้ว ซ่งจื่อเซวียนพูดถูก มีบางเรื่อง…ที่ฉันอาจจะรักเธอแบบตามใจมากเกินไป
ความรักแบบนี้ใช่ว่าจะดีกับเธอ และอาจจะทำร้ายเธอได้ ตอนนี้เข่อเอ๋อร์โตแล้ว จำเป็นต้องออกไปดูว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรกันแน่
หลิงเข่อเอ๋อร์หัวเราะออกมาด้วยความดีใจ เพราะเธอคิดไม่ถึงว่าคุณปู่จะตกลงง่ายขนาดนี้ ต้องพูดว่าซ่งจื่อเซวียนเปลี่ยนทัศนคติของปู่หลานสองคนได้จริงๆ
“เธอก็อย่าดีใจเร็วเกินไป ฉันยังมีเงื่อนไขอยู่”
“หา? คุณปู่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้วไหม ปล่อยให้หนูออกไปทำงานยังต้องมีเงื่อนไขอีกเหรอ” หลิงเข่อเอ๋อร์เบ้ปากพูด
“แน่นอนอยู่แล้ว กิจการของตระกูลหลิงของฉันสามารถกินอยู่ได้สบายหลายชั่วอายุคน จำเป็นต้องให้เด็กผู้หญิงอย่างเธอออกไปทำงานด้วยเหรอ เพราะงั้นถ้าอยากออกไป ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของปู่!” หลิงเจิ้นพูด
หลิงเข่อเอ๋อร์ครุ่นคิด “ได้ค่ะ อย่างนั้นคุณปู่ลองว่ามาก่อนค่ะ”
หลิงเจิ้นพลันยิ้ม “ข้อแรก เธอต้องทำงานที่ร้านอาหารของซ่งจื่อเซวียน คนคนนี้…ถึงแม้จะเพิ่งรู้จัก แต่ปู่มั่นใจในตัวของเขา อีกทั้งยังมีท่านเป้ยเล่ออยู่ ฉันเลยเชื่อใจ”
“ข้อสอง ภายในหนึ่งปี เธอต้องทำอาหารหนึ่งอย่างที่ทำให้ฉันพอใจ ไม่จำกัดว่าเป็นอาหารประเภทไหน ถือซะว่าไม่เสียแรงที่เธอไปเรียนกับซ่งจื่อเซวียน” หลิงเจิ้นพูด
“เอ่อ…หนูแค่ไปทำงานเฉยๆ นายท่านรองไม่น่าจะสอนหนูทำอาหารนะคะ”
หลิงเจิ้นได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ “เธอวางใจได้ ฉันจะทำให้เขายอมสอนเธอเอง เงื่อนไขข้อที่สาม…”
“พอแล้วๆ ค่ะ คุณปู่ยังไม่จบอีกเหรอคะ เงื่อนไขเยอะแยะขนาดนี้…คุณปู่อยากจะพูดเงื่อนไขเป็นร้อยๆ ข้อเพื่อขู่ให้หนูตกใจใช่ไหมล่ะ”
หลิงเข่อเอ๋อร์ได้ยินคำว่าเงื่อนไขข้อที่สามเธอก็ปวดหัว ไม่ต้องพูดถึงว่าตัวเองจะรับปากหรือไม่ เธอล่ะกลัวว่าตัวเองจะจำเงื่อนไขหลายข้อไม่ได้!
แต่หลิงเจิ้นกลับหัวเราะ “หลานสาวสุดที่รัก เงื่อนไขข้อที่สามเป็นข้อสุดท้ายแล้ว และเป็นข้อที่สำคัญมากที่สุด”
ฟังจากน้ำเสียงที่มีความหมายลึกซึ้งของคุณปู่ มองสีหน้าที่จริงจังของเขา หลิงเข่อเอ๋อร์ก็ใจสั่น ดูเหมือนจะเห็นคุณปู่ทำท่าจริงจังแบบนี้น้อยมาก เธอจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“เธอต้องจำไว้ ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ข้างหลังของเธอยังมีตระกูลหลิงของฉันอยู่ ฉันจะไม่ยอมให้หลานสาวตระกูลหลิงของฉันถูกคนข้างนอกรังแก ถ้าเธอเจอเรื่องลำบาก อันตรายอะไรที่ซ่งจื่อเซวียนแก้ไขไม่ได้จริงๆ เธอต้องบอกปู่นะ!”
ได้ยินคุณปู่พูดเช่นนี้ หลิงเข่อเอ๋อร์ก็น้ำตาเอ่อดวงตาทั้งสองข้างทันที เธอเบ้ปากพยักหน้าอย่างแรง “คุณปู่…”
เธอเรียกคุณปู่พร้อมกับโผกอดหลิงเจิ้นอย่างว่านอนสอนง่าย
หลิงเจิ้นหัวเราะ ตบหลังของหลานสาวเบาๆ “พอๆ โตเป็นสาวแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าคงอายน่าดู”
…
จากนั้น หลิงเข่อเอ๋อร์จึงเดินออกจากห้องหนังสือของหลิงเจิ้น
เมื่อเห็นหลิงเข่อเอ๋อร์เดินออกมา จงเทียนอวี่กับหลี่เฉิงที่กำลังคุยกันอยู่ในลานบ้านก็รีบเดินเข้ามาทันที
“เข่อเอ๋อร์ เก่งจริงๆ เลยนะ หนีออกจากบ้านไปตั้งนาน ไม่เจอเรื่องอันตรายอะไรเลยเหรอ” จงเทียนอวี่ถาม
หลี่เฉิงพูดประสมโรง “นั่นสิเข่อเอ๋อร์ เธอไม่รู้หรอกว่าศิษย์พี่รองเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน”
หลิงเข่อเอ๋อร์เหลือบตามองจงเทียนอวี่หนึ่งที “หึ อย่ามาพูดเลย ถ้าคิดถึงทำไมไม่ไปหาฉันล่ะ รออยู่ที่บ้านแบบนี้คงจะดีใจมากสินะ”
วันปกติ หลิงเจิ้นจะยุ่งฝึกการทำอาหารตลอด และตู้ปั๋วลูกศิษย์คนโตจะคอยเป็นมือซ้ายมือขวาของอาจารย์อยู่เสมอ ดังนั้นหลิงเข่อเอ๋อร์จึงเล่นกับจงเทียนอวี่และหลี่เฉิงเป็นประจำ เวลาพูดจาจึงไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกอะไรมากนัก
จงเทียนอวี่ได้ยินแล้วจึงพูดว่า “อย่าพูดซี้ซั้วนะ ฉันเป็นห่วงจะตาย แต่นิสัยของอาจารย์เธอก็รู้ พาตู้ปั๋วไปตู้เหมินเพื่อหาเธอแค่คนเดียว ไม่ยอมให้พวกเราตามไป”
หลิงเข่อเอ๋อร์เบ้ปากหัวเราะ “สมน้ำหน้า!”
พูดจบ เธอจึงกระโดดโหยงไปที่สวนดอกไม้ขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆ
เห็นดังนั้น จงเทียนอวี่ก็ส่งสายตาให้หลี่เฉิง อีกฝ่ายเข้าใจแล้วจึงปลีกตัวออกไป
จงเทียนอวี่รีบวิ่งตามหลิงเข่อเอ๋อร์ไปทันที เอ่ยว่า “เข่อเอ๋อร์ ฉันได้ยินพวกเขาพูดว่าเธอไปทำงานในร้านอาหารที่ตู้เหมินมา”
“ใช่แล้ว แปลกมากเหรอ ฉันก็ต้องหัดเรียนรู้ด้วยตัวเองเหมือนกันนี่นา” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด แล้วนั่งลงยองๆ ดมดอกไม้ดอกหนึ่ง
“บ้านของพวกเราก็มีร้านอาหารอยู่ทำไมต้องไปข้างนอกด้วยล่ะ มีคนรังแกเธอหรือเปล่า”
หลิงเข่อเอ๋อร์แค่นหัวเราะ “นายคิดว่ามีคนรังแกฉันไหมล่ะ บ้านก็คือบ้าน สุดท้ายก็มีแต่คนดูแลฉัน แล้วจะได้ทำงานยังไง เฮ้อ นายไม่เข้าใจ”
จงเทียนอวี่ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา “เธอชอบดอกไม้ดอกนี้เหรอ ฉันจะเด็ดให้เธอเอง”
พูดจบเขาก็กำลังจะเด็ดดอกไม้ แต่หลิงเข่อเอ๋อร์กลับห้ามไว้ “อย่านะ จะเด็ดทำไม ปล่อยให้มันโตแบบนั้นก็ดีแล้ว เด็ดมามีแต่จะเหี่ยวเฉา”
“เหอะๆ เธอชอบแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น อ้อใช่ กลับมาครั้งนี้ก็ไม่ออกไปไหนแล้วใช่ไหม เธอไม่รู้อะไร ช่วงที่เธอไม่อยู่ พวกเราทำตัวไม่ถูกเลย เฮ้อ คิดถึงเธอสุดๆ!” จงเทียนอวี่พูด
“พอเลย ปากดีเชียวนะ แต่ฉันยังต้องกลับไป ฉันจะไปตู้เหมิน!” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด
“หืม ทำไมล่ะ กลับมาแล้วนี่ ทำไมต้องออกไปให้เหนื่อยอีก” จงเทียนอวี่ถาม
หลิงเข่อเอ๋อร์ลุกขึ้นเดินสองสามก้าว ก่อนจะยิ้ม “นายไม่เข้าใจ ฉันต้องการฝึกฝนประสบการณ์ และก็อยากเรียนรู้บางอย่าง นายก็รู้ดี ปู่ของฉันไม่สอนให้แน่นอน”
“อาจารย์ไม่สอนเธอ ฉันก็สอนเธอได้นี่ เข่อเอ๋อร์ เธออย่าไปเลยนะ” จงเทียนอวี่พูด
หลิงเข่อเอ๋อร์มองเขาหนึ่งที “เชอะ นายจะสอนฉันก็ต้องมีคุณสมบัติพอ นายรู้ไหมว่าฉันอยากจะเรียนกับใคร”
จงเทียนอวี่ครุ่นคิด…
“คงไม่ใช่…คนตู้เหมินคนนั้นหรอกนะ”
“ถูกแล้ว นายท่านรองทำอาหารเก่งมาก นิสัยก็ดี ฉันเรียนกับเขา คุณปู่ถึงจะวางใจ” หลิงเข่อเอ๋อร์พูดยิ้มๆ
เห็นหลิงเข่อเอ๋อร์ยิ้มออกมาขณะที่พูด จงเทียนอวี่รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น
หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่ลำบากตรากตรำที่สุดในตระกูลหลิง
ไม่เพียงแต่ในบรรดาลูกศิษย์สามคน แม้แต่คนทำงานคนอื่นก็ยังสู้เขาไม่ได้
เขาต้องตื่นตีสี่ครึ่งทุกวัน นอกจากฝึกฝีมือการทำอาหารแล้ว ยังต้องทำความสะอาดห้องของอาจารย์อีกด้วย
จากนั้นไปตรวจสอบร้านอาหารในเครือของอาจารย์ตามระยะเวลาที่กำหนด และยังต้องเขียนรายงานตลาดของร้านอาหารทุกแห่งและอาหารทุกจานด้วย
วันแล้ววันเล่า เขาไม่เคยมีเวลาว่างเลย
และจุดประสงค์ที่ทำทั้งสองอย่างนี้ ก็เพราะเขารู้ดีว่า ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์ของหลิงเจิ้น แต่ก็ไม่ใช่คนของตระกูลหลิง เขาจำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามมากกวาคนอื่นสองสามเท่า ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นคนตระกูลหลิงจริงๆ
จงเทียนอวี่มาจากครอบครัวฐานะธรรมดา หากได้เข้าตระกูลหลิงก็จะทำให้เขาเชิดหน้าชูตาได้ และอาจจะมีโอกาสได้สืบทอดเจตนารมณ์ของอาจารย์ด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าอยากเข้าสู่ตระกูลหลิงอย่างแท้จริง วิธีที่ดีที่สุดคือต้องจีบเข่อเอ๋อร์ให้ติด
ขอเพียงเข่อเอ๋อร์ชอบตน หลิงเจิ้นก็พอใจในความสามารถของตน เช่นนั้นเขาจะถือว่าได้เข้าตระกูลหลิงอย่างแท้จริง
จนถึงตอนนี้ ถือว่าเขากับเข่อเอ๋อร์สนิทสนมกันมากแล้ว ถึงจะเถียงกันเป็นบางครั้ง แต่ในสายตาของเขาก็เป็นแค่การแกล้งกันเท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงว่า จะมีคนมาขวางตรงกลาง ในสายตาของเขา เขามองซ่งจื่อเซวียนเป็นบุคคลอันตรายทันที
“เข่อเอ๋อร์ ฉันคิดว่า..เธอยังมีประสบการณ์น้อยเกินไป มองคนยังไม่ออก ที่เธอคิดว่าดี บางทีเขาก็อาจจะมีเจตนาอย่างอื่นนะ”
ประโยคนี้ของจงเทียนอวี่ทำให้หลิงเข่อเอ๋อร์อึ้งไป
“นายหมายถึงนายท่านรองเหรอ”
“นายท่านรองงั้นเหรอ เหอะๆ อายุน้อยแค่นี้เอง ฉันว่าเขาอายุไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ กล้าเรียกว่านายท่านแล้วเหรอ” จงเทียนอวี่ถามเสียงเย็นชา
“นายไม่เข้าใจ ถึงแม้นายท่านรองจะยังเด็ก แต่เป็นคนใจดี คนในวงการนี้เลื่อมใสเขาเลยเรียกกันแบบนี้ นายอย่าเป็นคนใจแคบไปหน่อยเลย” หลิงเข่อเอ๋อร์พูด
“ฉันใจแคบเหรอ เหอะๆ เข่อเอ๋อร์ เธอพูดจาทำร้ายจิตใจฉันนะ”
หลิงเข่อเอ๋อร์เหลือบตามองเขาหนึ่งที “เชอะ ขั้นนั้นเลย? นายจิตใจเปราะบางขนาดนั้นเลยเหรอ”
ประโยคนี้ทำให้จงเทียนอวี่ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร เพราะเขาอยากแสดงความเป็นผู้ชายมาดแมนต่อหน้าหลิงเข่อเอ๋อร์
“ยังไงฉันก็รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่น่าไว้ใจ เข่อเอ๋อร์ ฉันไม่อยากมอบเธอให้คนแบบนั้น!” จงเทียนอวี่พูด
“มอบให้เหรอ ฉันพูดว่าจะมอบตัวให้ตั้งแต่ตอนไหน ฉันอยากเรียนรู้วิชา เรียนรู้การเป็นคนจากนายท่านรองต่างหาก ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ มากสุดก็เป็นแค่เพื่อนหรือไม่ก็…ลูกศิษย์กับอาจารย์ อืม…”
“ลูกศิษย์กับอาจารย์งั้นเหรอ อายุแค่นี้ก็สมควรเรียกว่าเป็นอาจารย์แล้วเหรอ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” จงเทียนอวี่พูด
พูดถึงตรงนี้ จงเทียนอวี่พลางคิดในใจ คนแซ่ซ่งคนนี้ นายมาที่ตระกูลหลิงเข่อเอ๋อร์ก็ทำท่าทีแบบนี้กับฉัน นายเก่งมากจริงๆ ฉันอยากจะรู้นักว่านายเก่งกาจมาจากไหน!
………………………………………………….